หญิงสาวพยักหน้าเหนื่อยอ่อนใจ “ไม่ว่าคุณจะเข้าใจอย่างไรก็ตาม คุณคือคนที่ฉันรักและรอคอย ไม่ว่าตอนนี้คุณจะเป็นใครและเกลียดฉันมากแค่ไหน แต่ฉันจะทำทุกทางให้คุณกลับมาเป็นพีทของฉันคนเดิม หากหัวใจฉันยังเต้น หากร่างกายฉันยังไหว หากเศษเสี้ยวใจคุณยังอยู่ที่ฉัน และหากมือของคุณอีกข้างยังว่าง ฉันก็จะยึดมันเอาไว้ให้แน่น ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด”
“อย่ามาสำบัดสำนวน นักประชาสัมพันธ์อย่างเธอคงคล่องแค่เรื่องสร้างภาพให้ดูดี หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ ฉันยังจะเชื่อผู้หญิงอย่างเธอได้อีกงั้นหรือ...ตะวันวาด”
“ค่ะ...งั้นคุณก็ปล่อยฉันเถอะ เพราะฉันก็ไม่อยากอธิบายปากเปล่าอย่างนี้นักหรอก” ตะวันวาดตอบเสียงเบา ยกมือแกะแขนที่โอบรัดรอบเอวของเธอออก
สิ่งที่เขาเห็นคงไม่สามารถลบเลือนไปได้ง่ายๆ เพราะเธอก็เคยถูกเข้าใจผิดอย่างนี้อยู่หลายหน จนบางครั้งตกเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ก็มี
ชายหนุ่มแกล้งกอดรัดแน่นอย่างจงใจ ไม่รู้ตัวสักนิดว่าทำให้อีกคนเจ็บอีกครั้ง
“พีท...ยาหยีเจ็บ” หญิงสาวบอกเสียงเครือเจือม่านน้ำตา
“ขอโทษ” ชายหนุ่มยอมปล่อยแต่โดยดี แต่ก็ไม่วายออกคำสั่งเสียงเข้มกลบความใจอ่อนของตัวเอง เพราะความรักล้นอก ถึงใจจะสั่งให้เกลียดแต่ความรู้สึกลึกๆ กลับไม่เป็นอย่างที่ใจสั่งเลยสักนิด
“ผมต้องไปทำงาน ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด”
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป พอออกมาอีกครั้งเธอก็ไม่เห็นสี่หนุ่มอยู่ในห้องแล้ว พลอยทำให้หญิงสาวโล่งอกไป
กรอบข่าวสังคมเช้านี้เป็นไปตามคาด หนังสือพิมพ์บันเทิงทุกฉบับลงข่าวกรอบใหญ่เหมือนนัดหมายกันมา ยังดีที่เขาเตรียมตั้งรับเอาไว้ ไม่อย่างนั้นนักข่าวคงตามขุดคุ้ยต่ออย่างสนุก
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเรียกคนในห้องให้ลืมตาตื่น แต่กระนั้นตะวันรุ้งก็ยังคงนอนต่ออย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน คนนอกห้องยืนรอสักพักก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ จึงร้องถามขึ้นมา
“คุณคะ”
ในห้องยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม สักพักจิรพัทธ์ก็เดินขึ้นมาเมื่อเห็นสาวใช้ที่ถูกสั่งให้ขึ้นมาตามตะวันรุ้งหายเงียบไป เจ้าสาวตัวปลอมมานอนค้างที่บ้านของเขาตั้งแต่ตอนกลางคืนเพื่อเตรียมเดินทางไม่ให้นักข่าวสงสัย ทว่าเลยเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ปรากฏตัวสักที ซึ่งมันสร้างความหงุดหงิดให้แก่เขาไม่น้อย เพราะเรื่องการตรงต่อเวลา สำหรับนักบริหารอย่างเขาแล้วเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเขาก็ยึดถือจนกลายมาเป็นส่วนสำคัญในทุกเรื่อง
หลังจากนั้นเคาะเรียกอีกหลายครั้ง ในที่สุดตะวันรุ้งก็เดินงัวเงียมาเปิดประตูอย่างหงุดหงิด เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาไปเกือบตีสอง แล้วเวลานี้ก็เพิ่ง
หกโมงเช้า
“อะไรกันนักหนา” หญิงสาวบ่นอู้อี้ทั้งที่เปลือกตายังเปิดไม่เต็มที่
“คุณยังไม่อาบน้ำแต่งตัวอีกหรือตะวันรุ้ง” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านถามขึ้น
“ก็เห็นอยู่ว่าเพิ่งตื่น” อีกคนตอบกลับไม่เต็มเสียงนัก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านัดเวลาไว้ และแม้จะรู้ว่าตัวเองผิด แต่ก็ยังเชิดหน้าอย่างถือดี
ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือดูเวลา พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ ก่อนที่จะตั้งสติถามหญิงสาวเสียงเรียบอีกครั้ง “คุณจะใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวนานเท่าไร”
“เร็วที่สุดสี่สิบนาที”
“หมายถึงผมต้องรอคุณอีกอย่างน้อยสี่สิบนาที” ชายหนุ่มถามย้ำ “คุณก็รู้ว่าเช้านี้เราต้องทำอะไรบ้าง”
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ ดันประตูจะปิดแต่เจ้าของบ้านก็ดันเอาไว้เสียก่อน
“พยักหน้านี่หมายถึงอะไร”
“ก็หมายความว่าถ้าฉันยืนคุยกับคุณต่อก็ต้องเสียเวลาเพิ่ม ฉันไม่ได้บินจริงๆ สักหน่อย ทำไมต้องทำเป็นกระต่ายตื่นตูม ยัยยาหยีก็อีกคน ทำอะไรไร้สาระ” หญิงสาวบ่นอย่างหัวเสีย ปิดประตูลงต่อหน้าเจ้าของบ้าน
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านได้แต่ส่ายหน้ากับบานประตูที่ปิดลงอย่างเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าตะวันวาดทนอยู่กับพี่สาวที่กดขี่เธอทุกอย่างได้อย่างไรกัน เพียงแค่วันเดียวที่เธอมาอยู่ในบ้านของเขา เขาก็ไม่เห็นความน่ารักหลงเหลืออยู่ในตัวเธอเลย
จิรพัทธ์เดินกลับไปรอในห้องของตัวเองแทนที่จะกลับลงไปด้านล่าง
ระหว่างนั้นเขาก็โทร.หาผู้จัดการส่วนอำนวยความปลอดภัยอาคาร สั่งให้เขาติดต่อสำนักงานนักสืบตามหาร่องรอยตะวันวาดอย่างเงียบๆ หลังจากวางสายเขาก็โทรศัพท์หารวินต่อทันที เพราะแผนเดิมที่วางเอาไว้คงใช้ไม่ได้แล้ว ขืนใช้มีหวังตกเครื่องกันทั้งคู่
คนที่ทุกคนกำลังตามหา ความจริงแล้วอยู่ไม่ไกลจากปลายจมูกของครอบครัวจิรพัทธ์ เพนต์เฮาส์หรูของพชรอยู่ห่างจากโรงแรมไม่ไกล ถ้าจะสังเกตดีๆ อีกฝั่งของตึกนี้จะสามารถมองเห็นตึกของโรงแรมอยู่ลิบๆ เพียงแต่ห้องนอนอยู่ในมุมที่ทำให้ตะวันวาดมองไม่เห็นโรงแรมเท่านั้น
ทันทีที่ได้รับอิสระจากสายตาหลายคู่ที่ออกไปพร้อมกับเจ้าของห้อง หญิงสาวก็วิ่งรอบห้องมองหาทางออก แต่ติดตรงระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่เกือบทุกประตูห้อง หากไม่มีคีย์การ์ดก็ต้องรู้รหัสถึงจะสามารถออกไปได้ เวลานี้...ต่อให้เป็นมดเธอก็ไม่สามารถออกไปได้จริงๆ
หญิงสาวโผไปที่ราวระเบียงหวังพึ่งอีกทาง แต่หากความสูงกับสายลมที่พัดพาไอเย็นต้องใบหน้าทำให้เธอรีบถอยห่างออกมา ประเมินด้วยสายตาชั้นที่เธออยู่คงไม่ต่ำกว่าชั้นสี่สิบ ขืนหนีออกไปทางนี้คงเป็นปุ๋ยได้อย่างเดียว แต่แล้วก็เหมือนคิดอะไรบางอย่างออก เรือนร่างระหงจึงรีบวิ่งกลับเข้ามาข้างใน ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้อง หากแต่ความฝันของเธอก็มีอันต้องดับสูญ เมื่อห้องกว้างโอ่โถงหรูหรามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ ยกเว้นก็แต่เจ้าเครื่องมือสื่อสารเท่านั้นที่ไม่มี
“ฉันหมดหวังแล้วใช่ไหม ต้องมีปีกเหมือนนกสถานเดียว”
หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดหวัง ป่านนี้ครอบครัวของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาจะวุ่นวายแค่ไหน นักข่าวที่เชิญมาเกือบทุกสำนักจะประโคมข่าวดึงกระแสลูกค้ามากเพียงไร แล้วเธอจะแก้ไขอย่างไรดี
หากสมองยังไม่ทันสั่งการให้เธอคิดหาทางออก ลำไส้ก็บีบรัดประท้วงผู้เป็นนาย หญิงสาวจึงลุกเดินเข้าไปหาอะไรทานในครัว เขาว่ากันว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องคงจะจริง
ขณะกำลังเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ ให้ตัวเองอยู่ในครัว เสียงเปิดประตูห้องก็เรียกความสนใจของหญิงสาวให้หันไปมองที่ต้นกำเนิดเสียง แล้วก็พบกับภาพชายหนุ่มร่างสูงหนึ่งในสี่คนที่เธอเห็นเมื่อเช้าหอบหิ้วของพะรุงพะรังเดินเข้ามาในห้อง ตะวันวาดรีบหลบไปซ่อนอยู่หลังเคาน์เตอร์ เพราะคงไม่เหมาะนักที่จะให้บุรุษที่ไม่ใช่สามีและคนในครอบครัวเห็นเธอในสภาพเช่นนี้
“หยุดอยู่ตรงนั้นค่ะ” หญิงสาวยกมือร้องห้ามชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาหาเธอ
“เอ่อ...”
ชายหนุ่มนัยน์ตาสีเทายกสองมือที่มีถุงห้อยหลายถุงให้เธอดู ย้ำชัดว่าเขาซื้อของมาให้ ไม่ได้มาร้าย หากแต่แตกต่างจากสิ่งที่หญิงสาวคิด เธอไม่ได้กลัวเขา แต่การแต่งตัวของเธอไม่เหมาะที่จะให้ใครเห็นหรือรับแขก
“วางมันไว้ตรงโต๊ะนั่นแหละค่ะ” หญิงสาวชี้มือไปยังโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลมาก ทั้งที่อยากถามมากกว่านั้นแต่หญิงสาวก็ทนเห็นอีกคนหิ้วของหนักรอไม่ไหว
ชายหนุ่มผมสีเดียวกับดวงตายอมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะน้ำหนักที่อยู่ในมือสองข้างก็สามารถดึงพลังงานคนตัวใหญ่อย่างเขาได้เยอะทีเดียว
เมื่อวางของเสร็จและเห็นแววตาสงสัยของอีกคน ชายหนุ่มก็ไขความกระจ่างให้เธอ
“ผมชื่อแฟรงค์ เป็นทั้งบอดี้การ์ดส่วนตัวและเลขาฯ คนสนิทของคุณแพทริก คุณแพทริกสั่งให้ผมเอาของพวกนี้มาให้คุณ ถ้าคุณอยากได้อะไรเพิ่ม
เติมก็แจ้งผมได้เลยนะครับ” แฟรงค์บอกเสียงเรียบ
“ขอบคุณค่ะ ฉัน...ตะวันวาด หรือเรียกว่ายาหยีก็ได้” หญิงสาวบอกขอบคุณอีกคนอย่างเป็นมิตร โดยใช้เคาน์เตอร์ครัวเป็นที่กำบังเหมือนเดิม
“ฉันขอใช้โทรศัพท์สักครู่ได้ไหม”
“คุณต้องการอะไรก็สั่งผมเถอะครับ”
ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบเป็นเชิงปฏิเสธกลายๆ เท่านี้หญิงสาวก็เดาชะตากรรมของตัวเองออก ถ้าเจ้านายไม่อนุญาตเธอก็ไม่มีสิทธิ์ออกไปจริงๆ ตะวันวาดมองชายหนุ่มอย่างลังเลอีกครั้ง ถึงแม้จะเพิ่งได้เจออีกคน แต่ก็อดถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัยไม่ได้
“เอ่อ...คุณแพทริกเป็นใคร ทำไมเขาถึงต้องมีบอดี้การ์ดส่วนตัวและมีที่พักหรูหราอย่างนี้”
“เรื่องนั้นผมว่าคุณถามกับคุณแพทริกเองดีกว่าครับ มันเกินหน้าที่ของผมที่จะตอบ” อีกคนปฏิเสธอย่างสุภาพ เพราะถึงแม้ว่าแพทริกจะให้ความสนิทสนมเหมือนเพื่อนและให้เกียรติเขามากแค่ไหน แต่กรอบของคำว่าหน้าที่ก็ไม่ควรข้ามเส้นล้ำเขตเช่นกัน
“เขาไม่ได้ทำงานผิดกฎหมายใช่ไหม”
“ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะทำงานนอกเหนือคำสั่ง หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ คงไม่มีประโยชน์ที่เธอจะเซ้าซี้ให้มากความต่อไป และเมื่อไม่มีอะไรจะพูดคุย ตะวันวาดก็จำต้องเปิดปากไล่แฟงค์เนื่องจากสภาพเธอในตอนนี้ไม่เหมาะสมที่จะรับแขกเลยจริงๆ ทั้งที่ตามมารยาทแล้วเธอไม่ควรกระทำเพราะนี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
“เอ่อ...ถ้าคุณเสร็จธุระแล้ว ออกไปก่อนได้ไหม ฉันแต่งตัวไม่เหมาะสม”