ตอนที่ ๑
นครนอกฟ้า ตั้งอยู่ใจกลางป่าหิมพานต์ ป่าซึ่งเป็นสถานที่อันเต็มไปด้วยสัตว์ในเทพนิยายหลากหลายชนิด มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าอุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้นานาพรรณ มีศูนย์กลางซึ่งเป็นที่รวมตัวของบรรดาสัตว์ป่าหิมพานต์คือ สระอโนดาต
นครแห่งนี้ ปกครองโดยพญากินนรผู้เก่งกล้าสามารถ มีโอรสและธิดารวมกันแล้วทั้งสิ้นสิบสองตน จากมเหสีถึงสามตน ในบรรดาโอรสทั้งห้าของพญากินนร มีอยู่ตนหนึ่งที่เก่งกล้าสามารถในเชิงวิชาอาวุธต่างๆ นามว่า คีรีธร เป็นกินนรหนุ่มผู้มีรูปงาม เป็นที่หมายปองของบรรดากินรีและสัตว์สาวแห่งหิมพานต์ทั้งหลาย
คราหนึ่ง คีรีธร บินสู่เทือกเขาสุเรนทร์ ณ ชายขอบป่าอันไกลโพ้น เพื่อกราบไหว้พระฤษีผู้สั่งสอนวิชา ทว่าก่อนถึงอาศรมของพระฤษี กลับพบกับวิทยาธรผู้ก้าวร้าว ด้วยเพราะริษยาในความงามของโอรสกินนร
หนึ่งกินนร กับหนึ่งวิทยาธร ประจันหน้ากัน
วิทยาธรชี้ไปยัง ผู้กระพือปีกบินอยู่ตรงหน้า
“วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าหมดความงาม พระโอรสกินนร”
ว่าแล้วก็ฟาดพระขรรค์ใส่กินนรหนุ่มจนอีกฝ่ายเบี่ยงหลบแล้วร่อนลงสู่ผืนป่า
“หน็อย...คิดจะหนีข้ารึไง”
จอมวายร้ายแห่งหิมพานต์รีบรี่ตามกินนรหนุ่มไปอย่างไม่ลดละ
ทั้งสองต่อสู้ฟาดฟันกันด้วยสรรพวิชาที่มี คีรีธรเก่งกล้าในเพลงอาวุธทุกชนิด โดยเฉพาะพระขรรค์ อาวุธประจำกายที่เปล่งแสงเหลือบรุ้งงดงาม ฟาดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ
ป่าทั้งป่าแตกตื่น สัตว์แห่งหิมพานต์บางตนรีบหลบเร้นเผ่นหาย ขณะบางตนลอบมองทั้งสองต่อสู้กันจากที่ไกลๆ
ในนาทีที่ฟาดพระขรรค์ใส่วิทยาธรผู้ขวางโลก มันได้แยกออกเป็นสองร่างแล้วหลบเลี่ยงอย่างชำนาญ ร่างที่แยกออกมาก็ใช้จังหวะทีเผลอ สวนกลับด้วยพลังอันมากมหาศาลจนคีรีธรกระเด็นออกไปไกล
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไหนว่าเจ้าเก่งกล้านัก”
เป็นเพราะมันใช้เล่ห์เหลี่ยมอันแพรวพราว คีรีธรจึงเพลี่ยงพล้ำ
ขณะที่กินนรหนุ่มเลือดกบปาก ใบหน้าแสดงซึ่งความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด แม้ยามเจ็บ ใบหน้าขาวใสยังรูปงามตรึงตาตรึงใจเป็นยิ่งนัก
“วันนี้คือวันพ่ายของเจ้า คีรีธร”
จอมวายร้ายฟาดพลังด้วยพระขรรค์ไปยังร่างที่พ่ายแพ้ศิโรราบอยู่ตรงหน้า
เปรี้ยง ง ง
เสียงกึกก้องกัมปนาทไปทั้งป่า ก่อนจะเกิดแสงสีรุ้งสว่างวาบขึ้นจากร่างของโอรสแห่งนครนอกฟ้า แล้วเกิดเป็นพลังกระแทกวิทยาธรจอมเจ้าเล่ห์ให้กระเด็นไปไกล พอแสงสว่างนั้นดับลง ร่างบาดเจ็บของโอรสกินนรจึงหายไป
พญากินนรแห่งนครนอกฟ้าผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ เมื่อมีทหารกินนรเข้ามาบอกเรื่องที่โอรสคีรีธรถูกวิทยาธรจอมเกเรสังหาร
“มันโจทย์อวดไปทั้งป่าหิมพานต์แล้วพระเจ้าข้า ว่าได้สังหารพระโอรสจนสิ้นแล้ว”
“บังอาจ!!” พญากินนรตบเข่าฉาด ข่าวร้ายทำให้พระองค์ร่างสั่น ดีที่ยังทรงองค์เอาไว้ต่อหน้าธารกำนัลได้
ใบหน้าถมึงทึ่งจ้องเขม็งไปยังทหารรายนั้นแล้วว่า
“มันกล้าดีอย่างไรมาสังหารลูกของเรา...ท่านทศทิน สั่งทหารออกไปจับตัววิทยาธรตนนั้นมาให้เราสำเร็จโทษบัดเดี๋ยวนี้!!”
ทศทิน มหาอำมาตย์แห่งนครนอกฟ้า สนองรับคำสั่งนั้นแล้วเร่งออกไปพร้อมกับนายทหารกินนรผู้ส่งข่าวอย่างทันที
เดือนฉายเด่นอยู่กลางฟ้า สายลมหนาวเริ่มพัดมาบ้างแล้ว ในค่ำคืนอันสงบเงียบเช่นนี้ เขาผู้อยู่ประจำหน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้ กำลังนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศท่ามกลางป่าใหญ่ ด้วยหัวใจที่เปลี่ยวเหงา ตรงระเบียงบ้านพักเพียงลำพัง
ตุลย์หรือตุลา พิทยาการ ...คือชื่อของเขา
ตุลย์มาประจำการที่หน่วยแห่งนี้หลายเดือนแล้ว ที่แห่งนี้อยู่กลางป่าใหญ่ เป็นหน่วยย่อยที่ขึ้นตรงกับหน่วยใหญ่อีกต่อหนึ่ง เขามาในฐานะหัวหน้าหน่วย มีลูกน้องอยู่ประมาณห้าคน ซึ่งทุกคนต่างเป็นคนในพื้นที่ กลางคืนเช่นนี้จึงกลับไปนอนที่หมู่บ้าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหน่วยแห่งนี้มากนัก
ในฐานะคนต่างพื้นที่ และเป็นหัวหน้าประจำหน่วย มีบ้านพักอยู่ใกล้ๆ กับสถานที่ทำงาน จึงไม่อาจที่จะเลี่ยงไปพักที่อื่นได้
ขณะกำลังนั่งมองท้องฟ้า มองดวงดาวและพระจันทร์งามกระจ่างฟ้านั้น พลันเขาต้องไหวตัวสะท้าน เมื่อเกิดลำแสงสีเงินวูบสว่างขึ้นไม่ไกลจากบ้านพักมากนัก
ข้าราชการประจำหน่วยหนุ่มรีบเข้าไปในห้อง คว้าปืนและกระบอกไฟฉาย ก่อนจะเร่งไปยังตำแหน่งที่มาของแสงอย่างรวดเร็ว
ด้วยเพราะรู้สึกผิดปรกติต่อสิ่งที่เกิดขึ้น หรือด้วยสัญชาติญาณที่เคยร่ำเรียนมา จึงทำให้เขาไม่ไว้วางใจกับสถานการณ์อันตึงเครียดนั้น
ลำแสงไฟฉายส่องพาดไปยังเส้นทาง ก่อนจะกระทบเข้ากับร่างหนึ่งที่ทอดนอนอยู่ตรงหน้า
“ใครกัน”
เกิดคำถามมากมายก่ายกองขึ้น สองคิ้วขมวดชนกันสงสัย ปืนในมือเตรียมพร้อมลั่นไกตลอดเวลาหากเกิดเหตุการณ์ไม่ไว้วางใจขึ้น
ร่างตรงหน้ายังพยายามขยับอยู่น้อยๆ ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่จะไม่เหมือนกับคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเหมือนพวกที่แต่งตัวไปแสดงลิเก หรือแต่งตัวไปรำบวงสรวงงานประจำปีมากกว่า
เมื่อแสงไฟกระทบร่างตรงหน้า แสงจากเครื่องประดับทอกระทบระยิบระยับ
“คุณ...”
ยังยืนมองอยู่ห่างๆ ขานเสียงเรียกหวังชั่งใจ หากว่าอีกฝ่ายจู่โจม การป้องกันตัวในระยะนี้ย่อมทำได้
“คุณ...คุณเป็นใคร...”