แคว้นฉิน
ณ เมืองหลวงเสียนหยาง
ตำหนักเฉี่ยนเก้อลากุง (ตำหนักจันทรา)
ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ภายในพระราชวังหลวงกำลังอยู่ในระหว่างเปลี่ยนเวรยาม ทหารรักษาการณ์ผลัดใหม่ต่างเริ่มทยอยมาสับเปลี่ยนเวรยามเพื่อคอยถวายอารักขา เจ้าผู้ครองแคว้นและเชื้อพระวงศ์ซึ่งประทับอยู่ภายในพระราชวังหลวงเมืองเสียนหยาง ทหารยามต่างทยอยแยกย้ายไปตามแต่ละตำหนักทั้งด้านนอกและด้านใน
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกโบตั๋นหลากสีส่งกลิ่นรัญจวนฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณตำหนักเฉี่ยนเก้อลากุงหรือตำหนักจันทรา ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ชายรอง พระนาม ฉินเสวี้ยนกง โอรสองค์ที่สองของฉินมู่กงซึ่งประสูติจากเหยี่ยนฮองเฮา ในยามนี้ทั่วพระตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกโบตั๋นกำลังส่งกลิ่นขจรกระจายไปทั่วบริเวณ
ประตูพระตำหนักปิดสนิทด้วยเวลานี้คือยามวิกาล ภายในห้องพระบรรทม องค์ชายรองซึ่งมีพระชันษาก้าวเข้าสู่ปีที่ยี่สิบ กำลังบรรทมอยู่ภายในตำหนักดังกล่าว
“กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!”
กระแสลมอ่อนๆ พัดพลิ้วไหวไปมาจนเหล่าดอกโบตั๋นเอนไหวลู่ลม และเสียงกระดิ่งลมที่ทำมาจากดินเผาถูกแขวนไว้ตรงหน้าพระตำหนักเพื่อใช้สังเกตทิศทางลมดังก้องกังวานอยู่เป็นระยะๆ ช่วงเวลาดังกล่าว องค์ชายรองเข้าสู่ภวังค์แห่งความฝัน
ตำหนักจันทราที่ปิดสนิท บัดนี้กลับถูกมือเรียวสวยของอิสตรีปริศนากำลังเปิดประตูพระตำหนักจนร่างระหงดังกล่าวก้าวเดินเข้ามาภายใน ก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าไปภายในห้องพระบรรทม
“จงหยุดเดี๋ยวนี้นะ! นั่นเจ้าเป็นใคร! เข้ามาในตำหนักของข้าทำไมกัน!” สุรเสียงตวาดก้องขึ้นมาทันที ครั้นเมื่อองค์ชายรองทอดพระเนตรร่างระหงของอิสตรีแปลกหน้า จู่ๆ ก็เดินเข้ามาภายในพระตำหนักส่วนพระองค์และมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่ขวางกั้นด้วยผ้าม่านสีขาวขุ่น
หากแต่นางกลับเงียบงัน มิมีเสียงตอบใดๆ เล็ดลอดกลับมาสักเพียงคำ พระเนตรสีนิลคมกล้าทอดพระเนตรร่างงามระหงตรงหน้าพระพักตร์ พลางพยายามเพ่งพิจารณาใบหน้าของนาง ทว่ากลับมิสามารถทอดพระเนตรรูปโฉมได้อย่างชัดเจน จนต้องสะบัดพระเศียรไปมาอย่างแรงเพื่อขับไล่ความง่วงงุน
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร! เป็นนางกำนัลใหม่อย่างนั้นรึ!” รับสั่งถามออกไปพร้อมปรับสายพระเนตรหลังหายจากอาการง่วงนอน
“ฉันไม่ใช่นางกำนัล” เสียงนั้นตอบกลับมาแผ่วเบา
พระขนงเข้มได้รูปสวยขมวดเข้าหากันเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น
“พูดจาพิกลนัก พูดอะไรของเจ้า! หากแม้นไม่ใช่นางกำนัลแล้วเข้ามาในตำหนักของข้าทำไม มิหนำซ้ำยังกล้าเดินเข้ามาจนถึงห้องส่วนตัวของข้าอีก มิกลัวหัวของเจ้าจะหลุดออกจากบ่าเช่นนั้นรึ!” รับสั่งตวาดถามกลับไป
ร่างระหงยืนนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ฉันไม่กลัวเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด แค่กำลังหาทางกลับบ้านเท่านั้น เอง” เสียงหวานนั้นตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้านว่าจะได้รับโทษทัณฑ์ถึงแก่ชีวิตแต่อย่างใด
“ปัง!” พระหัตถ์หนาตบลงบนแท่นพระบรรทมด้วยทรงพิโรธเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“บังอาจ! เจ้าหาญกล้าเจรจากับข้าเยี่ยงนี้เชียวรึ! เห็นชัดว่าเข้ามาในตำหนักของข้าในยามวิกาล ยังจะมาบอกว่าหาทางกลับบ้าน นี่มันคือพระราชวังหลวงเสียนหยาง หาใช่บ้านของเจ้าแต่อย่างใดไม่” รับสั่งพร้อมทรงลุกยืน พร้อมเสด็จลงจากแท่นพระบรรทมอย่างรวดเร็ว
พระหัตถ์หนาคว้าดาบที่วางอยู่บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทม กระชากออกจากฝักเผยให้เห็นคมดาบวาววับสะท้อนกับแสงไฟของตะเกียงที่จุดอยู่ พระวรกายสูงใหญ่เสด็จพระดำเนินตรงไปที่ร่างระหงของสตรีปริศนาที่ยืนอยู่หลังม่านสีขาวนั้นทันที ก่อนจะจ่อปลายดาบไปที่ลำคอของนาง
หากแต่เพียงครู่ดวงเนตรสีนิลกาฬกลับต้องแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย เมื่อสตรีตรงหน้าพระพักตร์กลับมิได้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ปลายดาบของพระองค์กำลังจ่อไปที่คอหอยของนาง
“เจ้าเป็นใครกันแน่ จะบอกว่าเจ้าเป็นนักฆ่าที่แคว้นอื่นๆ ส่งมาหมายปองชีวิตข้าก็มิเห็นดาบคู่กายแม้แต่น้อย ครั้นดาบของข้าจดจ่ออยู่ที่คอของเจ้า หากแม้นออกแรงลงมือฟันเพียงครั้งเดียว หัวของเจ้าต้องหลุดกระเด็น แต่ดูเจ้ารึ มิตื่นตระหนกแต่อย่างใด นี่เจ้าเป็นใครจงบอกข้ามา! มีชื่อว่ากระไร เหตุใดจึงเข้ามาในตำหนักของข้า!” รับสั่งถามสุรเสียงเอ็ดอึง หากแต่คำตอบที่ได้รับยังคงมีแต่ความเงียบงันอยู่เช่นเดิม
“ว่ายังไง ไม่ได้ยินที่ข้าถามหรอกรึ! เป็นใบ้หรือไง! แต่ไม่ใช่สิ เมื่อครู่ที่ผ่านมาเจ้ายังตอบคำถามของข้าอยู่เลย” องค์ชายรองรับสั่งพึมพำ ก่อนจะได้ยินเสียงหวานนั้นเอ่ยตอบกลับมา
“ฉันก็เป็นคนเหมือนคุณนั่นแหละ และก็ไม่รู้ว่าเข้ามาในนี้ได้ยังไง แค่กำลังหาทางกลับบ้านก็เท่านั้นเอง” เสียงหวานนั้นยังคงพร่ำบอกอยู่เช่นเดิม
คำตอบอันแสนพิลึกและนางยังคงตอบพระองค์เหมือนเดิมทำให้องค์ชายฉินเสวี้ยนกงต้องขมวดพระขนงเข้าหากันอีกครา
“หาทางกลับบ้านอย่างนั้นเหรอ! นี่เจ้าพูดอะไรฟังไม่รู้เรื่องเลย ข้าบอกแล้วไงว่านี่คือตำหนักของข้า และเจ้ากำลังบุกรุกตำหนักส่วนตัวของข้าอยู่ในขณะนี้ แล้วนี่เจ้าชื่ออะไร!” รับสั่งถามกลับไปอีกครั้ง
ใบหน้าที่อยู่หลังม่านสีขาวเงยหน้ามองพระองค์ผ่านม่านบังตาดังกล่าวก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“ข้าแซ่ฟ่าน ชื่อว่าชิงเชียง เรียกข้าว่าชิงเชียงจ๋าก็ได้” โฉมงามตอบกลับไปสั้นๆ
“ฟ่านชิงเชียง อย่างนั้นเหรอ นี่เจ้ามาจากตระกูลฟ่าน อย่างนั้นหรือนี่” รับสั่งถึงหนึ่งในตระกูลใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นฟ่าน อยู่ทางตะวันออกของแคว้นฉิน พระขนงเข้มขมวดเข้าหากันครั้นทรงทบทวนชื่อของหญิงปริศนาตรงพระพักตร์
“แต่เหตุใดชื่อของเจ้าจึงฟังแลดูพิลึกชอบกลนัก... ชิงเชียงจ๋า” รับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัย หากแต่เพียงครู่กลับทรงยืนชะงักงันเมื่อรับสั่งชื่อของนางด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่งยวด
“ฉันชอบให้คุณเรียกชื่อของฉันแบบนี้” เสียงหวานบอกความต้อง การจากส่วนลึกภายในใจ
องค์ชายฉินเสวี้ยนกงหรี่พระเนตรลงพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรสตรีปริศนาที่อยู่หลังม่านสีขาวดังกล่าว ภายในพระทัยทรงต้องการทอดพระเนตรโฉมหน้าของนางให้ชัดเจน
ทันใดนั้นเองพระหัตถ์หนายกดาบยาวคมกริบตวัดฟันผ้าม่านบางเบาตรงหน้าจนขาดออกจากกันทันที ด้วยความรำคาญพระทัยอย่างยิ่งยวด
“ฉัวะ!” ผ้าม่านสีขาวลออตาขาดออกจากกันทันใด จนเผยให้เห็นร่างงามระหงยืนอยู่หลังม่านนั้น
ใบหน้าสวยคม ขับกับเส้นผมสีดำเงางามยาวสลวยเผยให้พระองค์เห็นเพียงแวบเดียวก่อนจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา รอยยิ้มละไมส่งยิ้มหวานให้จนองค์ชายรองถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะ มีเพียงเส้นผมสีดำสนิทที่ถูกคมของปลายดาบตวัดออกมาจนร่วงหล่นตกอยู่ที่พื้น
พระวรกายสูงใหญ่ ทรงยืนนิ่งงันไม่ไหวติงราวกับว่าถูกสาป เมื่อได้ทอดพระเนตรรอยยิ้มหวานของหญิงปริศนา ใบหน้างามทอดพระเนตรได้เพียงเลือนราง ก่อนจะทอดพระเนตรพบปอยเส้นผมสีดำสนิทของโฉมงามที่ถูกตัดขาดทิ้งเอาไว้ พระหัตถ์หยิบปอยผมดังกล่าวขึ้นมาทอดพระเนตร
“ฟ่านชิงเชียง! ชิงเชียง!”
“เฮือก!” พระวรกายสะดุ้งจนสุดพระองค์ จนหลุดจากภวังค์แห่งความฝัน
พระเนตรดำใหญ่กลอกกลิ้งไปมา ก่อนจะลุกประทับนั่ง
“ฝันไปอย่างนั้นรึ นี่ข้าฝันเห็นนางในฝันอีกแล้วหรือนี่” รับสั่งพึมพำพร้อมลุกประทับจากแท่นพระบรรทมเสด็จออกจากห้องตรงไปยังประตูพระตำหนัก พร้อมเปิดออกทันที
กลิ่นหอมของดอกโบตั๋นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ เสียงกระดิ่งลมยังคงดังอยู่เป็นระยะๆ วรองค์งามสง่าพระดำเนินไปหยุดยืนทอดพระเนตรเหล่าดอกโบตั๋นหลากสีมากมาย ก่อนจะเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรพระจันทร์เบื้องบนที่กำลังลอยเด่นอยู่บนผืนฟ้า
“เจ้าเป็นใครกันเล่าชิงเชียง เหตุใดข้าจึงฝันถึงแต่เจ้าเช่นนี้มาช้านาน ได้ยินเพียงเสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยคำเจรจา หากแต่มิเคยเห็นใบหน้าอันแท้จริงของเจ้าแต่อย่างใด มีเพียงรอยยิ้มหวานที่ตราตรึงทิ้งเอาไว้ให้ข้าในความฝันเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฝันเห็นเจ้าเช่นนี้อยู่ทุกค่ำคืน รู้บ้างไหมว่าข้าทรมานมากแค่ไหน เจ้าล่วงรู้บ้างหรือไม่ชิงเชียง” องค์ชายรองจากแคว้นฉินอันยิ่งใหญ่ รำพึงรำพันด้วยความทุกข์ทรมานที่อัดอั้นอยู่ภายในพระทัย
“ขอเทพจันทราได้โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด ข้าทรมานเหลือเกินยิ่งแล้ว หากแม้นฝันนี้นางในฝันของข้าหาได้มีตัวตนถือกำเนิดอยู่จริงก็ขออย่าให้ข้าได้ฝันถึงนางอีกเลย จงลบเลือนนางออกไปจากหัวใจและความคิดของข้าด้วยเถิด แต่ถ้าหากนางมีตัวตนจริงแล้วไซร้ ก็ขอให้ข้ามีโอกาสได้พบนางสักเพียงครั้งก็ยังดี และขอฝากความคิดถึงของข้านี้ไปให้นางด้วยเถิด ชิงเชียงจ๋า มาหาข้าเถิด ข้ารอคอยเจ้ามานานแสนนานแล้วรู้หรือไม่” รับสั่งสุรเสียงแผ่วเบา
ถ้อยรับสั่งฝากแรงรักและแรงคิดถึงไปกับเทพจันทรา หวังไว้ในหทัยว่าความคิดถึงนั้นจะส่งถึงโฉมงามให้ได้ล่วงรู้
แรงคิดถึงช่างรุนแรงเสียนี่กระไร เมื่อฉินเสวี้ยนกง องค์ชายรองแห่งแคว้นฉินอันยิ่งใหญ่ มีพระทัยรักผูกพันและมั่นคงต่อนางในฝันมาเป็นเวลานานหลายปี องค์ชายหนุ่มรูปงามฝันถึงนางในฝันตั้งแต่มีพระชนม์มายุเพียงเก้าชันษา
จวบจนกระทั่งในเวลานี้ทรงเจริญชันษาเข้าสู่ปีที่ยี่สิบนางในฝันนามว่าฟ่านชิงเชียงยังตรึงอยู่ภายในหทัยมาเป็นเวลาถึงสิบเอ็ดปี เวลาอันยาวนานแห่งการรอคอยที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เฝ้าคิดถึงแต่นางในฝันมาโดยตลอด
แม้ว่าฉินอ๋องและพระมารดาเหยี่ยนฮองเฮาจะจัดหาพระสนมและพระชายาให้แก่พระองค์มากมายเพื่อสืบสายพระโลหิต แต่องค์ชายรองก็มิยอมเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับสตรีที่ถูกเลือกเฟ้นมาให้กับพระองค์ ทรงรับไว้เป็นเพียงพระสนมเท่านั้นแต่ไม่เคยเสด็จประทับและเสพสังวาสพระสนมเหล่านั้น
จนทำให้องค์ชายฉินเสวี้ยนกงถูกกล่าวขานว่าทรงเย็นชาและไร้หัวใจ ชื่นชมบุรุษมากกว่าอิสตรีเพราะไม่เคยมีรับสั่งให้พระสนมใดถวายงานใกล้ชิดเลยสักคน
ทว่าหามีผู้ใดล่วงรู้หัวใจอันแข็งแกร่งขององค์ชายรองนี้แม้แต่น้อย ท่วงท่าที่แลดูเย็นชาจนกล่าวขานว่าทรงไร้หัวใจ กลับเต็มไปด้วยความรักที่มั่นคงมอบให้นางในฝันแต่เพียงผู้เดียว ความคิดถึงเริ่มรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลให้แรงแห่งปรารถนาของหัวใจมอบให้กับหญิงงามที่มีนามว่า ฟ่านชิงเชียง ข้ามกาลเวลานับหลายพันปีเพื่อให้จอมนางนั้นได้ยิน