ใบหน้าสวยของแก้วตานั้นช่างต่างจากนิสัยเสียจริง กานต์พิชชาไม่อยากต่อว่าอะไรเธอนักหรอก สาวเจ้าชอบอยู่เงียบ ๆ เสียมากกว่า แต่เมื่อครู่ที่โต้กลับไปนั้นคงเป็นเพราะหล่อนเป็นภรรยาเขาคนนั้นด้วยกระมังก็เลยเผลอโต้กลับไปหลายคำ
หญิงสาวทำอาหารภายในครัว โชคดีที่มีวัตถุดิบครบครัน ด้วยความที่แม่บ้านจะเข้ามาทำอาหารหากว่าแก้วตาต้องการ กานต์พิชชาไม่เข้าใจว่าทำไมที่นี่ถึงไม่ให้แม่บ้านมาประจำอยู่ถาวรให้รู้แล้วรู้รอดไป ราวกับว่าต้องการความเป็นส่วนตัว
อาหารเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมจะจัดจานไปให้เจ้าของบ้าน กานต์พิชชาเดินออกมาในห้องนั่งเล่นก็ไม่เห็นใครแล้ว คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนจะเดินไปหาตามห้องต่าง ๆ
กึก!
แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นแผ่นหลังบางของแก้วตายืนอยู่ พอจะก้าวขาเดินไปหาก็เห็นว่าเจ้าหล่อนกำลังคุยโทรศัพท์ กานต์พิชชาไม่ได้ยินเสียงบทสนทนาเหล่านั้น แต่ท่าทีเขินอายของแก้วตานั้นช่างผิดวิสัย
หรือเธอกำลังคุยอยู่กับสามีของเธอ
กานต์พิชชาได้แต่ยืนมองอยู่อย่างนั้น นึกคิดถึงวันนั้นวันที่ได้สารภาพรักกับเขาคนนั้นไป ผู้หญิงคนนี้กลับได้ครอบครองหัวใจดวงนั้นของเขา
.
.
.
วันวาเลนไทน์เหมือนกับวันสัญลักษณ์ของเหล่าขี้แพ้ เหมาะกับคนที่ไม่กล้าไปสารภาพรักวันธรรมดา เลือกที่จะสารภาพวันนี้ หลายคนประสบความสำเร็จ และมีอีกหลายคนที่คว้าน้ำเหลว กานต์พิชชาเป็นหนึ่งในนั้น
“ฉันคิดมานานมากว่าจะบอกพี่ดีไหม แต่ว่าเราก็สนิทกันมาก” เธอพูดได้อย่างลื่นไหล เพราะท่องมาแล้วแทบไม่ต้องใช้สมองคิด มันไหลออกมาผ่านริมฝีปากได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“แต่นี่ก็นานแล้วที่เรารู้จักกัน ฉัน...” เธอเม้มริมฝีปากไว้ หญิงสาวใจเต้นตึกตักมองรุ่นพี่หนุ่มด้วยความเขินอาย ซึ่งเจตนัยเองก็รับรู้ว่าเธอนั้นต้องการบอกอะไร ชายหนุ่มสัมผัสความรู้สึกดี ๆ ที่สาวน้อยคนนี้มอบให้มาเสมอ แต่ตอนนี้
“กานต์...พี่มีไรจะบอก” พอเห็นริมฝีปากบางจะเอ่ยพูดอีกครั้ง เขาก็แทรกขึ้นเสียก่อน “พอดี...พี่กำลังคุย ๆ กับคนหนึ่งอยู่”
“ห๊า...วะว่าไงนะคะ” กานต์พิชชาตัวแข็งทื่อ แค่คุย ๆ ไม่ได้คบนี่ แต่การตัดบทพูดของเธอแบบนี้ก็ทำให้รับรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบเธอ
“คือ...ไม่รู้สิ พี่ว่าเรายังเด็กไปอะ” กานต์พิชชาเพิ่งเรียนจบม.ปลาย อายุห่างกันห้าปี สำหรับเขาแล้ว...ชายหนุ่มรู้สึกห่างกันมากเลยทีเดียว ซึ่งคำพูดของเขาก็ตอบคำถามในใจของเธอได้
“อึก ถะถ้าวันหนึ่งฉันโตแล้ว ฉันจะมีโอกาสหรือเปล่าคะ” น้ำตาไหลออกมาหลังจากส่อเค้าจะไหลอยู่นาน รอบดวงตาร้อนผะผ่าวเกินกว่าจะอดกลั้นไว้ได้ ทำใจอยู่นานไม่คิดว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างนี้เสียด้วยซ้ำ เขาก็ดูชอบเธอเหมือนกันนี่...หรือเธอคิดไปเองคนเดียว
“ไม่รู้สิ แต่ว่าอย่ารอพี่เลยนะ มีคนมากมายที่พร้อมจะรักกานต์” หัวใจเจ็บแปล๊บ เด็กสาวก้มหน้าลงมองพื้น รอจนกว่าจะได้เรียนมหา’ลัยเพื่อจะได้มาสารภาพรัก ไม่อยากให้เขามองว่าเด็กเกินไป แต่ตอนนี้เหมือนกับการรอนั้นจะสูญเปล่า
“ค่ะ อึก...เราคงได้เจอกันอีก” ว่าเสร็จก็หมุนตัวหนี ดอกกุหลาบในมือนั้นถูกทิ้งลงพื้น ก่อนที่เธอจะวิ่งหนีไปโดยไม่ได้หันหลังมองอีก คงไม่กล้ามาสู้หน้าแล้วล่ะ...ถ้าเขามีแฟนก็คงไม่ได้เจอกันอีก
.
.
.
ก็จริง...เจตนัยคบกับแฟนคนนี้มานานมาก ไม่คิดว่าจะนานจนเขาอายุได้สามสิบห้าขนาดนี้ หากว่าเขารัก เขาคงตอบรับไปนานแล้ว แม้นจะไม่ได้เจอกันต่อหน้า แต่กานต์พิชชาก็ติดตามชีวิตของเขามาโดยตลอด เฝ้ารออย่างเงียบ ๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เลิกกับแฟนสักที เป็นคู่รักมาราธอนจะว่างอย่างนี้ก็ไม่ผิด ซึ่งเธอก็ยินดีด้วยแม้แต่วันที่เขาแต่งงาน เธอก็ฝากช่อดอกไม้ไปอวยพร
กานต์พิชชายืนนิ่งอยู่กับที่ ครุ่นคิดถึงเรื่องอดีตในหัว ไม่รู้ตัวว่าแก้วตานั้นคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว หล่อนมองเห็นเธอในที่สุด
“เธอ!” ร่างบางสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหมุนตัวหันไปมองแก้วตาทางด้านหลัง “มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!”
“เอ่อ...”
หมับ!
“ได้ยินหรือเปล่า! ได้ยินที่ฉันคุยโทรศัพท์หรือเปล่า!!” แก้วตาจ้องเขม็ง ก่อนจะยื่นมือไปคว้าต้นแขนเล็กพร้อมกับออกแรงบีบอย่างแรง
“คะ? อ๊ะ!...ฉันเจ็บนะคะ” ดวงตาน่ากลัวของแก้วตานั้นทำให้กานต์พิชชาตกใจ อยู่ ๆ เจ้าหล่อนก็ปรี่เข้ามาบีบแขนของเธอ
“ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง แกได้ยินอะไรไหม!!”
“มะไม่ได้ยิน ไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ” ส่ายหน้าเป็นพัลวัน ตกใจก็ตกใจ เป็นบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้
“จริงเหรอ...” กัดฟันกรอดพูด แก้วตาหัวเสียเป็นอย่างมาก “หัดมีมารยาทบ้าง เห็นคนคุยโทรศัพท์ไม่ใช้มายืนทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ หวังแอบฟัง”
“ไม่ใช่นะ ฉันมาเรียกไปกินข้าวต่างหาก”
“แค่นั้นแน่เหรอ”
“แน่สิคะ แล้วทำไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วย ทำอย่างกับว่ามีความลับ” กานต์พิชชาหรี่ตามองอย่างคนจับผิด ทำให้แก้วตาเลิ่กลั่กทันที หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะปล่อยมือออกจากแขนของกานต์พิชชาในที่สุด
“ไม่มีอะไร ก็แค่ไม่ชอบพวกไม่มีมารยาท” เชิดหน้าขึ้นก่อนจะเดินไปที่ห้องครัว นั่งลงที่โต๊ะกินข้าว เริ่มทานอาหารโดยไม่ได้สนใจคนทำ ไม่มีแม้แต่คำว่าขอบคุณ
กานต์พิชชาแบ่งกับข้าวกินต่างหาก เธอคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันทีที่กลับเข้ามาในห้องพัก บนหน้าจอโทรศัพท์นั้น
สายที่ไม่ได้รับ
‘พี่เจตน์’
เมื่อ 15 นาทีที่แล้ว
“อ้าว...” กานต์พิชชาเอียงใบหน้าเล็กน้อย เธอมีเบอร์ของเขาตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันแล้วล่ะ แต่ว่าเวลาที่อีกฝ่ายโทรเข้าต่างหากที่ทำให้หญิงสาวฉงนใจ เพราะเวลานี้...เมื่อครู่ เขาไม่ใช่เจ้าของสายที่คุยอยู่กับคุณแก้วตาหรอกหรือ
แต่พอจะโทรกลับก็เหลือบเห็นข้อความที่เขาส่งมาหาเสียก่อน
[กินข้าวหรือยัง]
[เธอต้องดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าหักโหมอ่านหนังสือมาก]
ข้อความที่เขาส่งมาก็บอกกับเธอแล้วว่าเขาต้องการอะไร เจตนัยต้องการให้เธอเตรียมความพร้อมเพื่อจะได้รับการอุ้มบุญ
“กินแล้วค่ะ เมื่อกี้เลย”
เธอรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับ ซึ่งเขาก็ตอบกลับทันควันเช่นกัน
ติ๊ง!
[อ่อ โอเคครับ]
ติ๊ง!
[ฝากบอกแก้ว ให้รับโทรศัพท์พี่หน่อยสิ] ทว่าข้อความที่เขาตอบกลับมาอย่างต่อเนื่องสองข้อความนี้ทำให้กานต์พิชชาหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เมื่อกี้ไม่ได้โทรหาเธอเหรอคะ”
ติ๊ง!
[โทรแล้วแต่สายไม่ว่าง เดี๋ยวลองใหม่อีกที] ยิ่งเห็นข้อความถัดมาของเขาก็ยิ่งฉงนใจ แก้วตาจะคุยกับใครนั้นไม่แปลก แต่ว่าท่าทีเขินม้วนต้วนแบบนั้นก็ควรคุยกับคนสำคัญไม่ใช่หรือ
...หมอเจตน์ไม่ได้ส่งข้อความมาหาอีก สงสัยว่าภรรยาของเขาจะรับโทรศัพท์แล้ว ท่าทีของแก้วตาก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ในความคิด แถมเมื่อครู่เจตนัยก็ไม่ได้คุยอยู่กับเธอ...แล้วใครคุยกับเธออยู่ ทำไมถึงมีท่าทีแบบนั้น