Chapter 2
ในขณะที่ทุกคนกำลังกังวลเจ้าบ่าวก็เดินกลับเข้ามาในงานพอดี แต่กระนั้นก็ยังไร้เงาของเจ้าสาวที่ควรจะเดินเคียงข้างเข้ามาเหมือนอย่างคู่แต่งงานอื่น
“แล้วหนูยาหยีล่ะพัทธ์” คุณหญิงรำภาถามลูกชายประโยคแรกทันทีที่เขาเดินมาถึงตัว
“ยาหยีไม่ได้อยู่ในงานหรือครับ ผมก็มัวคุยกับเพื่อนเพลินไปหน่อย เพิ่งจะเดินเข้ามานี่ละครับ” เจ้าบ่าวถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแปลกใจ แต่คนที่แปลกใจมากกว่าคือคนรออย่างร้อนรน
“แม่ไม่เห็นในงานมานานแล้วเหมือนกัน นึกว่าไปรับแขกกับลูกเสียอีก นี่ก็ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย” คุณหญิงรำภาบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก หันกลับไปมองฝ่ายเจ้าสาวที่ละจากแขกเดินมาสมทบพอดี
“คุณอาทิตย์กับคุณพิมพาเห็นหนูยาหยีบ้างไหมคะ รับแขกอยู่ทางด้านโน้นหรือเปล่า”
“ไม่นี่คะ...เมื่อครู่ดิฉันเห็นยาหยียืนรับแขกอยู่หน้างาน เดี๋ยวดิฉันขอไปถามยิหวาสักครู่ เผื่อจะบอกอะไรไว้” นางพิมพาบอกพร้อมกับผละไปหาลูกสาวอีกคนที่ยืนคุยกับเพื่อนอยู่ไม่ไกล
“เอาอย่างนี้...วินลองไปดูที่ห้องแต่งตัวก่อน เผื่อว่ายาหยีจะไปซับหน้าเพิ่ม” รวินเพื่อนสนิทของเจ้าสาวบอกขึ้นมา ในสายตาคนภายนอกเขาคือผู้ชายมาดแมนที่อยู่เคียงข้างคอยปกป้องตะวันวาด แต่ความเป็นจริงแล้วเขากลับไม่ใช่ชายอย่างที่รูปร่างภายนอกเป็น
“ดีจ้ะ แม่ฝากด้วยนะรวิน” คุณหญิงรำภาตอบรับทันที
“เอ...ยาหยีบอกหนูว่าจะไปเข้าห้องน้ำนี่คะ ยังไม่กลับมาอีกหรือ เดี๋ยวยิหวาไปตามให้อีกคน” ตะวันรุ้งเดินตามมาสมทบหลังจากที่มารดาบอกเล่าคร่าวๆ และทันได้ยินบทสนทนาพอดีจึงเสนอตัวอีกคน เพราะแขกก็มากันครบอีกทั้งก็ใกล้เวลาเข้าไปทุกทีแล้ว
ฝ่ายเจ้าบ่าวก็ผละออกไปให้เจ้าหน้าที่ของโรงแรมช่วยตามหาอีกแรง แต่หลังจากที่เดินออกไปไม่นานรวินก็เดินหน้าตื่นมา ตามด้วยตะวันรุ้ง
“บนห้องไม่เจอครับ”
“ห้องน้ำก็ไม่มีค่ะ”
“หารอบๆ งานก็ไม่เห็นครับ”
หลังจากสิ้นเสียงบอกเล่าสุดท้ายความโกลาหลก็เริ่มก่อตัวขึ้น คุณหญิงรำภายกมือทาบอกสีหน้าเคร่งเครียด รอยกังวลเกิดที่ใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากประธานในพิธีเป็นถึงรัฐมนตรี หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดี
“คุณแม่กับคุณน้าทั้งสองช่วยเข้าไปในงานก่อนนะครับ ผมกลัวว่าแขกเหรื่อจะสงสัย ยิ่งนักข่าวจับตามองเราทุกฝีก้าวอย่างนี้” เจ้าบ่าวเสนอทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเสียงนุ่ม องค์กรที่เขาบริหารและสังคมที่เขาอยู่ต้องอาศัยภาพลักษณ์เป็นสำคัญ
“จ้ะ” คุณหญิงรำภาตอบรับและเดินเข้าไปในงาน
หลังจากที่ผู้สูงวัยกว่าทั้งสามคนเดินเข้าไปในงาน เจ้าบ่าวก็หันกลับมามองเพื่อนหนุ่มที่หัวใจไม่หนุ่มอีกครั้ง เขาตบบ่าเพื่อนรักรุ่นน้องพร้อมบอกเป็นเชิงขอร้องให้ช่วย
“วิน...คุณช่วยรับหน้างานบนเวทีให้ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะไปดูกล้อง ส่วนคุณยิหวาผมขอความกรุณาเดินไปดูที่ห้องอีกครั้ง เผื่อจะสวนทางกัน” หลังจากหันไปบอกพี่สาวเจ้าสาวเสร็จก็เดินออกไปทันที เพราะเวลากระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว
“ได้ครับ” รวินรับคำก่อนที่จะแยกไปอีกทาง
หากใครเลยจะรู้ว่าเจ้าสาวที่คนในงานกำลังตามหากลับมายืนอยู่ในสวน เธออยู่ตรงนี้มานานพอสมควรแล้ว ความเหม่อลอยครุ่นคิดทำให้เธอลืมเวลาที่ขยับล่วงเลยไปทุกขณะ
ตะวันวาดยืนเหม่อมองฝ่าความมืดในสวนของโรงแรมซึ่งเป็นมุมมืดไม่มีใครสังเกตเห็นอย่างหนักใจ ลมหายใจอุ่นถูกพ่นออกจากปากอิ่มรอบแล้วรอบเล่า แม้จะพยายามทำใจยอมรับ แต่พอเอาเข้าจริงมันก็ยากเหลือเกินที่จะต้องทนอยู่กับคนที่เธอไม่ได้รัก ทว่าเธอก็คงไม่อาจหลีกหนีความจริงพ้น
คิดถึงตรงนี้เจ้าสาวก็สูดลมหายใจเข้าปอด เธอต้องหันกลับมาเผชิญกับความจริง...สิบปีที่เธอเฝ้ารอเขาที่เงียบหายไปดั่งสายลม คงหมดหวังที่เธอจะรอ บางทีเขาอาจจะลืมเธอไปแล้วก็เป็นได้ ถ้าหากครั้งนี้เธอไม่เสียสละครอบครัวของเธอจะเป็นอย่างไร ในเมื่อพวกเขาเสียสละเพื่อเธอมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่เธอจะต้องตอบแทนบุญคุณเสียที
‘แม้ร่างกายฉันจะเป็นของคนอื่น แต่หัวใจของฉันยังเฝ้ารอคุณเสมอ นะคะ...พชร’ หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง พ่นลมออกจากจมูกก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปใหม่ จากนั้นจึงหันหลังกลับเข้าไปในงาน
แต่ทว่า...มันคือความรู้สึกสุดท้ายที่เธอได้รับรู้...ก่อนที่เปลือกตาจะปิดสนิทลง
ห้องแกรนด์บอลรูมคลาคล่ำไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย ทั้งที่งานแต่งครั้งนี้ถูกจัดขึ้นแบบกะทันหัน แต่เพราะเจ้าสาวเป็นถึงอดีตนางแบบดังที่ผันตัวออกจากวงการเนื่องจากเบื่อข่าวฉาวที่ถูกสารพัดสื่อปั้นแต่งเพื่อหวังจะขายข่าว ส่วนเจ้าบ่าวก็เป็นเซเลบที่รู้จักในวงสังคม จึงไม่แปลกที่จะมีผู้คนมาร่วมเป็นสักขีพยานมากมายขนาดนี้
คุณรำภากับคุณพิมพาและคุณอาทิตย์ บิดามารดาคู่บ่าวสาวยืนรอตะวันวาดอยู่ข้างเวทีอย่างกระวนกระวายใจ ไม่มีใครรู้ว่าเค้าลางแห่งความอับอายกำลังจะเกิดขึ้น
“ยิหวา ตกลงยาหยีไปไหนลูก ตามหาเจอหรือเปล่า ทำไมไม่มาด้วยกัน นี่ก็ใกล้จะได้ฤกษ์แล้วนะ เจ้าบ่าวก็อีกคน เหลวไหลกันทั้งคู่เลย” คุณพิมพาถามลูกสาวคนโตอย่างร้อนรน เชิงตำหนิคู่บ่าวสาวอยู่ในที
“คือ...ที่ห้องไม่เจอค่ะคุณแม่ รอคุณพัทธ์ไปดูกล้อง อีกเดี๋ยวก็คงมาแจ้งค่ะคุณแม่”
แม้จะพูดเช่นนั้นหากถึงเวลาเริ่มงานก็ยังไร้วี่แววของคู่บ่าวสาว ในขณะที่รวินซึ่งรับหน้าที่เป็นพิธีกรก็ทำหน้าที่บนเวทีตามปกติ จนมุกใกล้จะหมดเต็มที จึงเริ่มชำเลืองมองหาคู่บ่าวสาวเป็นระยะ
เจ้าบ่าวเดินหน้าเครียดเข้ามาที่ข้างเวที ก่อนจะกระซิบบอกผู้สูงวัยทั้งสามโดยที่ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากนัก จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวทีทันที รวินที่ยืนมองอยู่ก่อนยื่นไมโครโฟนให้เจ้าบ่าวอย่างงงๆ
“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผม จิรพัทธ์ จิรวัฒนะกุล ผมขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่เสียสละเวลามาร่วมงานในค่ำคืนนี้ ทุกท่านอาจจะสงสัยว่าเจ้าสาวหายไปไหน เป็นอีกเรื่องนอกจากคำขอบคุณที่ผมต้องกราบขอโทษแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ที่เจ้าสาวของผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ ตอนนี้เธอไม่สบายถึงขั้นแอดมิทที่โรงพยาบาล เนื่องจากเธอจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง คุณตะวันวาดต้องการความเรียบร้อยและให้งานแต่งออกมาดีที่สุด ร่างกายที่ขาดการพักผ่อนทำให้เธออ่อนเพลียและเป็นลมล้มพับไป ต้องพาตัวเธอไปตรวจเช็กอาการที่โรงพยาบาลอย่างฉุกเฉิน ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นวันนี้ผมขอน้อมรับด้วยความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ผมต้องกราบขออภัยอีกครั้ง”
“ฉันจะเป็นลม!”
คุณหญิงรำภายกมือทาบอกเหมือนลมที่อยู่ในช่องท้องขาดเป็นห้วง และอากาศเหลือน้อยลงไปทุกที แต่นางก็ต้องฝืนทรงตัวให้ยืนอยู่ต่อ
จบประโยคของเจ้าบ่าว เขาก็ยื่นไมโครโฟนคืนให้รวินก่อนที่จะก้าวลงจากเวที ทั้งที่ด้านล่างเวทีก็อลหม่านไม่แพ้กัน เกิดเสียงซุบซิบนินทาหนาหูขึ้นจนเริ่มอื้ออึง จากนั้นไม่นานแสงไฟจากกล้องของนักข่าวหลายสำนักก็เกิดขึ้นพร้อมกับการกรูกันเข้ามาของเหยี่ยวข่าว แล้วก็ถามคำถามอย่างที่ตัวเองต้องการอยากรู้เพื่อไปเสนอข่าวให้เร็วที่สุดและเป็นหนึ่งเดียว
รวินรีบวิ่งตามลงมาพร้อมกับเอียงหน้ากระซิบถามคุณหญิงรำภาที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“มันเกิดอะไรขึ้นครับ ยาหยีไปไหน”
“แม่ก็รอถามรายละเอียดกับพัทธ์เหมือนกัน แต่คงต้องรอจบงานก่อน ตอนนี้แม่ขอไปกราบขอโทษท่านรัฐมนตรีก่อนนะ ไม่รู้จะบากหน้าเข้าไปยังไงดี”
คุณหญิงรำภาส่ายหน้าหนักใจแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น ปล่อยให้คนถามยืนงงมองตามสลับกับมองเจ้าบ่าวที่โดนสื่อรุมสัมภาษณ์อยู่ข้างๆ