“พี่กันต์โอเคไหมคะ”
“ครับ...โอเคสิทำไมพี่จะไม่โอเค พี่รู้อยู่แล้วล่ะครับว่าปั้นหยาไม่ได้สนใจพี่ แต่ที่ไม่โอเคมีแค่เรื่องเดียว” เขาพูดไปยิ้มไปด้วย แต่ประโยคสุดท้ายเขาก็พูดช้า ๆ
“คะ?”
“ช่างมันเถอะครับ ค่ำนี้ยาหยีว่างไหม"
"คะ? อ๋อว่างค่ะหยีเลิกเรียนแล้ว"
"ถ้างั้น...วันนี้พี่อกหักช่วยไปกินข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิครับ” เขาถามฉันแล้วก็ยิ้มขมขื่นมาให้บาง ๆ เหมือนพี่เขากำลังเสียใจ เอ๊ะ! แต่ทำไมเมื่อกี้ดูไม่เสียใจวะ?
“ถ้าพี่กันต์อยากให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหยีก็ยินดีค่ะ” ฉันยิ้มรับตามมารยาท แต่ในใจนี่สิคะ ไม่อยากจะว่าตัวเองแต่ในใจของยาหยีคนนี้โคตรเต็มใจเลย เต็มใจมาก ๆ ที่จะอยู่ข้าง ๆ เขาในวันที่เขาเสียใจ คนดีมากนางเอกไปอีก นางเอกที่ไม่มีพระเอก ฮ่า ๆๆ อยากหัวเราะให้กับความสวยที่แม่ให้มาแต่ใช้ดึงดูดความสนใจของผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลย
“ถ้างั้นเราไปกันเลยไหมหรือว่ายาหยีต้องกลับบ้านก่อนครับ”
“ไปเลยก็ได้ค่ะนี่ก็เย็นแล้ว พี่กันต์อยากไปร้านไหนคะ”
“อืม ขอไปไก ลๆ หน่อยได้ไหมพรุ่งนี้วันเสาร์นี่ครับ” เขาทำท่าคิดพักหนึ่งแล้วก็ยิ้มบอกฉัน
“ไกล? ที่ไหนเหรอคะ”
“เอารถยาหยีไปจอดไว้ที่คอนโดพี่ก่อนดีกว่า ใกล้ ๆ มหาลัยนี่เองแล้วพี่จะพาไป” เขาไม่ตอบแต่ส่งยิ้มแล้วลุกขึ้นด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่าพยักหน้าเรียกฉันแทน ถึงจะยังงง ๆ แต่เพราะรอยยิ้มของเขานั่นแหละที่ทำให้ฉันยอมเดินตามไปได้อย่างไม่คิดจะถามอะไรอีกเลย
“พี่กันต์จะพาหยีไปที่ไหนคะเนี่ย” ตอนนี้ฉันอยู่บนรถของเขาแล้วค่ะ เขาขับรถนำไปที่คอนโดของเขาที่ไม่ไกลจากมหาลัยเท่าไหร่แล้วก็จอดรถฉันเอาไว้จากนั้นก็กระโดดขึ้นรถเขามากันเลย แต่ถามเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ
“ยังไม่รู้อีกเหรอครับ พี่ว่าป้ายมันก็บอกทางยาหยีชัดแล้วนะ” เขาหันมาถามฉันแล้วก็กลั้นขำ เห็นน่ะเห็นแน่ค่ะ แต่ก็ยังไม่ชัวร์อยู่ดี
“อยุธยาเหรอคะ?”
“อื้ม ไปกินกุ้งกัน” เขาพยักหน้าแล้วก็ยิ้ม ชอบรอยยิ้มของเขาจัง ยิ้มหวานแล้วมีแก้มนิด ๆ พอยิ้มทีมันจะขึ้นเป็นลูกซาลาเปาเล็ก ๆ น่าหยิกน่าหยอก >//////< เล่าเรื่องอุบัติเหตุแต่เล่าไปยิ้มไปหน้าแดงไปแบบนี้เขาก็ต้องรู้แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ขับรถชนธรรมดา
“เอ่อ...พี่กันต์กินของหวานตบท้ายหน่อยไหมคะ” อีกแล้ว อีกครั้งแล้วที่พยายามชวนเปลี่ยนเรื่องเวลาเขิน ฉันรู้ตัวนะคะว่ามันทำให้เขารู้ทันมากกว่าเดิมแต่มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ มันเป็นความเคยชิน ต่อไปคงต้องมีสติให้มากกว่านี้ ไม่งั้นเขาได้รู้ทันแน่ว่าฉันรู้สึกยังไง
“แล้วขับชนที่ไหนครับ เป็นอะไรมากรึเปล่า”
“ชนที่ตึก...ชนแถว ๆ มหาลัยค่ะ แต่ไม่ได้เป็นอะไรมากแค่ตัวรถมันเฉี่ยวกัน” กำลังจะบอกว่าตึกจอดรถของมหาลัย แต่ถ้าขืนบอกไปพี่เขาต้องจำได้แน่นอนเลย ฉันมั่นใจว่าเขาต้องจำได้เพราะคนเราจะโดนคนอื่นมาชนบ่อยแค่ไหนกันล่ะ ไม่ได้บ่อยเหมือนเดินไปซื้อของกินในร้านสะดวกซื้อสักหน่อย นาน ๆ เกิดครั้งหนึ่งก็ต้องจำได้อยู่แล้ว
“อ้อ เรื่องธรรมดาของการขับรถครับ ต้องมีเฉี่ยวชนกันบ้างอย่าไปฝังใจเลย ยิ่งฝังใจจะยิ่งกลัวแล้วก็ยิ่งทำให้ขับรถลำบาก”
“หยีก็พยายามอยู่ค่ะแต่มันก็ยังขับรถห่วยอยู่ดี” ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะขับรถชิล ๆ ได้ แต่ต่างจากเพื่อนรักอย่างปั้นหยาที่ขับรถเก่งมาก เก่งจนแม่ของปั้นหยาไม่ให้เอารถมาขับเองเพราะเป็นห่วงกลัวลูกสาวจะซิ่งเกินไป หลังจากนั้นเรานั่งคุยกันสักพักจนเริ่มจะดึกถึงได้ชวนกันกลับ
“เดี๋ยวไปเอารถยาหยีที่คอนโดแล้วพี่ขับไปส่งนะครับ”
“คะ? อ๋อไม่เป็นไรค่ะพี่กันต์หยีขับกลับไปค่ะ” ถ้าพี่เขาขับไปส่งเขาก็ต้องลำบากนั่งแท็กซี่กลับคอนโดอีกรอบน่ะสิคะ
“แต่นี่มันเริ่มดึกแล้วกว่าจะถึงกรุงเทพก็คงดึกมาก พี่พามาก็ต้องรับผิดชอบสิครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หยีกลับได้จริง ๆ เวลามีเรียนหรือมีกิจกรรมต้องทำก็กลับดึกบ่อย ๆ” ฉันยิ้มให้พี่เขาเพื่อเป็นการยืนยันว่าฉันกลับได้สบายมาก แค่ต้องค่อย ๆ คลานไปเท่านั้นเอง T_T
“แต่พี่ต้องรับผิดชอบครับ พายาหยีมากินข้าวไกลถึงอยุธยาแล้วยังพากลับดึกอีก”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะหยีไม่ซีเรียสอะไรเลยจริง ๆ พี่กันต์ไม่ต้องรับผิดชอบเลย” ฉันพูดแล้วก็กลั้นขำเพราะเขาพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ซีเรียสมาก ๆ
“ไม่ให้พี่รับผิดชอบเหรอ?” พี่เขาหันมามองแล้วก็ถามฉันเบา ๆ พร้อมกับชะลอรถจอดข้างทางไปด้วย ฉันก็ได้แต่งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ข้างทางมันไม่ได้เปลี่ยวนะคะ มันคือหน้าปั้มน้ำมันพอดี
“ค่ะ ไม่ต้องรับผิดชอบค่ะ พี่กันต์จอดทำไมคะจะเข้าห้องน้ำเหรอ” ฉันตอบแล้วก็ถามงง ๆ ก็พี่เขาเล่นจอดรถไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เปล่าครับ แต่พี่จะให้ยาหยีรับผิดชอบต่างหาก” เขาหันมายิ้มแปลก ๆ ให้ฉัน จะว่าอารมณ์ดีก็ไม่ใช่ เหมือนจะเจ้าเล่ห์ก็ไม่เชิง
“รับผิดชอบ? รับผิดชอบอะไรคะ” ณ จุดนี้ยาหยีงงเป็นไก่ตาแตกแล้ว เขาเมามันกุ้งรึเปล่าถึงทำตัวแปลก ๆ
“รับผิดชอบ...เรื่องเมื่อสามปีก่อนไงครับ ที่หยีถอยมาชนรถพี่แถมยังต้องให้พี่ขับรถคู่กรณีเข้าไปจอดให้อีก”
“...” ! เขาจำได้เหรอ?