บทที่4. หงุดหงิด

2110 Words
            ชายหนุ่มอดหงุดหงิดกับการจราจรในเมืองหลวงไม่ได้ นี่อาจเป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่เขาไม่อยากจะใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ เท่าไหร่นัก        แม้ว่าจะมีธุรกิจอยู่ที่นี่แต่เขายินดีที่จะเดินทางไปมาระหว่างเชียงใหม่-กรุงเทพฯ เขาคิดอยู่บ่อยๆ ว่าคนกรุงเทพฯ นี่ช่างอดช่างทนดีแท้แต่คงยกเว้นน้องสาวตัวแสบของเขาคนหนึ่งหล่ะ                  มานพดูนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเที่ยงเศษแล้วแต่เขาเพิ่งเดินทางมาถึงที่หมาย แต่ก็ไม่แน่หรอกว่าคนที่อยากเจอตัวป่านนี้จะลุกจากเตียงนอนหรือยัง   เขาบอกน้องสาวตัวดีว่าจะมาตั้งแต่เมื่อ 2 วันที่แล้ว แต่เรื่องอะไรเขาจะยอมเสียค่าเครื่องบินมาเพื่อจัดการนิสัยคลั่งช้อปปิ้งจนเงินหมดเขาต้องรอนัดลกค้าให้เรียบร้อยก่อน แต่ก็อดหัวเราะคนเดียวไม่ได้เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของน้องสาว “ตามใจกันจนเหลิงอย่างนี้ต้องโดนยึดบัตรเครดิตจะได้เข็ดสักที”        มานพจอดรถเรียบแล้วจึงก้าวลงมาและทักทายกับรปภ.อย่างคุ้นเคย             ถึงจะไม่ชอบกรุงเทพฯ      แต่เขาก็มีคอนโดไว้พักยามเมื่อต้องเข้ามาดูกิจการที่นี่ ครั้นจะไปพักกับหมอกก็หงุดหงิดกับโฮมออฟฟิศที่มีคนเข้าออกตลอดเวลา เขาจึงซื้อคอนโดไม่ไกลจากที่น้องสาวพักอยู่ “วันนี้เห็นคุณใบเมี่ยงออกไปข้างนอกหรือเปล่า” มานพถามพร้อมกับยื่นถุงขนมส่งให้รปภ.อย่างเคยชิน ถึงเขาจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนหน้าดุแต่เขาก็มีน้ำใจกับคนอื่นเสมอ “ยังเลยครับคุณหม่อน” “ขอบใจมาก”      เขายิ้มที่มุมปากแล้วเดินเข้าไป ขณะรอลิฟต์เห็นคู่รักหนุ่มสาวเดินสวนกันออกมาจากลิฟต์เขาก็เผลอถอนหายใจเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว       ชีวิตที่ผ่านมาของเขายุ่งวุ่นวายกับการทำมาหากินจบเพียงม.ปลาย แต่ในยุคนั้นก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ได้เรียนหนังสือ ครอบครัวกำลังล้มลุกคลุกคลานเพื่อตั้งตัวเขาในฐานะลูกชายคนโตต้องช่วยเหลือครอบครัวเต็มที่          และความหวังเล็กๆ ของแม่ที่อยากมีลูกสาวน่ารักๆ สักคน แต่กว่าฟ้าจะประทานมาให้ ก็เป็นลูกคนที่6ของพ่อแม่ และเขาก็อายุห่างจากน้องคนสุดท้องนี้ถึง 18 ปีเต็ม      มานพนับตัวเลขในใจแล้วขมวดคิ้ว ปีนี้เขาก็อายุ39 แล้ว เหลืออีกปีเดียวก็จะเลขอายุตัวหน้าก็จะเปลี่ยนเป็นเลข 4 ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาเขาเอาเรี่ยวแรงทั้งหมดทุ่มเทกับกิจการของครอบครัว   จนกลายมาเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทุกสาขา      แม้ว่าธุรกิจตอนนี้จะมั่นคงและพ่อก็ได้วางมือเพื่อพักผ่อนแล้วแต่เขาก็ยังไม่มีเวลาที่จะหา “คนรัก” เป็นของตัวเองสักที ในขณะที่เมฆก็แต่งงานมีลูกสามคน, ส่วนหมอกก็ได้ข่าวว่ามีคนคบหาดูใจอยู่และเจ้าโมนก็มีคู่หมั้นแล้ว        ‘ลูกก็อายุเยอะขึ้นทุกวันๆ น่าจะหาใครสักคนไว้อยู่เป็นเพื่อนนะ’ ‘โธ่แม่...หม่อนไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้หรอก’ ‘ไม่มีเวลาหรือไม่เคยมองหาจ๊ะ ตอนนี้บ้านเราก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนัก ลูกน่าจะหาความสุขให้ตัวเองบ้าง’   ปิ๊งงงงง เสียงลิฟต์เตือนหมายถึงชั้นที่ต้องการทำให้มานพตื่นจากภวังค์แล้วก้าวออกมา เขาเริ่มชินชากับการใช้ชีวิตกับงานมากกว่าที่จะมีคนรัก        เขานึกภาพตัวเองไม่ออกเลยด้วยซ้ำบางทีการที่เขายังริเริ่มโครงการใหม่ๆ สำหรับธุรกิจของเขาและครอบครัวอยู่ก็เพราะเขาไม่อยากรู้สึกโดดเดี่ยว        แต่ช่างเถอะ! เอาแค่จัดการน้องสาวจอมวุ่นคนเดียวเขาก็ต้องใช้พลังงานเยอะไม่ใช่น้อยมันก็คงทำให้เขาลืมเรื่องจะมีคนรักไปได้อีกหลายปีทีเดียว มานพยิ้มที่มุมปากขณะเคาะประตูห้องของน้องสาว             เขารอเพียงไม่นานหน้าหวานๆ ก็โผล่ออกมาหลังบ้านประตูอย่างรวดเร็วจนเขาแปลกใจ “พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ถามก่อนว่าใครแล้วค่อยเปิดประตู” เขาทำหน้ายักษ์ใส่แต่น้องสาวกลับยิ้มทะเล้นแล้วเบี่ยงตัวให้พี่ชายก้าวเข้ามาในห้อง “ไหนพี่หม่อนบอกว่าจะมาตั้งแต่สองวันที่แล้วไงคะ” มาริสาเดินไปรินน้ำให้พี่ชายก่อนจะรินให้ตัวเอง      “นี่ทำอะไร? จะย้ายบ้านหนีหนี้เหรอ” มานพถามอย่างงุนงงกับภาพที่เห็น       ห้องชุดขนาดใหญ่ที่มีข้าวของมากมายกองเต็มจนแทบจะหาที่นั่งไม่เจอ “แหม!อย่างใบเมี่ยงคงไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” มาริสาหัวเราะร่า วันนี้เธอรวบผมขึ้นเป็นหางม้าทำให้หน้าตาดูสดใสแม้จะมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก        “แล้วทำอะไรอยู่” พี่ชายคนโตมองดูกระเป๋าสะพายหลายใบที่วางอยู่มุมหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมีเข็มขัดหลายเส้น,เสื้อผ้าอีกกองใหญ่ เขารู้สึกมึนตึบๆ เมื่อสังเกตว่าสิ่งของหลายสิ่งยังมีป้ายราคาติดอยู่และตัวเลขของมันก็สูงไม่น้อย เขาพยายามข่มสมองไม่ให้คำนวณราคาข้าวของพวกนี้         ไม่อย่างนั้นอาจเป็นเขาเองที่ปวดไมเกรนจนอาละวาดจนห้องนี้พังก็ได้ “ก็จะคัดเอาของอะไรๆ ที่ไม่ใช้ไปขายไงคะ” “ขาย?” มานพเลิกคิ้วสูง “ตกลงเราจะเป็นแม่ค้าแล้วเหรอ” “เปล่าค่ะ” มาริสาส่ายหน้าไปมา “จะเอาของพวกนี้ไปขายเพื่อเป็นรายได้ช่วยเหลือน้องหมาแมวจรต่างหากละ” “เอาจริงเหรอ” มาริสาเบ้ปากนิดๆ แล้วดึงแขนพี่ชายมาที่หน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานที่สามารถมองไปเห็นทิวทัศน์ด้านนอก เธอกดปุ่มต่างๆ อย่างรวดเร็วและไม่นานหน้าจอก็ปรากฏเวบไซต์ช่วยเหลือสัตว์จรจัดที่เธอทำอยู่           “ตรวจสอบได้เลยค่ะ แน่ใจได้เลยว่าโครงการนี้ชัวร์ไม่มัวนิ่ม”             “พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” เขารู้ดีเรื่องที่น้องสาวช่วยเหลือสัตว์จรจัดอยู่บ่อยๆ ตัวเขาเองก็เคยช่วยออกเงินช่วยเหลือเป็นครั้งคราว “แล้วพี่หม่อนหมายถึงอะไรละเจ้าคะ” มาริสาเอียงคอถาม “ก็ที่จะขายของพวกนี้นะซิ ทำใจได้แล้วเหรอ” เขาหลิวตามองของที่มาริสาวางไว้ “บางชิ้นก็ยังไม่ได้ใช้” “ก็ขายเฉพาะชิ้นที่ทำใจได้ซิคะ” เธอยิ้มกว้าง “แล้วที่นี่ห้องของเมี่ยงก็จะว่างมีที่เก็บของใหม่แล้วไง” “ห๋า! ยังมีความคิดที่จะซื้อของใหม่อีกเหรอ” มานพยกมือกุมขมับแล้วเดินมาหาที่นั่งตรงโซฟาซึ่งก็มีต่างหู,สร้อยคอ,กำไลวางกองอยู่บนโต๊ะ “เรานี่ไม่เคยนึกเสียดายเงินเลยหรือไงนะ” “แต่ถ้าไม่ได้ซื้อมันเสียดายมากกว่านี่”        มาริสาทำแก้มป่องแล้วเดินไปกอดคอพี่ชายจากด้านหลังแล้ววางคางตรงไหล่ของพี่ชาย “พี่หม่อนคิดในแง่ดีหน่อยซิคะ ถ้าไม่มีคนอย่างเมี่ยงคนทำเค้าจะขายใครได้ แล้วของพวกนี้มันแพงเพราะไอเดียแล้วคุณภาพมันก็ดีด้วย” “ใช่! พวกบ้าช้อปฯเท่านั้นแหละที่ทำให้หลุยติ๊งต๊องหรือกระเป๋าป้าดาเจริญรุ่งเรืองอย่างนี้ ใบเมี่ยงต้องคิดถึงตอนที่พวกเราเคยลำบากมาซิ สมัยนั้น...” “สมัยนั้น...พ่อแม่อดมื้อกินมื้ออยู่อย่างลำบากกว่าจะได้เงินแต่ละบาทเลือดตาแทบกระเด็น...”  มาริสารีบชิงพูดขึ้นก่อน  “พูดมาตั้งแต่ใบเมี่ยงยังเด็กแล้วนะ” “แล้วมันเข้าไปในสมองบ้างไหม” เขาทำหน้าดุ        พูดไปก็เท่านั้นเพราะมาริสาเกิดตอนที่ครอบครัวสบายแล้วกิจการมั่งคงเรียกว่าตอนนั้นพวกเขาถูกมองว่าเป็น “เศรษฐีใหม่” เลยทีเดียว มานพหยิบซองสีน้ำตาลออกมาแล้วส่งให้มาริสาที่ยืนมือมารับอย่างงงๆ แต่ดวงตากลมต้องเบิกโตแล้วทำหน้าแหยเมื่อเห็นบิลสารพัดมากมายในซองซึ่งเป็นรายจ่ายของเธอทั้งสิ้น        “ถ้าเราคิดจะใช้เงินเป็นน้ำแบบนี้ ก็หัดหาเงินเองให้ได้ก่อนซิ” “โธ่!พี่หม่อน อย่าทำแบบนี้กับเมี่ยงซิ” “นี่! กว่าพี่จะได้ซื้อมือถือสักเครื่องยังต้องเก็บเงินไม่รู้กี่เดือน แล้วแกละ! ซื้ออะไรแต่ละทีคิดบ้างไหม” “คิดซิคะ คิดว่ามันเหมาะกับเราไหม เป็นลิมิเต็ดอิดิชั่นหรือเปล่า ของแท้ใช่ไหมแล้วก็....” “พอเลย! พอ!”    เขายกมือห้ามไม่ให้น้องสาวพูดต่อ “แกนี่มันสามารถเอาคนละเรื่องมาเป็นเรื่องเดียวกันได้จริง” “ก็เมี่ยงตอบตามที่พี่หม่อนถามนี่คะ แต่พี่หม่อนไม่อยากฟังคำตอบของเมี่ยงต่างหาก” “เรื่องนั้นช่างมัน” เขาโบกมือไปมา “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่จะจำกัดการใช้เงินของเมี่ยงพี่จะโอนเข้าบัญชีให้แค่เดือนละหนึ่งหมื่นบาทเท่านั้น” “หมื่นหนึ่ง! พี่หม่อนจะบ้าเหรอ! หมื่นหนึ่งจะไปทำอะไรได้ซื้อรองเท้ายังได้แค่ข้างเดียวเอง! แล้วจะให้กินอยู่ยังไงละคะแบบนี้เมี่ยงก็อดตายแน่ๆ” “ถ้าเงินไม่พอใช้แกก็หางานทำเองซิ” มานพนึกอยู่แล้วว่าต้องโดนน้องสาวโอดครวญอย่างนี้     “มาช่วยงานในบริษัทก็ได้ พี่จ่ายเงินเดือนให้มากกว่าเด็กจบใหม่นิดหนึ่งก็ได้” “นี่พี่หม่อนเอาจริงใช่ไหม” มาริสาทำหน้าเหมือนจะเป็นลมแต่ไม่อาจเรียกความสงสารจากพี่ชายคนโตได้เลย “มันถึงเวลาแล้วที่เมี่ยงจะต้องหัดดูแลรับผิดชอบตัวเองบ้าง” มานพพูดน้ำเสียงเข้ม “แต่ถ้ายังไม่อยากไปทำงานประจำก็รับเป็นจ็อบไปก่อนก็ได้ พี่มีงานทำเวบไซต์ของอาจารย์นิลมาให้เมี่ยงช่วยหน่อย” “นี่พี่หม่อนคิดทุกอย่างมาเสร็จสรรพแล้วซิ”             “ใช่”  มานพยักคิ้วให้ “ถ้าคิดจะจัดการสาวใบเมี่ยงก็ต้องรัดกุมแบบนี้แหละ”             มาริสาได้แต่ถอนหายใจหนักๆ รู้สึกหมั่นไส้ที่พี่ชายยิ้มแบบเหนือกว่าและจำใจยื่นมือไปรับแฟ้มเอกสารที่พี่ชายยื่นส่งมาให้    หญิงสาวพลิกดูคราวๆ เป็นโครงการจัดหอศิลป์แสดงผลงานของอาจารย์และนักศึกษาที่เคยร่ำเรียนในคณะจิตรกรรม  แม่มักเล่าเสมอว่าพี่หม่อนเสียสละตัวเองทั้งที่พรสวรรค์ด้านงานศิลปะแต่กลับมาช่วยกิจการของครอบครัวที่ตอนนั้นกำลังตั้งไข่             แต่เมื่อตอนนี้ฐานะทางการเงินมั่นคงไม่เดือดร้อนเช่นเก่าก่อน            มานพก็มักจะช่วยเหลือสนับสนุนผลงานศิลปะของศิลปินหน้าใหม่ตามแต่จะมีโอกาส                   “จะมีงานระดมทุนสร้างหอศิลป์ พี่เองก็จะช่วยด้วยแต่ตอนนี้อยากให้เมี่ยงทำเวบไซต์เกี่ยวกับโครงการนี้ให้ก่อน”             “ก็ได้ค่ะ” มาริสาพยักหน้ารับ “งานนี้เมี่ยงคิดเงินได้ใช่ไหม”             “ก็ส่งใบเสนอราคามาก่อนก็แล้วกัน”          เขายิ้มที่มุมปาก             “เป็นพี่น้องกันต้องส่งใบเสนอราคาด้วยเหรอ เขี้ยวไปมั้งคุณมานพ”             “นี่เป็นเรื่องงานก็ต้องทำตามขั้นตอนไงครับคุณมาริสา”             มาริสาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วฉีกยิ้มออกมา “ได้ค่ะคุณมาพ”             “ถ้าเราเข้าใจตรงกันแบบนี้ก็ดีแล้ว  หากอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อกับเลขาของผมนะครับ”             “ได้เจ้าคะ”                     “เที่ยงกว่าแล้วกินอะไรหรือยัง พี่หิวแล้วละเราไปหาอะไรกินกันไหม”             “ถ้าคุณมานพจะกรุณาเลี้ยงดิฉันผู้ไม่มีเงินติดตัวสักกะบาทก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งเจ้าคะ”             มานพหัวเราะในลำคอแล้วลุกขึ้นยืน มาริสาแลบลิ้นใส่ก่อนวิ่งไปหยิบกระเป๋าสะพายกับโทรศัพท์มือถือแล้วเดินไปเกาะแขนพี่ชายราวกับกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ            ‘ไม่มีเวลาหรือไม่เคยมองหาจ๊ะ…ตอนนี้บ้านเราก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนัก...ลูกน่าจะหาความสุขให้ตัวเองบ้าง’              ชายหนุ่มนึกถึงประโยคของมารดา ใครว่าบ้านเราไม่ยุ่ง...นับจากนี้ไปเรื่องยุ่งกำลังจะเกิดขึ้นต่างหากละ                
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD