Chapter.5
อาร์มาติโน เคอวิซ เอลวานอฟเพ่งมองภาพเธอในมือถือที่เรฟยื่นมาหาถึงปลายเตียง ลูกน้องคนสนิทยังยืนหอบเนื่องจากวิ่งหน้าตั้งเข้ามาจนลืมไปว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
“มีอะไรหรือเปล่า?”
มาการิต้า อเล็กซานดร้า เชอวาเรีย ที่นอนค้างกับเขาได้สองคืนแล้วตื่นขึ้นมาถามเขาในสภาพงัวเงีย ผมเผ้ากระเซิง เธอหอบผ้าห่มขึ้นปิดอกเปลือยเอาไว้พลางขยับมาหาเขา
“มีงานด่วน”
เขารีบลุกพรวดเดินนำหน้าเรฟออกจากห้องนอนเพื่อไปคุยกันที่อื่น
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!”
เขาเริ่มนั่งไม่ติดเดินวนไปมาในห้องทำงานเหลือบมองเรฟและภาพในมือถือ
“ฝ่ายสืบเสาะข้อมูลเพื่อตรวจตราหาคนที่สอดแนมเจ้านายก็ตรวจสอบทุกช่องทางดังเช่นทุกวันส่งงานมาให้ผมตามปรกติทุกวันครับ”
“แล้ว”
“ปรากฏว่าของเมื่อวานไม่มีศัตรูตัวสำคัญเข้ามาเลยครับ แต่ผมสะดุดตากับภาพเจ้าของแอคเคาท์รายนี้ที่หน้าเหมือนคุณแสงรุ่งมากเลยรีบเอามาให้เจ้านายดู”
“ใครมันคิดเล่นตลกแกล้งกูด้วยวิธีนี้วะ”
ใครกันที่มันบังอาจเอารูปคนตายมากลั่นแกล้งเขา ช่างเป็นวิธีที่โสโครกเสียจริง
“ถ้าเกิดว่าเจ้าของแอคเคาท์นั้นคือเธอจริงๆล่ะครับ?”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้เธอตายแล้ว” เขาส่ายศีรษะเชื่องช้า ทว่าบังเกิดความไม่แน่ใจในแววตา
“หรืออาจจะแค่หน้าเหมือนก็ได้ครับ เพราะชื่อและนามสกุล ..”
“ไม่ๆ กูมั่นใจว่านี่คือภาพของแสงรุ่ง อาจจะดูเป็นสาวขึ้นตามเทคนิกการปรับแต่งภาพซึ่งนั่นกูต้องรู้ให้ได้ว่าคนทำมันคิดอะไรอยู่”
คิดจะโจมตีกันทางนี้หรือ? ถ้าจับได้จะเอาให้ตายคามือแม่งให้หมด!
“ถ้าอย่างนั้นอาจจะเป็นเพื่อนหรือคุณดารัณเพราะอายุใกล้เคียงกัน มีสถานที่เรียน..”
“พอๆ เลิกเดามั่วแล้วรีบไปสืบหาเจ้าของแอคเคาท์ตัวจริงนี้มาให้ไวที่สุด เอาให้ละเอียดด้วย”
เมื่อเรฟเดินออกจากห้องไปแล้วมาร์ตินยังคงเดินวนไปมาหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำไม่มีอารมณ์จะทำงานหรือคิดเรื่องอื่นจนกว่าจะได้คำตอบที่แน่ชัดของเรื่องนี้ เขายังสวมเสื้อคลุมตัวเดียว ศอกวางตั้งพนักพิงนิ้วมือถูไถปลายจมูกไปมา เท้าสั่นระริกอย่างอยู่ไม่สุขจนกระทั่งผ่านไปเพียงไม่นานเรฟก็วิ่งโร่เข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น
“ได้เรื่องยังไงบ้าง?”
เขาลุกฮือขึ้นเดินตรงไปหาเรฟ
“เอ่อ ดูนี่ครับนาย” เรฟค่อนข้างรีบร้อนกับข้อสรุปของบุคคลปริศนานั้น เขาเดินนำเจ้านายไปยังโต๊ะทำงานเพื่อกางภาพและเอกสารข้อมูลชุดใหญ่ด้วยมือที่สั่นเทา
“เธอคือ นางสาวอรุณรดา เทมสัน นามสกุลจากพ่อบุญธรรมหรือพ่อเลี้ยงไม่อาจทราบเพราะภรรยาของชายคนนั้นเป็นคนไทยชื่อดาริน ที่น่าทึ่งกว่านั้นผู้หญิงที่ชื่อดารินเธอคือน้าของคุณดารัณครับ แล้วก็ อาห์” เขารีบรื้อหาเอกสารภาพที่อยู่ใต้สุดขึ้นมาให้เจ้านาย เขารับมาดูแผ่นแล้วแผ่นเล่ามือเป็นระวิง
“นี่คือเธอครับ ภาพรวมที่เธอถูกพูดถึงในกิจกรรมต่างๆในมหาวิทยาลัยและแอคเคาท์ของเพื่อนๆเธอ เหมือนมากจนผมตกใจว่าใช่คนเดียวกัน”
“เธอจริงๆด้วย” เขายกฝ่ามือซ้ายตบหน้าตนเองแรงๆสองทีเพื่อทบทวนกับตนเองว่านี่ไม่ใช่ฝัน
“บ้าเอ๊ย! ไอ้บ้า!”
ตามด้วยสองหมัดที่รัวผนังจนมือแตกเพื่อคลายความรู้สึกหลากหลายในใจกับเรื่องใหม่ที่ตั้งรับไม่ทัน ทั้งโกรธแค้นต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปิดบังเรื่องนี้กับเขา
“นี่กูโดนหลอกมาตั้งห้าปี?
..Shitt!”
ร่างล่ำสันยืนหอบเหนื่อยค่อยๆผ่อนลมหายใจช้าๆ กำปั้นขวาเหนือศีรษะวางค้างผนังก่อนนำหน้าผากเอนซบตามอย่างอ่อนแรง
“แล้วเรื่องไปเลือกแหวนหมั้นและลองชุดในอีกประมานหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้ต้องทำอย่างไรดีครับ?” เรฟค่อยๆตะล่อมถามเสียงติดขัด
“เอาไว้ก่อน”
เขายกมือห้ามเรฟให้หยุดแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับวันนี้เอาไว้ก่อนวิ่งโร่ออกไปจากห้องทำงานด้วยท่าทีรีบร้อน
การเดินทางที่ยาวนานกว่าจะถึงจุดหมายในเวลารุ่งสาง ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สวมแว่นตาดำและหมวกแก๊ปยืนพิงผนังตึกบริเวณหน้าที่พักของเธอ เขาหยิบบุหรี่ขึ้นสูบขณะเฝ้ารอให้เธอเดินออกมาจากห้องพักผ่านกระจกรถมอเตอร์ไซด์ที่จอดเรียงรายกันเป็นแถวด้านนอกซึ่งเขาปรับทิศทางเอาไว้พอเหมาะกับสายตา
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงผู้คนเริ่มทยอยเดินออกมาจากห้องพัก กระทั่งสายตาสะดุดกับสาวร่างบางคนหนึ่ง เขาขยับแว่นลงต่ำเพื่อเพ่งมองเธอผ่านกระจก ริมฝีปากอ้าค้างเมื่อพบเธอ
“พระเจ้า”
เขาอุทานในลำคอเมื่อได้เจอเธอที่สวมชุดนักศึกษาเสื้อเชิ้ตขาวแขนสั้นตัวหลวม กระโปรงทรงสอบความยาวเลยเข่า สวมรองเท้าคัทชูสีดำส้นเตี้ยเดินตามทางฟุตบาทมือข้างหนึ่งหอบหนังสือสองเล่มไว้แนบอก มืออีกข้างคอยกระชับกระเป๋าสะพายข้างไว้ด้านหน้า เธอช่างดูเรียบร้อยในทุกท่วงท่าการเดิน เขายืนค้างนานครู่หนึ่ง ปล่อยให้เธอทิ้งช่วงไปไกลพอสมควรก่อนก้าวเดินตามหลังเธออยู่ห่างๆ
มาเฟียหนุ่มยกมือถือขึ้นถ่ายภาพหญิงสาวจากด้านหลังพลางปาดน้ำตาที่เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อมันไหลลงมาถึงกรอบหน้า ผมดำขลับถูกรวบขึ้นปล่อยหางม้าแกว่งไปมาตามการเดินที่ว่องไวขึ้นจังหวะเดียวกับหัวใจคนเดินตามที่เต้นรัวไม่เป็นส่ำ เขาแทบจะอยากโผเข้าไปกอดเธอแนบแน่น ..คิดถึงที่สุด
เขาหยุดฝีเท้าทำทีเป็นยืนคุยโทรศัพท์เมื่อเธอหยุดยืนที่ป้ายรอรถประจำทาง ดวงตาคมเข้มแดงก่ำใต้แว่นดำเหลือบมองเธอที่ค้นหาบางอย่างในกระเป๋า เขาดูจะร้อนรนไปกับเธอที่ยังหาบางอย่างไม่เจอ เธอลืมกระเป๋าตังค์หรือเปล่า? เขาเริ่มจะพยายามหาทางช่วยเธอโดยไม่ให้เธอรู้ตัว มือใหญ่ล้วงหยิบธนบัตรที่แลกเอาไว้เสร็จสรรพเต็มกระเป๋ากางเกง จนกระทั่งเธอหยิบบางอย่างขึ้นมาอย่างดีใจนั่นคือสายหูฟัง
“บ้าจริง”
เขาพลอยยิ้มตามเธอพร้อมกับแค่นขำตัวเองในใจที่คอยสังเกตดูเธอมากจนเกินพอดีเหมือนคนโรคจิต หรืออาจจะใช่ก็ได้ เพราะตอนนี้กำลังวิ่งตามรถบัสสภาพเก่าทรุดโทรมตามเธอขึ้นไปด้วย
ใบหน้าคมเข้มคอยมองหาเธอว่านั่งอยู่ตรงจุดไหน สภาพผู้คนภายในรถที่แออัดอาจจะทำให้เขาหงุดหงิดหากแต่ต้องเบียดผู้คนไปอีกก้าวเพื่อมองดูเธอจากด้านหลังแล้วรู้สึกว่ามันคุ้ม เขาไม่สนจำนวนแบงก์สีเทาสองใบและสีแดงอีกหนึ่งที่ยื่นให้กระเป๋ารถเมล์พลางยกนิ้วชี้แนบริมฝีปากให้ป้าคนนั้นรับเงินไว้แล้วผ่านเขาไปอย่างเงียบๆเถอะ
เสียงผู้คนจอแจบนรถที่แสนวุ่นวายไม่สามารถเข้าโสตประสาทเขาได้เท่าเสียงเล็กที่แสนคุ้นเคยนั้นกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนซึ่งตอกย้ำว่านั่นคือเสียงของแสงรุ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
‘เป็นอย่างไรบ้างครับเจ้านาย?’
“ใช่ ใช่เธอจริงไอ้เรฟ” เขาเอ่ยเสียงเบาเกือบกระซิบน้ำเสียงดีอกดีใจใหญ่ ห้ามคุยเสียงดังไปเพราะตอนลงจากรถประจำทางเธอหันขวับมาด้านหลังอย่างสงสัยดีที่เขารีบหลบต้นไม้ที่เรียงรายระหว่างทางเดินในมหาวิทยาลัย
มาร์ตินยังคงเดินตามเธอไปเรื่อยๆ สายตาคู่นี้ยังคงเฝ้ามองแค่เธอตลอด เธอที่โบกมือทักทายเพื่อนผู้หญิง เธอพูดคุยและคลี่ยิ้มจนตาหยีอย่างมีความสุขขณะเดินหายเข้าไปในตึก เป็นอันว่าการติดตามเธอสิ้นสุดแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกโปรดโปร่งและอิ่มเอมหัวใจเท่าวันนี้มาก่อน ให้ตายเถอะมาร์ติน ดวงใจของแกไม่ได้หายไปไหน เธอแค่แกล้งตายเพื่อตบตาเขายุติการข้องเกี่ยวกัน
แต่ฝันไปเถอะที่รัก เขาไม่มีทางปล่อยเธอไปอย่างแน่นอน!
“ไอ้เรฟ”
‘ครับ’
“สืบให้ลึกลงกว่านี้ว่าเธอจะไปฝึกงานที่บริษัทไหน?”
........................................................
สปอยสั้นๆว่า.. ตอนหน้ามีncนะคะ
รักๆ
ท้องฟ้าและทุ่งหญ้า