ตอนที่10

3080 Words
      เช้าวันที่สามบนเกาะร้าง ภารกิจแรกคือการเข้าไปตรวจดูกับดักที่วางไว้ในป่าเมื่อวาน สาว ๆ ทั้งห้าที่นอนกระท่อมหลังนอก ตื่นมาจัดการล้างหน้าล้างตาได้หัวมันเผารองท้องมื้อเช้า เสร็จก็พากันมุ่งหน้าเข้าป่าทันที เหมือนทุกครั้งระหว่างทาง เจออะไรที่กินได้ทุกคนก็เก็บใส่ย่ามกันไป “กับดักเราจะป็นไงนะลุ้น ๆ” ณัฐพัชกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อพากันเดินใกล้ถึงจุดที่วางกับดัก “ลุ้นว่าพี่อัญจะได้เป็นมือสังหารเหรอคะพี่ณัฐ” คิก ๆ เสียงหัวเราะคิกคัก เมื่อนรากรเอ่ยล้อรุ่นพี่ขึ้นมาบ้าง “อะแฮ่ม นี่ใจคอจะให้พี่จัดการจริง ๆ เหรอ” อ้าว! ฮ่ะ ๆ “พี่อัญไม่อยากเป็นสวยสังหารแล้วเหรอคะ” มณนิชาหัวเราะ พร้อมเอ่ยเย้าพี่ใหญ่ที่หันมาทำหน้าแหย พรึ่บพรั่บ กะตั๊ก ๆ “ฮึ้ยเอาแล้วไงล่ะ ไก่หมดบุญติดกับดักแน่ ๆ” กัณภัคเอ่ยขึ้นน้ำเสียงตื่นเต้น เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติคล้ายกับเสียงกระพือปีกแถมเสียงร้อง กะตั๊ก ๆ ให้ทั้งห้าคนรีบรุดตรงไปดู แล้วก็เป็นจริงเมื่อเจอกับไก่ป่าตัวรุ่น ๆ โดนบ่วงรัด แล้วยังติดมาตั้งสองตัวสงสัยจะเป็นไก่คู่กรรมซะละมั้ง เพราะเป็นตัวผู้กับตัวเมียด้วย (เซ็นเซอร์วิธีจัดการ) กลิ่นหอมของไก่สองตัวที่ถูกย่าง ส่งกลิ่นเรียกน้ำย่อยพาให้หิวกันเลย “ย่างแค่นี้พอแล้วมั้งไนซ์ เดี๋ยวไปจัดการต่อที่พัก” อัญญาวีบอกกับน้องเมื่อเห็นว่าไก่น่าจะสุกเบื้องต้นแล้ว จากนั้นก็พากันเอาน้ำรดกองไฟและกลบด้วยดินอีกรอบ จึงพากันกลับออกไปยังที่พักชายหาด “พากันมาโน่นแล้วค่ะพี่หมอ” ชาลิศาบอกรุ่นพี่เมื่อมองเห็นกลุ่มสาว ๆ ที่หายไปแต่เช้ามืด กำลังเดินคุยหัวเราะต่อกระซิกออกมาจากป่า “สีหน้าชื่นมื่นแบบนี้ สงสัยจะได้อาหารมานะคะ” กรนันท์ที่ไม่ได้ไปด้วยเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “อาหารเช้ามาแล้วจ้า” ใบตองที่ห่อมาอย่างดี ถูกเผยออกพร้อมกลิ่นหอมของไก่ย่าง “โหได้มาคู่เลยเหรอเนี่ย” “ค่ะ สงสัยเขาจะเป็นคู่กรรม” กัณภัคตอบ “เราจะทำอะไรกินดีล่ะ นี่ย่างมาลวก ๆ นะยังไม่สุกดีหรอก” อัญญาวีปรึกษาทุกคน “อืม เอาแบบนี้มั้ยคะ ตัวหนึ่งต้มข่าไก่ใส่เห็ดพวกนี้ อีกตัวก็ย่างแล้วก็แบ่งเอาเนื้อส่วนอกนี่ มาฉีกเป็นเส้นฝอยเล็ก ๆ เดี๋ยวจะยำให้กินค่ะ” “หูยเมนูพี่หมอเรียกน้ำย่อยมากเลยค่ะ” นรากรบอกพร้อมกับกลืนน้ำลายไปด้วย ให้ที่เหลือพากันเห็นด้วยกับสามเมนูที่คุณหมอเสนอมา “เออกัณเมื่อวานไม่รู้ว่าพากันวางกับดักปลาไว้จุดไหน พี่คุยกับพี่หมออยู่ว่าจะลงไปดูให้” กรนันท์นึกได้พูดขึ้นมา “อ๋อไม่เป็นไรพี่เดี๋ยวกัณกับม่อนลงไปดูเอง พอดีย้ายกลับไปวางแถวที่เดิมวันแรกน่ะ” “พูดแล้วก็ลงไปดูเลยดีกว่านะพี่ เราไม่ได้เอาขึ้นมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว” “อืม ว่าแต่ไส้ไก่นี่มีใครจะกินมั้ยคะ ฉันว่าจะเอาไว้เป็นเหยื่อใส่กับดักน่ะ” กัณภัคเผยห่อใบตองเล็กให้ทุกคนดู ก็เห็นไส้ที่จัดการย่างสุกมาแล้ว แต่ละคนก็พากันส่ายหน้ากัณภัคจึงแยกออกไปวางไว้ต่างหาก ก่อนที่สองพี่น้องนอกไส้จะพากันลุยน้ำลงไปดูกับดัก “ที่รักเมื่อคืนหลับฝันดีป่ะ” เนย่าหันมามองคนนั่งข้าง ๆ ที่ส่งคำถามแถมด้วยรอยยิ้ม จนคนเห็นยังนึกหมั่นไส้ไอ้สายตาวิบวับเป็นประกาย ไหนจะคำเรียกขานแสนน่าอายนี่อีก “ถามทำไมคะ” หญิงสาวย้อนถามมือก็เขี่ยถ่านไฟสีแดงในกอง ให้กระจายความร้อนเพื่อที่ไก่ย่างจะได้สุกดี “ก็อยากรู้ไงว่าจะฝันดีเหมือนกันหรือเปล่า เมื่อคืนเค้าฝันถึงที่รักด้วยนะ คิก ๆ” นรากรหัวเราะคิกคัก ให้คนได้ยินอดที่จะหน้าขึ้นสีไม่ได้ และยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อ ณัฐพัชที่นั่งสับไก่อีกตัวอยู่ไม่ไกลก็ถามขึ้นมา “ไนซ์ฝันถึงเนย่าจริง ๆ เหรอ เมื่อคืนน่ะ” “จริงสิพี่ ไนซ์ไม่โกหกหรอก” นรากรตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ฮ่า ๆ “แหมคงจะฝันดีจริง ๆ นะ ถึงกับละเมอพูดออกมากันเลย” “เฮ้ย! จริงเหรอพี่ณัฐ ไนซ์ละเมอจริงเหรออย่ามาอำกันนะพี่ ไม่เคยหรอก” คนที่ไม่เคยรู้ว่าตนนั้นนอนละเมอจริงหรือเปล่า รีบร้องค้านรุ่นพี่อย่างไว นั่นยิ่งทำให้ณัฐพัชขำเข้าไปอีก “เขาละเมอว่าไงเหรอคะพี่ณัฐ” เนย่าอดถามออกไปไม่ได้ ส่วนคนที่นอนติดกันกับนรากร ก็เผยยิ้มล้อเลียนออกมาก่อนจะตอบ “พี่ได้ยินแต่เสียงครางอ๊าอ๊ะ กับเสียงทำปากดังแจ๊บ ๆ น่ะเนย่า ทีแรกนึกว่าเจ้าไนซ์มันโดนมดกัดหรือเปล่า พอลุกขึ้นมอง ก็เห็นมันนอนกอดกระเป๋าเป้มันแน่นเลย” ฮ่า ๆ ๆ คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะขำของณัฐพัช แต่เป็นทั้งหมดที่ได้ยินกันเลยแหละ “โอ๊ย ๆ เนย่ามาหยิกไนซ์ทำไมเนี่ย” นรากรที่ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อเมื่อโดนรุ่นพี่แซวแบบนั้น แต่คนที่อายมากกว่าใบหน้าแดงเถือกลามไปถึงลำคอ กำลังหยิกแขนเธอจนเนื้อจะหลุดแล้วเนี่ย “คุณนี่มันทะลึ่งโรคจิตจริง ๆ เลยนะ ในหัวนี่คิดแต่เรื่องอะไรอยู่ห๊ะ” “จะคิดอะไรล่ะ ก็คิดแต่เรื่องที่รักคนเดียวนั่นแหละ ไม่งั้นจะฝันถึงหรือไง” ไม่มีทางที่คนอย่างนรากรจะสลด ก็มันเรื่องจริงนี่นาส่วนที่ในฝันว่ายังไงถึงได้ละเมอออกมาแบบนั้น คุณนักอ่านก็จินตนาการเองแล้วกัน แต่ขอบอกว่าแค่18+นะมันยังไม่ถึง25+หรอก เนย่าทั้งอายทั้งเขินไม่รู้จะทำหน้ายังไงแล้ว ทั้งเพื่อนทั้งพี่ ๆ ก็พากันหัวเราะทั้งส่งสายตาล้อเลียนมาอีก ฮึ่ยเธอไม่น่าถามพี่ณัฐออกไปเลยจริง ๆ “อ้าว ไม่ได้อะไรติดกับดักเหรอคะ” เรวิกาเอ่ยถามสองสาวที่เดินตัวเปล่ากันขึ้นมา แต่ใบหน้ากลับเปื้อนยิ้ม “ใครบอกไม่ติดละคะ แต่เรามีอาหารเช้ากันแล้วถ้าเอาขึ้นมากลัวมันจะตายก่อนทำอาหารน่ะ ก็เลยทิ้งไว้ในน้ำก่อนตอนเที่ยงค่อยลงไปกู้อีกทีค่ะ” กัณภัคบอกออกไปให้ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ “เจ๊ ๆ เมื่อคืนสงสัยเจ้าที่ท่านจะชอบท่าเต้นม่อนนะ คิก ๆ รู้ป่ะ มีกุ้งติดกับดักตั้งสองตัวเลยอ่า” “ห๊า! จริงเหรอ ไอ้ท่าเต้นตลก ๆ ของเธอนี่เรียกกุ้งได้ตั้งสองตัวเลยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ” ชาลิศาทำสีหน้าประหลาดใจไม่น้อย ก็นึกถึงไอ้ท่าเต้นรอบกองไฟของเจ้าเด็กนี่เมื่อคืน ก็ยังนึกขำไม่หาย “จริงจริ๊ง ตัวใหญ่ด้วยนะ นี่สงสัยวันออกจากเกาะม่อนต้องโชว์ระบำชาวเกาะให้ท่านอีกสักรอบแน่ ๆ อาหารอุดมสมบูรณ์ดีจังคิก ๆ” คำพูดของน้องเล็กก็พาให้พี่ ๆ ทุกคนยิ้มขำ และก็เห็นด้วยกับเรื่องความสมบูรณ์ของอาหารบนเกาะร้างแห่งนี้     อาหารเช้าสามเมนูเสร็จพร้อมที่จะลงมือกินกันแล้ว ต้มยำข่าไก่ใส่เห็ดหลากหลายสูตรตามมีตามเกิด แต่หน้าตาไม่อยากบอกว่าแค่เห็นกับได้กลิ่น ก็พาให้นึกถึงข้าวสวยร้อน ๆ ทันที กลิ่นหอมข่าบวกกะทิลอยมาเตะจมูกจนต้องกลืนน้ำลายลงคอ อีกเมนู ยำไก่เส้นก็ไม่น้อยหน้ารสชาติเปรี้ยวหน่อย ๆ จากน้ำตะลิงปลิงบวกเครื่องเคียงอย่างข่าขิงใบชะพลูหั่น คลุกเคล้าจนเข้ากันดีถึงจะขาดพริกแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะความเผ็ดร้อนจากสมุนไพรที่หาได้ ก็ยังคงช่วยให้รสชาติอาหารไม่ได้ด้อยความอร่อยไปสักเท่าไหร “หืมขิงดองน้ำผึ้งนี่อร่อยจริง ๆ มันแบบหอมน้ำผึ้งน่ะ” อัญญาวีเอ่ยขึ้นมาเมื่อลองกินขิงที่สี่สาวพากันดองเมื่อวาน รสชาติมันหวานเค็มนิด ๆ เมื่อทุกคนลองชิมดูก็ต่างพากันเห็นด้วย ถ้าทำให้มันเต็มสูตร แบบมีน้ำส้มสายชูผสมมันคงอร่อยมากกว่านี้ เมื่ออิ่มท้อง งานที่ได้วางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อคืนกำลังจะเริ่มขึ้น ก็คือการทำโต๊ะสำหรับวางอาหารนั่นเอง ต้นหูกวางต้นใหญ่เป็นสิ่งกำบังแดดได้มากพอสมควร มันจึงเป็นสถานที่พักอย่างดีให้พวกเธอ กระท่อมสองหลังที่ปลูกขึ้นเคียงกัน พื้นที่ยกสูงประมาณเข่าด้านใต้ยังใช้เป็นที่นอนเล่นพักผ่อนได้อีกด้วย “อยากหัดสานตะกร้าไม้ไผ่มั้ยคะ” กัณภัคหันมาถามสองสาว ที่นั่งมองเธอกับมณนิชาช่วยกันผ่าไม้ไผ่เป็นซี่เล็ก ๆ เรวิกากับชาลิศานั่งดูอยู่ไม่ไกลเพราะยังไม่รู้จะช่วยยังไง เมื่ออีกคนถามขึ้นก็รีบพยักหน้าทันที “งั้นรอแป๊บนึงนะคะ ฉันเหลาไม้ไผ่พวกนี้เป็นเส้นก่อนเดี๋ยวจะสอนให้” กัณภัคใช้มีดที่มีอยู่เล่มเดียว เพราะอีกเล่มกรนันท์กับณัฐพัชกำลังไปปีนตัดมะพร้าวชุดใหม่ลงมาไว้ เพราะที่มณนิชาเอาลงมาวันแรกนั้นเหลือแค่สามลูกเท่านั้น เนย่ากับนรากรอาสาไปช่วยหาเถาวัลย์สำหรับมาผูกยึดโต๊ะ ส่วนพี่ใหญ่สองคนอัญญาวีกับกิ่งกานต์พากันเข้าป่า ไปเก็บเอาระกำและตะลิงปลิงมาไว้กินและทำอาหาร    เรวิกานั่งมองคนที่ขมักเขม้นใช้มีดเหลาไม้ไผ่อย่างคล่องแคล่ว เรียวปากถูกยกยิ้มขึ้นบาง ๆ บอกไม่ถูกเวลาเห็นภาพผู้หญิงนั่งทำอะไรแบบนี้ มันก็ดูมีเสน่ห์ดีเหมือนกันนะ มือข้างที่ไม่ได้ถือมีดถูกพันด้วยเศษผ้ารอบ ๆ นิ้วมือ ป้องกันเสี้ยนจากไม้ไผ่บาดเอา และเธอกับชาลิศาเองก็ถูกสั่งให้ทำเช่นเดียวกัน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงไม้ไผ่เส้นเล็กยาวประมาณหนึ่งเมตรหลายเส้น ก็ถูกเหลาจนบางพอที่จะใช้สานได้ จากนั้นกัณภัคก็สอนทั้งสองสาวให้ลองหัดสานดู โดยเธอสานให้ดูเบื้องต้นและดูท่านักเรียนสาวจะหัวไวเหมือนกัน ดารากับนางแบบสาวค่อย ๆ ใช้เส้นไม้ไผ่สานไปเรื่อยจนมันเริ่มเป็นรูปร่าง และเนย่ากลับนรากรที่กลับมาก็ลองทำบ้าง ต่างคนต่างทำงานของตัวเองพูดคุยหยอกล้อกันไปด้วย จากที่ไม่รู้จักตอนนี้ก็กลายเป็นเริ่มสนิทกันไปแล้ว ยกเว้นคู่หนึ่งที่ดูจะมากกว่าคำว่าสนิทนะ “ทำอะไรกันคะนั่น สานตะกร้าเหรอ” กรนันท์ที่ลากเอาทะลายมะพร้าวกลับกระท่อมมา เห็นน้องกำลังนั่งสานอะไรกันอยู่ “ค่ะพี่นันท์ ว่าง ๆ กัณเค้าเลยช่วยสอนให้ค่ะ เผื่อจะได้ใช้ใส่อะไรได้บ้าง” เรวิกาเงยหน้ามาตอบรุ่นพี่ “แต่ม่อนว่ามันจะเป็นตะกร้าหรือจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ค่ะ ฮ่ะ ๆ เจ๊ ฐานมันได้แล้วล่ะ เจ๊ต้องรวบพวกนี้ให้มันโก่งเข้ามามันจะได้เป็นรูป นี่แบบนี้ให้พี่เรช่วยจับก่อนก็ได้” มณนิชาบอกพร้อมทำให้ดู สุดท้ายเรวิกาก็เลยต้องมาช่วยเพื่อนจับ เพื่อให้ขึ้นรูปเป็นตะกร้าได้ “มีอะไรให้ช่วยมั้ย กัณม่อน” ณัฐพัชที่ลากเอาทะลายมะพร้าวตามมาเอ่ยถามรุ่นน้อง “พี่ณัฐมาพอดี เดี๋ยวเอามีดมาช่วยเจาะรูไม้ไผ่ที่กัณขีดเป็นจุด ๆ นี่ให้หน่อยค่ะ เจาะให้ทะลุทั้งสองฝั่งนะพี่ เดี๋ยวจะเอาไม้สอดเป็นคานค่ะ” ณัฐพัชมองดูลำไม้ไผ่ที่ถูกตัดเป็นท่อนยาวเท่า ๆ กัน ตอนนี้มีรอยจากถ่านไฟขีดเป็นจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ก็พอจะเข้าใจสิ่งที่น้องบอก แต่ด้วยเธอไม่ได้มีฝีมือในเรื่องประดิษฐ์ประดอยงานแบบใช้แค่มีดแบบนี้ ก็กลัวว่ามันจะไม่ได้เรื่องตามที่ต้องการ “เอ่อ คือพี่ไม่เคยเจาะแบบใช้มีดน่ะ กลัวมันจะแตกเละซะหมด เปลี่ยนให้พี่ผ่าไม้เป็นซี่ดีกว่านะ” กัณภัคมองรุ่นพี่ที่บอกมาก่อนจะยิ้มขำ “ได้ค่ะ งั้นพี่มาเหลาไม้สำหรับทำคานสอดแล้วกัน” จากนั้นกัณภัคก็ขนเอาลำไผ่ที่จะใช้เป็นขาตั้งโต๊ะมาเจาะรู โดยใช้คมมีดกรีดให้เป็นรอยก่อนแล้วค่อยวางมีดให้อยู่กับรอยนั้น ก่อนจะใช้ท่อนไม้แข็ง ๆ ขนาดเหมาะมือมาช่วยตอกมีดลงไปให้ตรงจุด ทุกคนพากันมองวิธีการของสาวหน้าคมไปเรื่อย ก็อดยิ้มชื่นชมไม่ได้ “กัณนี่เก่งจังนะ เป็นพี่ทำคงแตกหมดแน่ ถ้ามีเลื่อยก็ว่าไปอย่าง” กรนันท์เอ่ยชมรุ่นน้องอย่างจริงใจ “ไม่ได้เก่งอะไรเลยค่ะพี่นันท์ อาศัยว่ามือนิ่ง ๆ ไว้ก่อน แล้วก็ต้องใจเย็น ๆ ค่อยทำค่ะ” กัณภัคตอบพลางยิ้ม “ไอ้ใจเย็นนี่แหละ ปัญหาพี่เลย” สาวนักธุรกิจบอกอีกให้น้อง ๆ พากันขำไปด้วย งานแบบนี้ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ถึงแม้ทำเป็นก็ใช่จะออกมาดี มันต้องคนมีความชำนาญพอสมควรถึงจะทำได้แบบนี้ ไม่นานขาโต๊ะทั้งหกถูกเจาะเรียบร้อย กัณภัคนำไม้ไผ่ยาวที่พี่ผ่าไว้แล้วมาสอดเข้าจนมันกลายเป็นโต๊ะยาวหกขา “ฐานเสร็จแล้ว ลองเอาแผ่นไม้ไผ่มาวางดูสิม่อน” มณนิชายกแผ่นไม้ไผ่ ที่ผ่าแผ่ออกจนเป็นแผ่นมาวางลงฐานโต๊ะ “อืมพอดีกับที่วัดไว้เลยพี่ ว่าแต่ตรงมุมนี่ปล่อยโล่ง ๆ แบบนี้เหรอพี่” มณนิชาชี้ให้ดูตรงปลายไม้ ซึ่งถ้าไม่ระวังก็อาจจะโดนขูดโดนเกี่ยวเป็นแผลได้เหมือนกัน กัณภัคนิ่งคิดสักพักก็ยิ้มออกมา “เดี๋ยวพี่เจาะเป็นรูยาวเท่าขนาดนี่ แล้วยัดปลายไม้เข้าไปเก็บในกระบอก แค่นี้ก็ไม่มีอะไรมาเกี่ยวแขนขาพวกเราแล้ว” “เจ๋งเลยพี่จัดไปสิคะ” โต๊ะวางอาหารเสร็จสมบูรณ์ ในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง “ต่อไปพวกเราจะได้กินอย่างราชินีแล้วนะคะ มีโต๊ะเสวยอาหารแล้วค่ะเสด็จพี่ทั้งหลาย” คิก ๆ ทุกคนต่างหัวเราะขำ กับคำพูดติดตลกของน้องเล็ก ผลงานโต๊ะสำหรับวางอาหารที่ทำขึ้นมาแบบง่าย ๆ แต่ใช้งานได้ดีพอควร “ไม้ไผ่ยังเหลือทำกับดักเพิ่มอีกอันดีกว่านะม่อน อีกสี่วันที่เหลือของทะเลนี่กินให้เบื่อไปเลยนะแก เพราะกลับบ้านไปไม่ได้กินแบบนี้แล้วนะ” กัณภัคพูดแซวน้องรัก “โหยพูดแบบนี้ ม่อนอยากจะอยู่ต่อสักเดือนเลยนะเนี่ย ชอบอ่ะของกินเยอะ” “นี่ พูดยังกับที่ขอนแก่น เขาไม่มีของทะเลขายยังงั้นแหละ” ชาลิศาถามอย่างนึกสงสัย ว่าที่บ้านสองคนนี้จะห่างไกลตลาดหรือยังไง “ไอ้มีน่ะมันก็มีนะเจ๊ แต่มันแพงน่ะเข้าใจป่ะ อยู่ตรงนี้กินฟรีแถมสดอีกต่างหาก” “เจ้าหน้าที่ได้ฟังเขาพากันสะดุ้งเลยนะม่อนฮ่า ๆ กลัวสัตว์สูญพันธุ์ถ้าปล่อยแกอยู่นานน่ะ” ฮ่ะ ๆ “นั่นสิไม่เป็นไร กลับไปกินอาหารบ้านเราก็แซ่บลืมโลกเหมือนกันเน๊อะพี่” “ถ้าชอบกินอาหารทะเลก็ลงมาเที่ยวบ้านพี่สิ ก็มีให้กินแบบนี้แหละ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเองที่พักก็ฟรีด้วย” กรนันท์เปรยขึ้นมาให้น้องตาลุกวาว “จริง ๆ เหรอพี่ ฟรีจริงนะ ม่อนยอมเสียค่ารถมาเองเลยอ้าวแค่ภูเก็ตเอง” ป๊อก โอ้ย! “ไม่ค่อยจะเห็นแก่กินเลยนะ” ชาลิศาอดไม่ได้ดีดหน้าผากน้องไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ ให้เจ้าเด็กหน้าใสเอามือลูบป้อย ๆ “เจ๊อ่ะ ของฟรีใครก็ชอบทั้งนั้นแหละ เจ๊ไปเที่ยวบ้านเค้ามั้ยล่ะอาหารฟรีที่พักฟรีสนป่ะ เดี๋ยวเค้าพาไปจับแย้มาผัดเผ็ดอร่อยนะจะบอกให้” “สน แต่ว่าไอ้แย้เย้ออะไรของเธอนี่มันคืออะไร” เอิ๊ก คนที่แกล้งชวนเล่น ๆ แต่กลับโดนนางร้ายสาวตอบกลับมาซะเงิบ “ห๋า! เจ๊สนใจจะไปบ้านเค้าจริง ๆ เหรอ” “อือหึ ก็เธอบอกเองใครก็ชอบของฟรีไง แล้วถ้าได้เงินรางวัลไปเธอกับกัณจะทำโฮมสเตย์ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวจะไปพักที่นั่นแหละ นี่นัดเรกับเนย่าไว้แล้วรีบ ๆ ทำให้เสร็จล่ะ” เหวออ คราวนี้เด็กน้อยอ้าปากหวอทำตาปริบ ๆ เลยล่ะ ตายแล้ว ดารานางแบบดังจะไปเที่ยวบ้านเธอจริงเหรอนี่ อุ๊ยตื่นเต้น “อ้าว นัดกันไม่เห็นชวนไนซ์เลยอ่ะที่รัก” คนที่เพิ่งจะรู้เรื่อง ก็ออกอาการงอแงขึ้นมาทันที “อะไรของคุณนี่ฮึ เดี๋ยวกัณเค้าก็ต้องชวนทุกคนมั้ยล่ะ” เนย่าส่ายหน้าแกมระอาคนตัวโตที่ทำหน้างอ มองเธอด้วยสายตาตัดพ้อนี่คืออะไร ตกลงนี่เป็นอะไรกัน เธอชักงงกับตัวเองไปด้วยแล้วนะ หึ ๆ “ให้ได้เงินรางวัลมาก่อนมั้ยคะ ส่วนเรื่องจะทำโฮมสเตย์น่ะยังไงฉันต้องเชิญพวกเราทั้งทีมอยู่แล้วค่ะ ถือว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการหาทุนไง” 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD