แนะนำตัวละคร
ตอนเป็นเด็ก ผมมักจะฝันพร่ำเพ้ออยู่บ่อยๆ ว่าอยากมีพลังวิเศษจะได้กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่เหมือนอย่างในโทรทัศน์อะไรแบบนั้น มันเป็นความฝันที่ผมเฝ้าคะนึงหามาตลอดชีวิตวัยเด็กเลยก็ว่าได้ จนกระทั่งอายุได้สิบขวบ พระเจ้าก็ดลบันดาลทำให้ความฝันของผมนั้นเป็นจริงด้วยการมอบพลังวิเศษนั้นมา
พลังวิเศษนั่น... ผมได้มายังไงน่ะเหรอ
จะอธิบายยังไงดี คือทุกอย่างมันเริ่มต้นจากการที่ผมเกิดจากอุบัติเหตุน่ะ มันไม่ใช่อุบัติเหตุร้ายแรงอะไรหรอก ผมก็แค่ซุกซนตามประสาเด็ก ปีนต้นไม้เล่นกับเพื่อน สมมติว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์อะไรสักอย่างที่ชื่นชอบในสมัยนั้น ก่อนที่จะพลาดพลั้งตกต้นไม้ลงมา หัวกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง หากทว่าผมกลับไม่ได้มีอาการบาดเจ็บสาหัสอะไรเลยสักกะติ๊ด จะมีก็แต่เพียงหัวแตก เย็บไปไม่กี่สิบเข็มเท่านั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติระคนโชคดีที่ผมไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ใช่ไหมล่ะ
แต่ไม่... มันไม่ปกติเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะหลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ผมก็มีพลังวิเศษที่พูดไว้ในตอนแรกติดตัวมาเป็นเหาฉลามทันที
ส่วนความสามารถของไอ้พลังวิเศษนั่น มันก็คือการมองทะลุเสื้อผ้าบนร่างกายของมนุษย์ได้ทันทีที่ผมสบตากับเจ้าของร่างกายน่ะสิ
ว้าว! ฟังดูโชคดีเก๋ไก๋ยูเรก้ามากๆ ใช่ไหมล่ะ คงคิดสินะว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนตัวโตขนาดหมาเลียตูดไม่ถึงขนาดนี้ ผมคงได้มองร่างกายสาวๆ จนเปรมไปเลย แต่บอกเลย ถ้าใครคิดอย่างนั้นคือคิดผิดมหันต์ เพราะเพศที่ผมสามารถมองทะลุเสื้อผ้าได้น่ะ ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็น...
ผู้ชาย!
แม่งเอ๊ย! ผู้ชายทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชาติเลย!
ปวดหัวหนักมาก จะออกจากบ้านไปไหนก็ต้องระวังให้ไม่ไปสบตาใคร ไม่อย่างนั้นล่ะก็ขนลุกเกรียวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
ขนหัวลุกหรือไม่ ก็ลองคิดสภาพตอนที่ผมเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนชายล้วนสิ โอ้โห ดงแตงกวาชัดๆ ไอ้พวกตัวใหญ่หน่อยนี่ก็อาจจะพัฒนาจากแตงกวาที่ขายเหมาเป็นตะกร้าขึ้นมาเป็นแตงกวาที่หุ้มพลาสติกห่ออาหารวางขายตามซูเปอร์มาเก็ต มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยอะไรงี้ แต่จะอะไรก็เอาเถอะ ไอ้การที่ได้ไปอยู่ในดงชีเปลือย เห็นตั้งแต่ของเพื่อนยันของครู ลามไปถึงคนแปลกหน้าเดินโทงเทงผ่านหน้าตลอดเวลา มันก็ทำให้ผมกลายเป็นคนเก็บตัวตั้งแต่บัดนั้นเนื่องจากความหลอนที่ได้เห็นของลับของผู้ชายรอบข้างตลอดเวลา ดีนะที่ครอบครัวผมมีแต่ผู้หญิง ผมเลยไม่ต้องหลอนแม้กระทั่งตอนอยู่บ้านด้วย
หลอนหรือไม่ก็ลองคิดดูเถอะ ไอ้พลังวิเศษอะไรนี่มันทำให้ผมที่เมื่อก่อนเป็นคนร่าเริงเจอแตงกวาตามหลอกหลอนจนแทบจะกลายเป็นฮิคิโคโมริ[1] ถ้าไม่มีความจำเป็นอะไร ผมจะไม่ออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ ล่วงเลยมาจนอายุได้ ยี่สิบปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยรัฐย่านชานเมืองแล้ว ผมก็ยังคงมีนิสัยแบบนั้นอยู่ ถึงจำเป็นต้องอยู่หอพักเพราะระยะทางจากบ้านไปยังมหาวิทยาลัยมันค่อนข้างไกล ผมก็ยังยืนยันที่จะพักคนเดียวด้วยไม่ต้องการเห็นของรูมเมตตลอดเวลา อย่างน้อยก็ให้ผมได้พักสายตาบ้างอะไรบ้างเถอะ โชคดีที่แม่กับพี่สาวผมก็เข้าใจว่าผมเป็นพวกเข้าสังคมไม่เก่งเลยไม่ได้ติดใจอะไร อยากอยู่คนเดียวก็อนุญาตให้อยู่ไปตามประสาลูกชายและน้องชายคนเล็กที่ใครๆ ก็ต่างมารุมเอาอกเอาใจ
ทว่าไอ้ตามประสามันก็เริ่มจะไม่ตามประสาละเมื่อจู่ๆ ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ พี่สาวผมที่คอยสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็ตกงานกะทันหัน ลำพังร้านขายอาหารตามสั่งของแม่ที่มีรายได้ไม่แน่นอนก็ไม่เพียงพอต่อการส่งเสียค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้ผมทุกเดือน รวมถึงค่าหอพักที่ผมต้องแบกรับคนเดียวโดยไม่มีใครมาหารค่าใช้จ่ายด้วย ผมเลยจำเป็นต้องหารูมเมตอย่างเร่งด่วนแม้ว่าจะไม่ต้องการเลยก็ตาม ก็มันทำใจยากนี่นาไอ้การจะไปอยู่กับคนอื่นแล้วต้องเห็นร่างเปลือยของรูมเมตทุกวันอย่างนั้นน่ะ ใครมันจะไปอยู่ได้กัน
แต่อยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่แล้ว ผมไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดจึงไม่มีทางเลือกมากนัก สิ่งที่ควรคิดถึงเป็นอันดับแรกในตอนนี้คือหางานพิเศษทำเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้านก่อน อย่างน้อยการมีเงินก็ทำให้สามารถยืดเวลาในการหารูมเมตออกไปได้เพราะผมยังพอมีเงินจ่ายค่าเช่าหอด้วยตัวเอง
แต่งานพิเศษนี่... ทำไมแม่งมีแต่งานที่ต้องไปเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยวะ
[1] ฮิคิโคโมริ (Hikikomori) เป็นคำภาษาญี่ปุ่น ใช้เรียกปรากฏการณ์ที่บุคคลแยกตัวออกมาจากสังคม อยู่อย่างสันโดษและกักขังตัวเองอย่างสุดโต่งโดยมีต้นเหตุมาจากเรื่องราวทางสังคมที่บุคคลนั้นๆ ประสบมา เช่น ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ อาการกลัวการเข้าสังคม อาการกลัวที่โล่ง เป็นต้น กระทรวงสาธารณะสุข แรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่นได้จำกัดความคำว่า ฮิคิโคโมริว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่ปฏิเสธที่จะออกจากบ้าน และปลีกตัวจากสังคมในบ้านเป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน ระดับของภาวะฮิคิโคโมริมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน ในกรณีร้ายแรงอาจปลีกตัวออกจากสังคมเป็นเวลาปลายปีหรือหลายสิบปี โดยส่วนใหญ่ภาวะนี้เริ่มต้นขึ้นจากการปฏิเสธโรงเรียนหรือสังคมในโรงเรียน