“ไม่เลยยายหนู มีน้อยมากแต่หนึ่งในนั้นมีตระกูลฟ่าน ของเราที่ยังคงเก็บรักษาของโบราณที่ตกทอดกันมาแต่ครั้งอดีต ในบ้านนี้มีของล้ำค่านับหลายพันปีของตระกูลเก็บรักษาเอาไว้ ตั้งแต่ยุคก่อนแผ่นดินจิ๋นซีฮ่องเต้เสียอีก เพราะตระกูลฟ่านของเราในสมัยอดีตกาลเคยเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นฟ่านก่อนจะถูกแคว้นเว่ย ฉี และฉิน ตีเอาแคว้นและแบ่งดินแดนถือครอง”
“โอ้โห! นี่ตระกูลของคุณพ่อมีประวัติยาวนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ” คนงามกล่าวออกมาด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังได้ยิน ก่อนจะรีบเอ่ยถามกลับไปเมื่อนึกถึงโปรเจกต์งานของเธอ
“เอ่อคุณพ่อคะ แล้วศิลปะการสร้างสมัยนั้นเป็นแบบไหน อย่างเช่นหน้าตาพระราชวังของจิ๋นซีฮ่องเต้หรือพระราชวังโบราณในอดีต มีการเก็บรักษาหลงเหลือเอาไว้ไหมคะ” แม่สาวน้อยถามยาวรวดเดียวด้วยความอยากรู้ ก่อนจะได้ยินเสียงของคนเป็นพ่อตอบกลับมา
“ไม่มีหรอกยายหนู ถ้าศิลปะโบราณอื่นๆ ก็เข้าไปดูได้ตามมิวเซียม สำหรับซีอานก็ที่สุสานของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่ถ้าเป็นพระราชวังโบราณแล้วละก็ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย นอกจากพระราชวังต้องห้ามที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็เป็นศิลปะที่พบเห็นได้ในปัจจุบันนี้ แตกต่างจากศิลปะสมัยก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้และช่วงราชวงศ์ต้นๆ หลังจากราชวงศ์หมิงเป็นต้นมาศิลปะที่สะท้อนอารยธรรมจะไม่แตกต่างกันมากนัก”
ใบหน้าสวยพยักหน้าขึ้นลงพลางทำความเข้าใจตามคำอธิบายของท่านเจ้าสัวไปพร้อมๆ กัน
“แล้วยุคก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้หรือในสมัยของจิ๋นซีไม่มีพระราชวังที่ยิ่ง ใหญ่ทัดเทียมพระราชวังต้าหมิงกงของราชวงศ์ถัง และพระราชวังกู้กงหรือพระราชวังต้องห้ามของราชวงศ์ชิงเลยเหรอคะคุณพ่อ”
ริณรณีย์ตั้งคำถามที่อยากรู้ละเอียดยิบเลยทีเดียว เป็นเหตุให้ท่านเจ้าสัวมองหน้างดงามของบุตรสาวไปชั่วขณะด้วยความแปลกใจ
“ยายหนูเข้าใจผิดแล้ว พระราชวังต้องห้ามหรืออีกชื่อคือพระราชวังกู้กงสร้างขึ้นในสมัยช่วงกลางของราชวงศ์หมิงและถูกใช้เป็นพระราชวังหลวงสืบทอดต่อๆ กันมาจนถึงราชวงศ์ชิง ก่อนจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้พระราชวังกู้กงกลายเป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวังนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา” ท่านเจ้าสัวอธิบายให้ลูกสาวฟังอย่างละเอียด
“อ้าว! ริณนึกว่าพระราชวังกู้กงเป็นของราชวงศ์ชิง หมายความว่าเข้าใจผิดมาโดยตลอดเลยเหรอคะ” หญิงสาวพึมพำด้วยความรู้สึกเสียเส้นที่เข้าใจข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยน พร้อมเสียงของท่านเจ้าสัวกล่าวสำทับ
“ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่นะยายหนู เดี๋ยวจะคุยกับคนอื่นข้อมูลผิดเพี้ยน เพราะคนจีนล่วงรู้ประวัติพระราชวังกู้กงเป็นอย่างดีเลยทีเดียว เออแปลก ปกติไม่เคยสนใจประวัติศาสตร์อะไรเลย จู่ๆ ทำไมถึงเกิดสนใจขึ้นมาล่ะ” ท่านเจ้าสัวอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ
ใบหน้างามยิ้มแยกเขี้ยวจนเห็นฟันขาวเรียงตัวกันเป็นระเบียบเมื่อคุณพ่อของเธอถามกลับมาเช่นนั้น
“ก็งานที่ได้รับมอบหมายของหนู เป็นโปรเจกต์ให้ออกแบบสร้างพระราชวังโบราณเสียนหยางเป็นราชธานีในอดีตค่ะคุณพ่อ ก็เลยอยากรู้และความเป็นมาอย่างละเอียดกับผู้รู้เช่นท่านเจ้าสัวไงล่ะคะ” หญิงสาวพูดประจบ
“แหม... เข้าใจพูดนะเรา เอาเถอะพ่อจะอธิบายคร่าวๆ ให้ฟังแต่ถ้าอยากรู้รายละเอียดจริงๆ ต้องถามกับปู่ฟูหัวที่ดูแลเรือนโบราณทางตะวันออก รายนั้นล่วงรู้รายละเอียดทุกอย่างทั้งที่เป็นตำนานและเรื่องจริงมาจากบรรพบุรุษของตระกูลฟ่านเลยทีเดียว และมีจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมาตั้งแต่ตระกูลของเราซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นตั้งแต่ยุคชุนชิวจนถึงยุคจ้านกว๋อ ก่อนจะล่มสลายไปเมื่อถูกสามแคว้นใหญ่บุกยึดและแบ่งดินแดนแคว้นฟ่านไปถือครอง”
“โอ้โห คุณปู่ฟูหัวเป็นญาติของเราฝ่ายไหนเหรอคะคุณพ่อ ทำไมรู้รายละเอียดตั้งแต่บรรพบุรุษของตระกูลฟ่านเลยล่ะคะ” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ เพราะต้นตระกูลของปู่ฟูหัวเป็นขุนนางคอยถวายการรับใช้เจ้าผู้ครองแค้วนในยุคจ้านกว๋อและสืบทอดต่อๆ กันมาเรื่อยๆ ต้นตระกูลของคุณปู่เป็นขันทีคอยรับใช้ฉินอ๋องพระองค์หนึ่งในอดีตกาล มีประวัติและเรื่องเล่าสั่งลูกหลานรุ่นหลังๆ ให้ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะคำสั่งที่คอยรับใช้ตระกูลฟ่านตามคำสั่งเสียของฉินอ๋องในอดีต และนี่คือที่มาชื่อจีนของลูกยังไงล่ะชิงเชียง”
คำกล่าวของท่านเจ้าสัวทำให้นิ้วเรียวสวยของหญิงสาวชี้เข้าหาตัวเองทันใด
“ชื่อจีนของหนูอย่างนั้นเหรอคะ แล้วไปเกี่ยวกันตรงไหนหรือคะคุณพ่อ หนูไม่เข้าใจ” เธอถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนแปลกใจอย่างยิ่งยวด
“ที่พ่อได้ยินมาเห็นบอกว่า เป็นรับสั่งของฉินอ๋อง พระองค์ตรัสเอาไว้ว่าตระกูลฟ่านจะมีเพียงบุตรชายสืบสายโลหิตนับรุ่นต่อรุ่น หากรุ่นใดให้กำเนิดบุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จงให้นางใช้ชื่อว่าชิงเชียง พ่อก็รู้เพียงเท่านี้เพราะรายละเอียดต่อจากนั้นคุณปู่ฟูหัวก็ไม่ยอมเล่าอะไรอีกเลย แต่จะว่าไปมันก็น่าแปลกอยู่นะ” ท่านเจ้าสัวรำพึงออกมาเบาๆ
“มีอะไรแปลกอย่างนั้นเหรอคะคุณพ่อ” หญิงสาวถามกลับไปทันที
ท่านเจ้าสัวหันกลับไปมองหน้าภรรยาคู่ชีวิตพร้อมเอ่ยขึ้น
“แม่จำวันแรกที่ยายหนูเกิดได้หรือเปล่า”
คุณวิลาสินีได้ยินสามีเอ่ยถามเช่นนั้นก็ครุ่นคิดถึงวันแรกที่ลูกสาวเกิดขึ้นมาทันที
“จำได้ว่าวันแรกที่ยายหนูเกิด คุณปู่โทรทางไกลมาจากจีนว่าให้ยายหนูใช้ชื่อว่า ชิงเชียง เออใช่แล้วค่ะพ่อ คุณปู่รู้ได้ยังไงว่ายายหนูของเราเป็นผู้หญิง” คุณวิลาสินีย้อนถามกลับไป
ท่านเจ้าสัวพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน
“นั่นแหละที่บอกว่าแปลก คุณปู่รู้ได้ยังไงว่ายายหนูเป็นผู้หญิง และคุณปู่ยังบอกว่าขยายพันธุ์ดอกโบตั๋นที่เก็บไว้มานานแสนนานเป็นการต้อนรับที่ชิงเชียงเกิด ดอกโบตั๋นที่เรือนโบราณก็ปลูกขึ้นนับตั้งแต่ยายหนูเกิดตั้งแต่วันแรกเป็นต้นมานั่นแหละลูก”
ริณรณีย์นั่งฟังอย่างสงบ เธอได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ภายในใจก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แล้วพระราชวังโบราณล่ะคะ คุณปู่รู้รายละเอียดเรื่องเหล่านี้ด้วยไหม” คนงามถามออกไปทันทีด้วยความอยากรู้
“ก็น่าจะรู้นะไม่มากก็น้อย คงเป็นประโยชน์กับงานของลูกได้บ้าง เห็นว่ากันว่าในสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ ทรงดำริให้สร้างพระราชวังใหม่ขึ้น หลัง จากทรงยึดหกแคว้นใหญ่ได้เป็นผลสำเร็จ ผสมผสานศิลปะของทุกแคว้นเข้าไว้ด้วยกัน พระราชวังต้องห้ามที่ว่าใหญ่โตและกินพื้นที่มากเดินทั้งวันก็ไม่หมด ถ้าเอามาเทียบแล้วใหญ่มากกว่าถึงหกเท่าเลยทีเดียว
แต่เพราะความใหญ่โตและกินพื้นที่กว้างขวางมากนี่แหละจึงทำให้หลังจากหมดยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ไปแล้ว พระราชวังโบราณดังกล่าวจึงถูกเผาทำลายไม่เหลือเลย ใช้เวลาเผานานถึงสามเดือนเลยเชียวนะ”
“หา! สามเดือนเลยเหรอคะ” หญิงสาวอุทานออกมาทันทีด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ใช่แล้วใช้เวลาเผาสามเดือนเต็มๆ กว่าจะเผาพระราชวังหลวงที่ว่านั้นหมด เห็นบอกว่าพระราชวังนั้นพื้นที่ครึ่งหนึ่งก็มาจากพระราชวังที่มีอยู่เดิมสมัยที่ยังเป็นแคว้นฉิน ก่อนยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ บริเวณรัศมียี่สิบกิโลนี้รวมไปถึงบ้านตระกูลฟ่านเคยเป็นพื้นที่ของพระราชวังโบราณในยุคที่ยังเป็นเพียงแคว้นฉิน ก่อนจะกลายมาเป็นพระราชวังโบราณในตำนานที่จิ๋นซีฮ่องเต้มีดำริให้สร้างขึ้นด้วยนะ”
คำกล่าวของท่านเจ้าสัวทำให้ริณรณีย์นิ่งงันไปทันที ไม่คาดคิดว่าพื้นที่โดยรอบในรัศมีนี้เคยเป็นพระราชวังโบราณในอดีต
“บ้านของเราก็อยู่ในพื้นที่ของพระราชวังโบราณด้วยเหรอคะคุณพ่อ” หญิงสาวถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“อือฮึ! ถูกต้องแล้วยายหนู ทั้งหมดนี้แหละกินรัศมียี่สิบกิโลแต่ถ้าถามว่ามีวัตถุโบราณหลงเหลือหรือเปล่า เมื่อก่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่หลงเหลืออยู่เลย ที่เหลืออยู่ตระกูลฟ่านก็คอยเก็บรักษาเป็นสมบัติของตระกูลสืบทอดต่อๆ กันมา ในเรือนตะวันออกมีของเก่าแก่โบราณอายุหลายพันปีเก็บรักษาไว้ ถ้าอยากเห็นพรุ่งนี้เช้าก็เข้าไปดูสิลูก จะได้รู้ว่าในอดีตตระกูลฟ่านของเรายิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครเลยนะ” ท่านเจ้าสัวบอกลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะเอ่ยสำทับขึ้นเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“อ่อ! มีอีกอย่างที่หลงเหลือมาจากอดีต ก็คือพันธุ์ดอกโบตั๋นที่คุณปู่ฟูหัวปลูกนั่นแหละ เป็นกลิ่นหอมเดียวกันที่ลูกได้สัมผัส ว่ากันว่าพื้นที่ของบ้านเราเป็นสวนดอกไม้เก่ามีแต่ดอกโบตั๋นขึ้นอยู่เต็มไปหมด ต้นตระกูลในยุคราชวงศ์ถังเก็บรักษาพันธุ์เอาไว้และรู้สึกว่าจะมีของบางอย่างหลงเหลืออยู่ด้วยนะแต่เป็นอะไรพ่อก็ลืมแล้ว” ท่านเจ้าสัวกล่าวเพียงแค่นั้นร่างใหญ่ค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้รับแขกพร้อมกล่าวกับภรรยา
“เข้านอนกันเถอะแม่ พ่อง่วงแล้ว เหนื่อยกับงานมาทั้งวัน” ท่านเจ้าสัวตัดบทสนทนาให้หยุดลงเพียงเท่านั้น
“เอ้า! คุณพ่อขาหนูยังอยากฟังอยู่เลย รายละเอียดต่างๆ ช่วยงานที่ได้รับมอบหมายมาได้มากเลยนะคะ” หญิงสาวบ่นเป็นหมีกินผึ้งออกมาทันที
“พรุ่งนี้ลูกก็ไปเดินดูที่เรือนโบราณ มีอะไรก็ถามคุณปู่ฟูหัวก็ได้ยายหนู แกมีหน้าที่คอยดูแลเรือนโบราณของตระกูลฟ่านฝั่งตะวันออก สืบทอดรุ่นต่อรุ่น พ่อเองรู้ไม่มากเท่าปู่เลยนะ” ท่านเจ้าสัวกล่าวพร้อมเดินจูงมือภรรยาออกจากห้องลูกสาวสุดที่รักก่อนจะหันกลับไปบอกอีกครั้ง
“ลูกเองก็เพิ่งเดินทางมาถึง พักผ่อนได้แล้วนะยายหนู แล้วนี่ต้องเข้าไปพื้นที่เลยหรือเปล่า”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมาติดๆ กัน
“วันมะรืนค่ะ... พรุ่งนี้ก็ตั้งใจว่าจะลองเดินไปดูที่เรือนโบราณว่ามีอะไรน่าสนใจที่สามารถนำมาเป็นประโยชน์ในงานได้บ้าง”
ท่านเจ้าสัวพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เดี๋ยวพ่อจะโทรบอกให้คุณปู่เปิดบ้านฝั่งโน้นเอาไว้ให้... อ่อ แล้วใช้จีนกลางคุยกับคุณปู่นะ มาอยู่ที่จีนก็ต้องแนะนำตัวเองว่าเราชื่ออะไร พ่อกับแม่ก็จะเรียกลูกว่าชิงเชียงเหมือนกัน กว่างานของลูกจะเสร็จคงจะอยู่ที่นี่นานพอดูกระมัง” ท่านเจ้าสัวถามกลับไปด้วยความอยากรู้
“อืม... ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ถ้าออกแบบเสร็จก็คงบินกลับอังกฤษไปทำงานและเรียนต่อเลย” คนงามตอบบิดากลับไปพลางทำท่าเอียงคอครุ่นคิดตาม
“แต่ทำไมพ่อรู้สึกว่าลูกจะได้อยู่ที่นี่ตลอดไป” ท่านเจ้าสัวรำพึงออก มาเบาๆ
“ทำไมพ่อรู้สึกอย่างนั้นล่ะ” คุณวิลาสินีถามออกมาทันทีเมื่อได้ยินสามีกล่าวออกมา
“ไม่รู้เหมือนกันแม่ คงเพราะไม่อยากให้ลูกบินกลับไปถึงรู้สึกแบบนั้นกระมัง” ท่านเจ้าสัวบอกพร้อมหันกลับไปส่งยิ้มให้ริณรณีย์
“พ่อกับแม่ไม่กวนแล้ว พักผ่อนเถอะลูก พรุ่งนี้เจอกันที่โต๊ะอาหารเจ็ดโมงเช้านะ”
“รับทราบเจ้าค่ะท่านเจ้าสัวเจ้าขา... กูดไนต์เจ้าค่ะ” หญิงสาวทำเสียงล้อเลียน ทำให้ทั้งพ่อและแม่ต่างส่ายศีรษะไปมาด้วยความเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของตน
“แกร๊ก” ประตูปิดลงพร้อมกดล็อกเป็นที่เรียบร้อย ร่างงามยืนพิงประตูห้องพลางครุ่นคิดถึงพระราชวังโบราณในอดีต
“พระราชวังในยุคก่อนและในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ที่สร้างขึ้นก่อนถูกเผาทำลายจะมีหน้าตาเป็นยังไงนะ อยากรู้จังเลย แถมบ้านของเราก็อยู่ในพื้นที่ของพระราชวังโบราณในอดีตด้วย อยู่ส่วนไหนของวังหนอ แต่ถ้ามีสวนดอกไม้สงสัยจะเป็นส่วนบริเวณของอุทยานหลวงหรือเปล่าหว่า” คนงามรำพึงรำพันพลางครุ่นคิดตาม ร่างระหงค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปยังเตียงนอนพร้อมทรุดกายลงบนเตียงหนานุ่ม
“อยากรู้จังว่าเขาคนนั้นอยู่ส่วนไหนของพระราชวังในแคว้นฉิน เป็นอ๋องหรือเป็นองค์ชายกันนะ ตำหนักที่เห็นในฝันสงสัยจะต้องเป็นที่อยู่ของพระสนมแน่ๆ เลย อยากรู้จังว่าองค์ชายมีพระสนมคอยปรนนิบัติพัดวีกี่คนกันน้า ท่าทางคงจะมีเป็นร้อยเหมือนในหนัง” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ พลางหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่ แต่แล้วเธอต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงหนึ่งพลันดังก้องขึ้น
“เจ้าถามทำไม!” เสียงทุ้มที่คุ้นหูดังแทรกขึ้นมาทันทีพร้อมร่างใหญ่ปรากฏกายและกำลังยืนอยู่ข้างเตียงของเธออยู่ในขณะนี้
“หา!” ริณรณีย์ถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก
เมื่อเห็นร่างของผู้ชายตัวโตเท่าตึกในชุดจีนโบราณ ช่างงามสง่าทุกท่วงท่าที่มักเห็นในซีรีส์หนังจีนย้อนยุค กำลังทรุดกายลงนอนบนเตียงพลางคลี่ผ้าห่มคลุมร่างให้เธอ พร้อมพลิกตะแคงข้างหันกลับมาคุยกับเธอด้วย และนั่นทำให้คนงามได้เห็นรูปโฉมและหน้าตาของผู้ชายตรงหน้าเต็มสองตาเลยทีเดียว
“ข้าน่ะหรือจะมีหญิงอื่นใดได้เล่า นอกจากเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นชิงเชียง มิมีหญิงใดอยู่ในหัวใจของข้านอกจากเจ้าเพียงผู้เดียว มานี่สิ ให้ข้าได้กอดเจ้าสมกับความคิดถึงอยู่ทุกทิวาและราตรี มาหาข้า... ชิงเชียง” บุรุษปริศนาคนนั้นไม่พูดเปล่า เขาเอื้อมมือออกแรงเพียงน้อยนิดดึงร่างงามเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดโดยที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
“ว้ายยยย!!!” ริณรณีย์ร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเธอถูกดึงร่างจนตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงบนหน้าผากของเธอจนสามารถสัมผัสได้
“เฮือก!!!” ร่างระหงสะดุ้งจนสุดตัว จนหลุดจากภวังค์แห่งความฝัน หญิงสาวลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งบนเตียงโดยพลัน ดวงตามองไปทั่วบริเวณห้องนอน
“นี่เราฝันไปอย่างนั้นเหรอ... ทำไมเหมือนจริงนักล่ะ... เอื๊อก...” หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ พลางทบทวนความฝันเมื่อครู่ที่ผ่านมา ใบหน้าสวยเริ่มแดงก่ำจนผิวขาวนวลเนียนกลายเป็นสีชมพู
“นี่ฉันฝันเห็นหน้าตาของเขาคนนั้นแล้วหรือนี่... คนโบราณตั้งหลายพันปีขนาดนั้นทำไมถึงหล่อจัง... งานดีเป็นบ้าเลย อย่างกับพระเอกหนังหลุดออกมาจากซีรีส์จีนย้อนยุค” ริณรณีย์รำพึงรำพันก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความรู้สึกเขินอายอย่างยิ่งยวด ร่างงามเอาแต่บิดไปบิดมาอยู่บนที่นอนของเธอ
“จะเชื่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ว่าในหัวใจมีแต่เราเพียงคนเดียว ขึ้นชื่อว่าผู้ชายเชื่อยากไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็เถอะ” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะหยุดลงครั้นคิดขึ้นมาได้
“เออนี่เราเป็นอะไรไปนี่ กะอีแค่ความฝันยังเป็นเอามากขนาดนี้เลยเหรอ สงสัยท่าทางจะบ้าไปแล้วเรา... นอนต่อดีกว่า” หญิงสาวทำท่าจะล้มตัวลงนอนดั่งเดิม
“ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!” เสียงเคาะประตูดังขึ้นจนคนงามหันกลับมามองประตูห้องนอนของเธอ
“มีอะไรอย่างนั้นเหรอ... ถึงมาเคาะเรียกกันน่ะ” ริณรณีย์บ่นพึมพำพร้อมลุกจากเตียงเดินตรงไปเปิดประตูห้องนอน ก่อนจะเห็นแม่บ้านที่คอยดูแลยืนยิ้มหวานให้กับเธอ
“มีอะไรเหรอจ๊ะ” หญิงสาวถามออกไปเป็นภาษาจีน
“นายท่านและคุณนายใหญ่ให้อิฉันมาเชิญคุณชิงเชียงลงไปรับอาหารเช้าเจ้าค่ะ”
คำกล่าวของแม่บ้านตรงหน้าทำให้ร่างระหงยืนงงไปชั่วขณะจิตเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ฮะ! อาหารเช้าเหรอ! นี่กี่โมงแล้ว” คนงามถามออกไปด้วยความรู้สึกงุนงง
“เจ็ดโมงแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ็ดโมง!!!” ริณรณีย์อุทานเสียงดัง ก่อนจะยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นแม่บ้านตกใจกับท่าทีของเธอ
“ปะ... ไป... ไปบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าฉันขอเวลายี่สิบนาที” หญิงสาวตอบกลับไปก่อนจะปิดประตูด้วยความมึนงงกับเหตุการณ์และเวลาที่เกิดขึ้น
“นี่ฉันนอนตอนไหนก็ยังไม่รู้ ทำไมถึงจำอะไรไม่ได้เลย แถมยังฝันเป็นตุเป็นตะจนไม่รู้ว่าเวลาตื่นคือตอนไหนอีก ตกลงเมื่อคืนเรานอนหรือยังนะ... โอ๊ยยย!!! จะบ้าตาย... นี่มันเกิดอะไรบ้าๆ ขึ้นกับฉันกันเนี่ย สงสัยจะต้องพาสังขารตัวเองไปเช็กประสาทเสียแล้วกระมัง”
หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับทั้งสองข้างพลางส่ายศีรษะไปมาติดๆ กัน ร่างงามเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวด้วยความรวดเร็ว
[1] เป็นท่าอากาศยานที่ให้บริการในเมืองซีอาน มณฑลส่านซี สาธารณรัฐประชาชนจีน มีพื้นที่รวมประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือเป็นท่าอากาศยานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน[ต้องการอ้างอิง] และยังเป็นฐานการบินของสายการบินไชนานอร์ทเวสต์แอร์ไลน์ จนกระทั่งควบรวมกิจการกับสายการบินไชนาอีสเทิร์นแอร์ไลน์ ในปี 2002 ในปัจจุบัน ท่อากาศยานแห่งนี้สามารถเชื่อมต่อไปยัง 79 เมือง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในปี 2009 ท่าอากาศยานแห่งนี้ได้รองรับผู้โดยสารทั้งสิ้น 15,294,948 คน