ตอนที่3

3035 Words
     มื้อค่ำง่าย ๆ ผ่านไปด้วยอาหารกระป๋องจากที่ทีมงานเตรียมมา ห้องน้ำชั่วคราวถูกสร้างขึ้นสำหรับทีมงานและกลุ่มสาว ๆ "พี่ ห้องน้ำนี่ถ้าเกิดพวกเราข้ามไปฝั่งโน้นล่ะ เขาจะตามไปสร้างให้เราด้วยมั้ย" มณนิชาถามขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนได้อาบน้ำที่ห้องน้ำบนเรือ และทานมื้อค่ำที่มีปลากระป๋องและพวกขนมปังทาแยมง่าย ๆ ก่อนนั้นก็ถูกพี่หมอกิ่งเตือนไว้ให้ทานกันแค่กันหิวอย่าทานเยอะ เพราะเราอยู่ในที่ลำบากหากเกิดท้องเสียหรือปวดท้องเข้าห้องน้ำบ่อยมันจะไม่ดี พวกเธอเลยพากันกินขนมปังกันไปคนละสองสามแผ่นเท่านั้น "อันนี้พี่ก็ไม่รู้นะ เพราะไอ้ที่เขาสร้างชั่วคราวเขาขุดหลุมแล้วใช้ถังใหญ่แทนท่อฝังลงในดิน จากนั้นก็เอาโถสำเร็จวางประกบกับท่ออ่ะ ถ้าข้ามไปอีกฝั่งเขาจะเอาถังที่ไหนตามเราไปด้วย เพราะมันไม่น่าจะจอดเรือได้นะ" กรนันท์เอ่ยขึ้นให้แต่ละคนเริ่มมีสีหน้ายุ่งเหยิง มองเห็นความลำบากมากกว่าการปีนเขาซะอีก "สงสัยงานจะเข้า กลายเป็นคนป่าจริง ๆ ละมั้งคราวนี้ คงได้ขุดหลุมถ่ายแบบสมัยไม่มีส้วมอ่ะ" กัณภัคพูดขึ้นมาให้แต่ละคนยิ้มแทบไม่ออก คือก็เข้าใจนะ ว่าถ้าเกิดชีวิตจริงต้องติดกลางทะเลแบบนี้ห้องน้ำไม่มี มันก็ต้องแก้ปัญหาแบบนั้นอย่างเดียว "เอาเถอะ ถ้ามันต้องเป็นแบบนั้นจริง ๆ ก็ทน ๆ ลำบากกันแค่เจ็ดวันนะ ไหน ๆ พวกเราก็มาถึงขนาดนี้แล้ว หวังว่าจะไม่มีใครท้องเสียจนวิ่งเข้าป่ากันทั้งวันทั้งคืนนะ" กิ่งกานต์เอ่ยขึ้นมาขำ ๆ พอนึกสภาพแล้วก็ให้สยองอยู่เหมือนกัน ลำพังปวดเบาคงไม่เท่าไหร แต่ถ้าปวดหนักนี่คงลำบากกันหน่อยล่ะ จึก ๆ ชาลิศาหันมามองคนที่เอานิ้วมาจิ้มแขนเธอ "อะไร?" "เจ๊ ไหวป่ะ แบบถ่ายไม่มีห้องน้ำอ่ะ เค้าเป็นห่วง" มณนิชากระซิบถาม ก็นะอย่างเธอน่ะมันคนบ้านนอกคอกนา บางครั้งไปป่าไปเขาไม่มีห้องน้ำก็ต้องแก้ปัญหาเอาตัวรอดได้ แต่คุณดารานี่สิเคยหรือเปล่า "ถ้ามันจำเป็นฉันก็ต้องทำได้ แต่เธอต้องเข้าป่าไปคอยเฝ้าฉันด้วยนะ" "เหวอ ^@^ เจ๊ไม่อายฉันเหรอ" "อย่ามาทะลึ่ง ฉันให้ไปเฝ้าเป็นเพื่อนไม่ได้ให้ไปดูฉันปลดทุกข์" "แหะ ๆ ก็ได้ ๆ ไหน ๆ บัดดี้ ก็ต้องไปไหนด้วยกันอยู่แล้วนี่เน๊อะ" "ขอบใจย่ะ" มณนิชาฉีกยิ้มให้คนที่เอ่ยคำขอบคุณ เวลาไม่กวนประสาทเจ้าเด็กนี่มันก็น่ารักดีหรอกมีน้ำใจดี ชาลิศาคิดในใจ "พรุ่งนี้เช้าที่เขาเริ่มถ่าย ตามชายหาดที่เราเดินเมื่อตอนเย็นทุกคนเห็นใช่มั้ยคะว่ามันมีเศษซากขยะมากมาย เพราะฉะนั้นเราต้องเก็บของที่อาจจะใช้เป็นประโยชน์ได้ติดตัวกันไปด้วย อย่างพวกขวดน้ำ เชือกอะไรพวกนี้เราคงได้ใช้มันแน่" อัญญาวีเตือนให้ทุกคนรับรู้ถึงสิ่งสำคัญ ที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการติดเกาะครั้งนี้ เมื่อวางแผนเตรียมความพร้อมเสร็จก็พากันแยกย้ายพักผ่อน ไม่มีนาฬิกา ได้แต่กะเวลาคร่าว ๆ กันเอาเองว่าตอนนี้ก็คงจะสามสี่ทุ่มไปแล้ว "นี่คุณ คุณแบ่งเสื้อผ้ามาใส่เป้ฉันไว้เลย พรุ่งนี้เราไม่มีเวลาเตรียมอะไรแล้วนะ" "ไม่เป็นไรหรอกฉันไหวน่ะ มันไม่ได้หนักขนาดนั้นหรอกคุณ" เนย่าบอกออกไป "ไม่หนักอะไรฉันลองยกดูกล้ามแทบขึ้น แบ่งมาเถอะน่าช่วย ๆ กัน เอาชุดชั้นในมาก็ได้" ป๊าบ โอ๊ะ ฝ่ามือบางฟาดเข้าต้นแขนอีกคนด้วยความหมั่นไส้ "นี่คิดอะไรแต่ละอย่างโรคจิตจริง ๆ เลยนะคุณนี่ งั้นคุณมาแบกกระเป๋าฉัน ฉันจะแบกของคุณแทนโอเคมั้ย ขี้เกียจแบ่ง" "ห๊า! เอางั้นเลยเหรอคุณมันหนักนะ" "เอาแบบนั้นแหละ คิดจะจีบกันก็หัดทำตัวเป็นหญิงเหล็กหน่อยนะคะคุณนักแข่ง" ได้ทีเนย่าก็ตอกกลับด้วยรอยยิ้มสะใจที่ได้แกล้งอีกฝ่าย "อ้อ นี่คุณเตรียมการมาพิสูจน์รักแท้กับฉันเหรอเนี่ย ฉันแบกเป้คุณก็ได้นะ แต่คืนนี้ขอนอนกอดหน่อยแบบติดหมอนข้างอ่ะ ไม่มีอะไรกอดนอนไม่หลับ ถ้านอนไม่หลับพรุ่งนี้ฉันไม่มีแรงลุยป่าปีนเขาแน่ ๆ เลยคุณ" "อุ๊ย! คุณนี่มันจอมฉวยโอกาสจริง ๆ เลยนะ" เนย่าอุทานขึ้นเพราะตกใจที่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็รั้งเธอลงนอน พร้อมกับอ้อมแขนที่กอดกระชับแน่นแทบกระดิกไม่ได้ "จุ๊ ๆ นอนค่ะนอน อากาศตอนดึกเย็นจะตายกอดแบบนี้แหละอุ่นดีออก" คำพูดของทั้งสองไม่ใช่ว่าทุกคนไม่ได้ยิน แต่ไม่มีใครเอ่ยขัดขึ้นมาต่างหาก ได้แต่แกล้งนอนแต่ก็พากันอดยิ้มขำกับความเจ้าเล่ห์ของนรากรไม่ได้  ส่วนคนเจ้าเล่ห์ก็หลับตายิ้มกริ่มในความมืด ที่มีเพียงแสงดาวคลอแสงจันทร์ พร้อมเสียงคลื่นสาดซัดเห่กล่อมให้หลับไหล     เพียงแค่ท้องฟ้าเริ่มขมุกขมัวเสียงเป่านกหวีดแทนนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้น ให้สาว ๆ ที่กำลังหลับไหลสะดุ้งตื่นไปตาม ๆ กัน "ทุกคนตื่นเตรียมตัวกันได้แล้วนะคะ" เสียงเรียกภายนอกเต๊นท์ของทีมงานหญิงดังขึ้น "อือ กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย" เสียงงัวเงียขยับตัวพึมพำถามไถ่ ก่อนที่กัณภัคจะเปิดม่านที่ปิดแทนประตูออก เห็นเพียงภาพลาง ๆ ของยามเช้าตรู่ ลมเย็นหอบเอากลิ่นน้ำทะเลพัดผ่านมาสัมผัสทันที ที่โผล่หน้าออกจากที่พัก "น่าจะตีห้ากว่า ๆ นะคะ แสงยังไม่มาเลย" "ทุกคนตื่นล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วมาทานมื้อเช้ากันนะคะ รายการจะเริ่มถ่ายทำตอนเจ็ดโมงตรงค่ะ" ทีมงานหญิงคนเดิมเดินเข้ามาแจ้งอีกครั้ง พร้อมส่งยิ้มทักทายผู้เข้าแข่งขัน "นี่เธอกินเยอะไปหรือเปล่า เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก" ชาลิศาอดทักเด็กป่วนไม่ได้ ก็มณนิชากินข้าวต้มไปสองชามแล้ว ไหนจะขนมปังแผ่นอีก "ไม่ปวดหรอกเจ๊ข้าวต้มแค่นี้แป๊บเดียวก็ย่อยแล้ว ฉันต้องกินตุนไว้เยอะ ๆ เจ๊อ่ะกินนิดเดียวเดี๋ยวก็ไม่มีแรงปีนเขาหรอก" มณนิชามองไปยังชามข้าวต้มที่มีเพียงครึ่งถ้วย กับขนมปังสองแผ่นของอีกคน "ก็ฉันไม่เคยกินอะไรหนัก ๆ มื้อเช้าน่ะ ก็กินได้เท่านี้แหละ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงฉันก็ไม่เป็นลมให้เธอแบกก็แล้วกัน" "ถึงเจ๊เป็นลมฉันก็คงแบกไม่ไหวหรอกนะ คงปล่อยให้เจ๊ฟื้นเองน่ะ" "ชิ ไร้น้ำใจ" "อ้าว เจ๊ก็ดูตัวฉันสิไม่ได้ใหญ่กว่ากันเลยนะ ใครจะแบกไหวล่ะ เอาเหอะน่า ยังไงฉันก็จะดูแลเจ๊จนฟื้นเดินต่อได้นั่นแหละ ไม่ทิ้งไว้ในป่าหรอก" "เออ ขอบใจ" กัณภัคมองรุ่นน้องตัวเองต่อปากต่อคำกับดาราสาวก็อดขำไม่ได้ ไม่รู้ชาลิศาจะโดนเจ้าตัวแสบนี่แกล้งอะไรบ้าง แต่เรื่องมีน้ำใจและช่วยเหลือคนอื่น มณนิชาก็มีไม่น้อยกว่าใครหรอกถึงจะชอบกวนประสาทก็เถอะ ผู้แข่งขันพร้อม ทีมงานตากล้องพร้อม เกมรอดชีวิตพิชิตเงินล้าน เริ่ม สาว ๆ ทั้งสิบแต่งตัวแทบจะไม่แตกต่างกัน แต่ละคนอยู่ในเสื้อผ้าหนาสีกากีคล้ายชุดทหารมีหมวกผ้าคลุมปิดใบหน้ากันทุกคน  เมื่อเกมเริ่มทุกคนก็ทำตามที่ได้วางแผนไว้ เดินหาเก็บเอาเศษขวดพลาสติกที่ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้  กัณภัคสอดส่ายตามองไปรอบ ๆ หวังอยากเห็นพวกกระติกขนาดใหญ่หรือถังอะไรที่ถูกพัดมาเกยบนเกาะแห่งนี้บ้าง ก็ยังไม่เจอนอกจากพวกขวดน้ำขนาดเล็ก "คุณเจออะไรบ้างนอกจากพวกขวดน่ะ" เรวิกาเดินเข้ามาถาม คนที่ใช้เท้าเขี่ยเศษขยะบนดินให้หันมามอง "ยังไม่เจออะไรมากกว่าขวดเหมือนกัน น่าจะมีพวกถังพลาสติกขนาดใหญ่บ้างนะ เผื่อเราต้องใช้กลั่นน้ำ" "นั่นสิ เดินมาจะสุดหาดแล้วน่ะ คงต้องหวังพึ่งหาดอีกฝั่งแล้วล่ะ" เรวิกาบอกเมื่อมองไปเห็นเพื่อนร่วมทีม ได้ของติดมือกันคนละสองสามชิ้น "พวกเรา รีบไปกันเถอะค่ะ" อัญญาวีกวักมือเรียกทุกคนเพื่อจะเดินลัดเลาะเข้าไปในป่า เมื่อพากันเดินมาจนสุดริมหาด อาศัยความที่ออกสำรวจป่าเขาเพื่อนำพวกหินดินในแต่ละที่ไปวิจัย เรื่องเดินป่าจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนักสำรวจธรณีอย่างเธอ เมื่อเดินเลาะมาตามผาที่สูงต่ำไล่ระดับกันให้เห็น ก็เริ่มรู้ตัวว่าทางที่กำลังเดินกันเป็นเนินเขาสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ อัญญาวีเดินนำ ตามด้วยกรนันท์ กิ่งกานต์ ณัฐพัช ชาลิศา มณนิชา เนย่า นรากร และเรวิกากับกัณภัค ที่เดินปิดท้ายขบวน แต่ละคนยังก้าวเดินไปด้วยความกระฉับกระเฉง มีเสียงพูดคุยปรึกษากันเป็นระยะถึงเส้นทางที่ต้องการจะไป ป่าดิบชื้นที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย บางจุดหนารกบางจุดเนินชันก็ต้องคอยเกาะเกี่ยวกันขึ้นไป จนเมื่อเวลาผ่านไปนานพอสมควร ทั้งหมดก็ขึ้นมาถึงจุดสูงที่สามารถมองลงไปเห็นทิวทัศน์บริเวณอีกฝั่งได้สมใจ "นั่นไง ยอดมะพร้าวมีให้เห็นลิบ ๆ นั่น" อัญญาวีชี้มือไปยังที่ต่ำที่มองเห็นยอดมะพร้าวและหาดเล็กห่างออกไป แต่อย่างน้อยสิ่งที่คิดไว้ก็พอให้ทุกคนยิ้มออกมาได้บ้าง แม้จะต้องหาทางไปให้ถึงจุดนั้น ที่กะด้วยสายตาคงเกินสามกิโลแน่ ๆ "เดี๋ยวเราเดินเลาะไปตามผานี่ดูนะเผื่อมีช่องทางให้เราลงไปข้างล่างได้"     เมื่อผู้นำเสนอ ผู้ตามก็พร้อมทำตามขบวนเริ่มออกเดินกันต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อหาจุดที่จะลงไปจากเนินเขา สุดท้ายก็เจอเข้ากับเนินต่ำด้านล่าง หากมองจากจุดที่พวกเธออยู่คงสูงจากพื้นขึ้นมาประมาณสามเมตรได้ แต่มันมีต้นไม้รากไม้ระโยงระยางดิ่งลงตามช่อง ที่คงจะโดนน้ำฝนไหลผ่านลงสู่ด้านล่างนั่นเอง "เราคงต้องอาศัยพวกต้นไม้รากไม้นี่เกาะลงไปยังพื้นข้างล่างนะ พวกเราคิดว่าไง" อัญญาวีเดินไปชะโงกหน้าสำรวจลงไปที่พื้นเบื้องล่างก่อนหันมาบอกทีม น้อง ๆ พากันเดินไปดูบ้างก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะดูจากรากไม้ที่น่าจะทนทานพอที่จะใช้เกาะตัวลงไปได้ "เราหาพวกเครือไม้ยาว ๆ มาผูกต่อกันแล้วหย่อนกระเป๋าลงไปก่อนดีกว่านะ จะได้ลงไปแค่ตัวเปล่ากัน" กิ่งกานต์เสนอขึ้น และทุกคนก็เห็นด้วยอย่างน้อยจะได้มั่นใจว่าสัมภาระจะไม่หล่นกลิ้งไปที่อื่น จนต้องเสียเวลาไปควานหา ไม่นานกระเป๋าของทุกคนก็ลงไปนอนแอ้งแม้งที่พื้นด้านล่างเรียบร้อย "เดี๋ยวพี่จะลงไปก่อนแล้วกันนะ  นี่ถ้าไม่ห่วงสวยพี่จะโหนเป็นทาซานให้ดู" "ฮ่า ๆ พี่อัญอย่าเลยพี่พวกเราเป็นห่วงค่ะ" "ยังจะมาพูดเล่นอีกนะคุณนี่ ระวังด้วยล่ะถึงฉันจะเป็นหมอ แต่วันนี้ไม่อยากปฐมพยาบาลใครนะเพราะไม่มีอุปกรณ์" กิ่งกานต์เอ่ยเตือนคนอายุเท่ากัน ที่ทำท่าจะโหนเถาวัลย์โชว์ พลางส่ายหน้าแต่ก็อดขำไม่ได้ นี่มาเที่ยวหรือมาติดเกาะก็ไม่รู้ดูจะไม่ทุกข์ร้อนกันเลย อัญญาวีใช้มือเกาะตามรากไม้และใช้เท้ายันกับผนังดิน ค่อยขยับโรยตัวลงไปเรื่อย ๆ ให้คนที่คอยมองลุ้นด้วยความเป็นห่วง สุดท้ายต่างคนก็ถอนหายใจโล่งอก เมื่อรุ่นพี่ลงไปยืนที่พื้นได้พร้อมกวักมือเรียกคนด้านบนให้ตามลงไปได้ คราวนี้คนที่เหลือพากันทยอยลงไปเป็นคู่ ๆ เพื่อความรวดเร็ว ทักษะที่เคยฝึกซ้อมในช่วงก่อนมีการทดสอบถือว่าใช้ได้ผลดี เมื่อทั้งสิบคนลงไปอยู่พื้นด้านล่างได้ด้วยความปลอดภัย "จากนี้ที่เราจะออกไปสู่ชายหาดพวกเราช่วยกันดูนะ ว่าจะเจออะไรที่พอจะเป็นอาหารให้เราได้บ้างระหว่างทาง" เมื่อทุกคนรับคำและเตรียมพร้อมเดินทางต่อ แต่คงลืมไปว่าตอนนี้กำลังถ่ายรายการอยู่ "เดี๋ยวคร้าบ รอตากล้องด้วยครับ" นั่นล่ะพาเอาทุกคนถึงกับหลุดขำตาม ๆ กัน เมื่อหันกลับไปเจอทีมกล้องกำลังพากันขนอุปกรณ์ โรยตัวด้วยเชือกสลิงลงมาจากเขาด้านบน หลังจากนั้นการเดินทางถึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง "ยอดพวกนี้มันใช่ผักกูดมั้ยพี่หมอ" เนย่าถามเมื่อทางที่เดินผ่านเจอพวกยอดอ่อนของพืช ที่ต้นคล้ายกับเฟิร์นขึ้นอยู่ทั่วไป "ใช่ค่ะ พวกเราจะเก็บไปด้วยก็ได้ถ้าไม่มีอะไรกิน ก็เอาผัดกะทิกินแล้วกันน่าจะอร่อยดี" เมื่อได้รับคำยืนยันก็พากันเด็ดเอายอดสวย ๆ อวบ ๆ ไปกำใหญ่ "เฮ้ ทุกคนดูนั่นสิ" อัญญาวีที่เดินนำหน้าไปก่อนเรียกขึ้นน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะชี้มือไปยังสิ่งที่เห็นอยู่ไม่ไกล "ว๊าว ต้นไผ่  ต้นไม้สารพัดประโยชน์โชคดีจังที่เราเจอมัน" "ใช่ งั้นพวกเราตัดขนออกไปเลยดีกว่านะ ยังไงเราต้องสร้างที่พักชั่วคราวด้วยไม้ไผ่นี่แหละ" "จัดไปค่ะพี่" ขบวนสาว ๆ เฮโลตามกันไปยังกลุ่มต้นไผ่กอใหญ่  "ช่วยกันดูซิคะ มีหน่อหรือเปล่า" กิ่งกานต์บอกน้อง ๆ ให้ช่วยกันเดินดูรอบ ๆ เผื่อเจอหน่อไผ่ยังได้นำไปเป็นอาหารได้ แต่ละคนแยกเดินวนเอาไม้เขี่ยดูไปรอบ ๆ "พี่ ๆ ฉันเจอหน่อไม้แล้ว กำลังสวยเลยค่ะ" มณนิชาตะโกนบอกน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะมุดตัวเข้าไปหักเอายอดหน่อไม้ขนาดเท่าต้นแขนผู้ใหญ่ออกมาโชว์ จากนั้นก็เจอหน่อไม้เพิ่มอีกสามสี่หน่อให้ทุกคนพลอยมีรอยยิ้มดีใจ เมื่อได้อาหารสำหรับวันนี้ กัณภัคมองไปรอบลำไม้ไผ่เพื่อสังเกตุหาอะไรบางอย่าง ให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ นึกสงสัยไปด้วย "หาอะไรคะ" เรวิกาเอ่ยถามคนที่ยืนถือมีดเงยหน้ามองต้นไผ่ "ฉันกำลังมองหาต้นไผ่ที่น่าจะมีด้วงน่ะ คุณช่วยดูหน่อยนะสังเกตุดูลำไหนที่มันมีรอยกัดแทะเหมือนแมลงกินน่ะ เดี๋ยวฉันจะตัดต้นไผ่ไปด้วยจะได้ไม่เสียเวลา" "อืม ๆ เดี๋ยวช่วยดู" ด้วงไผ่มีโปรตีนเยอะสามารถนำมาเป็นอาหารได้ และส่วนมากก็มักจะมีอยู่ทั่วไปตามลำไผ่ สาว ๆ แยกกันทำหน้าที่ ณัฐพัชแยกไปตัดลำไผ่อีกกอ กัณภัคตัดอีกกอ ส่วนที่เหลือพยายามเดินหาพืชผักแม้กระทั่งเห็ด ที่สามารถจะนำไปเป็นอาหารได้     มณนิชาเดินเอาไม้เขี่ยตามพื้นดินไปด้วย จุดที่พวกเธออยู่ไม่ค่อยมีต้นไม้หนาทึบ ยังพอมีแสงสว่างส่องลงมาประปราย นั่นอาจจะทำให้มีพวกเห็ดที่สามารถกินได้เกิดขึ้นบริเวณนี้บ้าง ประสบการณ์หาเห็ดในป่าของเด็กบ้านนอกอย่างเธอ การหาของป่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ลำบากเกินไปนัก การสังเกตุเห็ดว่ากินได้หรือเห็ดมีพิษก็ต้องดูเป็นด้วย "อ๊า นี่ไง เจอแล้ว ชะอุ๊ย มีของแถมด้วย นาทีนี้หอยทากฉันก็ต้องกินจ้า ปกติกินแต่หอยโข่งเด้อสิบอกไห่" เสียงงึมงำคุยกับตัวเองทำให้ตากล้องที่ตามถ่ายอดขำไม่ได้เหมือนกัน ชาลิศาเองก็ไม่ต่างกัน เอาไม้เดินเขี่ยเศษใบไม้ไปทั่ว "เอ๊ะ โอ๊ว เจ้าป่าเจ้าเขาคงเมตตาสงสารลูกใช่มั้ยเจ้าคะ ลูกขอบคุณมาก ๆ เลยเจ้าค่ะ" นางร้ายสาวยกมือไหว้ประหลก ๆ ด้วยความตื่นเต้น เมื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันคือหมู่เห็ดโคนกลุ่มใหญ่ นี่เกาะสวรรค์ชัด ๆ เลย "ม่อน ม่อนมานี่เร็ว" ชาลิศาร้องเรียกเด็กตัวสูงที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ไม่ไกลกันนัก มณนิชาเดินเข้ามาหาอีกฝ่าย ก่อนจะเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่ออีกคนชี้ให้ดูเห็ดกลุ่มใหญ่ตรงหน้า "โอ้โหเจ๊ นี่มันสวรรค์บนดินจริง ๆ เลย เจ๊เอาไปผัดกะทิแทนน้ำมันหอยนะ สุดยอดอ่ะ นึกแล้ว หิวอ่ะ" "อย่าเพิ่งหิว มาช่วยกันเก็บเร็วเข้า" "แป๊ปนึงนะ ฉันไปหาใบตองมาทำกระทงก่อน เจ๊เก็บรอไปก่อน นี่เอาไม้จิ้มลงดินแล้วงัดแบบนี้นะขาจะได้ไม่หัก" "โอเค ๆ" ชาลิศารับคำแล้วทำตามใบหน้าสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น นี่มันครั้งแรกในชีวิตที่เธอได้มาเจอกับตาได้เก็บเห็ดกับมือจะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไงกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD