ดารินจ้องสบตากับแม่
“เหมยรู้ใช่ไหมว่าพ่อพูดจริงทำจริง แม่ไม่อยากให้เกิดเรื่องแย่ ๆ ขึ้นมาอีก ถ้าเหมยรู้ความในใจของพ่อกับแม่ แม่อยากจะให้เหมยยอมทำตามที่พ่อเขาสั่งแต่โดยดีนะลูก เพื่ออะไร ๆ ที่เลวร้ายมันจะได้ดีขึ้น” แม่เผยความในใจออกมา นางไม่มีความสามารถที่จะไปโน้มน้าวจิตใจของสามีได้ สิ่งที่ทำได้ก็แค่ปลอบอกปลอบใจ และกล่อมให้ดารินยอมแต่งงานกับคุณสันต์แต่โดยดี
บุตรสาวยกมือขึ้นมาสวมกอดที่เอวของคุณแม่ เธอสะอื้นฮัก ๆ อยู่ในอก
“แม่จ๋า เหมยขอโทษที่ทำให้แม่ต้องทุกข์ใจ” เธอรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของแม่ จะมีอะไรที่เจ็บปวดเท่าการที่แม่สักคนหนึ่งช่วยเหลือลูกสาวที่เธอรักมากที่สุดไม่ได้ สองมือที่เหนื่อยล้ายกขึ้นมาประคองใบหน้าอันสวยงามของลูกสาวของนางเสมอ
“เหมยเชื่อแม่นะลูก แม่รู้ว่าพ่อเลือกคนไม่ผิดให้กับลูกหรอก เพียงแค่ลูกเปิดใจ คุณสันต์เขาเป็นคนที่ดีมาก ๆ เขารักลูกไม่เคยเปลี่ยนใจ วันหนึ่งเหมยจะเข้าใจความห่วงใยและหวังดีทั้งหมดที่พ่อแม่มีให้ ลูกจ๋า... ลูกเป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่ เราไม่อยากเห็นลูกลำบาก หยุดร้องไห้นะลูกนะ ไหนยิ้มให้กับแม่สิ”
นางทั้งปลุกทั้งปลอบ พูดกับดารินเหมือนกับเธออายุสิบเอ็ดสิบสองดารินฝืนยิ้มให้กับแม่ อย่างน้อยในฐานะลูกเธอควรทำวันนี้ให้ดีที่สุดใช่ไหม และในฐานะเมียและแม่ที่ต้องการปกป้องพวกเขา เธอต้องยอมแต่งงานกับคุณ
สันต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงได้เห็นรอยยิ้มของลูกสาว คุณแม่ก็ยิ้มขึ้นมาได้ ลูกสาวยกนิ้วขึ้นมากรีดเช็ดน้ำตาให้กับแม่ของเธอบ้าง คงถึงเวลาแล้วสินะที่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่คุณพ่อของเธอบัญชา เธอคงมีปัญญาทำได้เท่านี้จริง ๆ
งานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วน แล้วในวันรุ่งขึ้น ดารินต้องขึ้นเครื่องบินไปอยู่กับคุณสันต์ที่อเมริกาทันทีที่งานแต่งงานจบลง
ข่าวการแต่งงานของคุณสันต์ เดวิด วอเลซ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในอเมริกา ลูกครึ่งไทยที่ไปเติบโตที่นู่น จับธุรกิจตัวไหนก็เป็นอันประสบความสำเร็จไปเสียหมด เขาสละโสดกับเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเขา สาวสวยแห่งเมืองกำแพงเพชร ตอนนี้ต้องเรียก มาดามดาริน วอเลซ เสียแล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่ช่างโชคดีที่สุดในโลกจริง ๆ
ตามข่าวก็ลงรูปภาพงานแต่งที่หรูอลังการที่จัดในโรงแรมห้าดาวกลางกรุงเทพฯ ใบหน้าหนุ่มสาวที่ฉายชัดออกมามีแต่รอยยิ้มฉาบเต็มใบหน้า
ไผทเศร้าใจเป็นที่สุด ความรักของเขากับดารินที่ก่อร่างสร้างเอาไว้พังทลายลงไปในพริบตา เขาออกจากโรงพยาบาลมาได้หลายวันแล้ว วัน ๆ ไม่พูดไม่จากับใครสักคน นั่งกอดลูกสาวตัวเล็ก ๆ เด็กหญิงผิงผิงอยู่แบบนั้นเป็นที่น่าเวทนา
คุณสิงขรกับเด่นนภาไม่รู้จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้เหมือนกัน
“คงต้องให้เวลาไผ่นะคุณ” เด่นนภาพูดให้กำลังใจสามี เพราะท่าทางสิงขรก็เครียดไม่น้อยไมเกรนรับประทานเกือบทุกวัน
หลังจากวันนั้น ไผ่ก็เริ่มดื่มเหล้าแทนน้ำ หนักหนาหัวราน้ำหลังจากเลิกงานทุกวัน แล้วหลับฟุบไปกับขวดเหล้าอยู่ในกระท่อมน้อยคอยรักของเขา
เด็กหญิงผิงผิงจึงต้องมานอนกับพี่ข้าวผัดในทุก ๆ คืน
“พี่ข้าวผัดขา เมื่อไหร่คุณแม่จะกลับมาเสียทีคะ ผิงผิงคิดถึงคุณแม่” เด็กน้อยที่ไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องราวว่าเกิดอะไรกับพ่อและแม่ของเธอบ้าง
ข้าวผัดดึงหนูน้อยเข้ามาแนบอก นึกไปถึงใบหน้าของพ่อแม่ลูกที่เคยอยู่กันพร้อมหน้า เธอก็น้ำตาซึม ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวแบบนี้จะเกิดขึ้นจริง ๆ กับคนใกล้ตัว
“ผิงผิง คุณแม่ของหนูไปอยู่กับคุณตาคุณยายของผิงผิงนะ คุณตาคุณยายแก่มากแล้ว แม่เหมยจึงต้องกลับไปดูแลท่านค่ะ”
“แล้วคุณแม่ไม่คิดถึงผิงผิงกับพ่อไผ่หรือคะ” คำถามของเด็กหญิงทำให้ข้าวผัดที่ใจเข้มแข็งถึงกลับหลั่งน้ำตา
“แม่เหมยต้องคิดถึงผิงผิงกับคุณพ่อมาก ๆ สิคะ” เธอกลืนก้อนเล็กที่แล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอตอนนี้พูดอะไรไม่ออกแล้ว
เธอดึงเด็กน้อยเข้ามาแนบในอก ก้มลงไปจุ๊บลงที่กลางกระหม่อม ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้ แล้วตบตูดให้เธอเบา ๆ
“เอเอ้... นอนได้แล้วนะคนเก่ง...”
“พี่ข้าวผัด คุณพ่อทำไมต้องดื่มเหล้าทุกวันเลยละคะ เดี๋ยวคุณพ่อจะไม่สบายนะคะ แม่เหมยบอกว่าเหล้าเป็นสิ่งไม่ดี” เด็กหญิงยังพูดเจื้อยแจ้ว
“ผิงผิงคะ นอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้พี่ข้าวผัดต้องไปสอบนะ ถ้าผิงผิงพูดมากแบบนี้ เราสองคนก็ไม่ต้องนอนกันพอดีค่ะ” เธอบอกสาวน้อย
“พี่ข้าวผัดต้องบอกคุณพ่อนะคะว่าไม่ให้ดื่มเหล้า”
“จ้า ได้สิคะ เราสองคนต้องช่วยกันเตือนคุณพ่อนะ”
การรับปากของข้าวผัดทำให้เด็กหญิงยอมนอน เพียงครู่ด้วยความเหนื่อยล้าที่เล่นซนมาทั้งวันทำให้เด็กหญิงหลับไปโดยง่าย
ส่วนข้าวผัดนะเหรอ เธอลุกขึ้นมานั่งแล้วร้องไห้โฮ ๆ สงสารทั้งอาไผ่แล้วก็อาเหมย รวมถึงน้องผิงผิงที่ยังเล็กนัก คงไม่เข้าใจหรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเธอกันแน่
‘อาไผ่ขา ไม่รักตัวเอง ก็รักลูกบ้างนะคะ’ เธอเปรยคำนี้อยู่ในใจ
“เฮ้ย... สอบเสร็จแล้ว ไปเลี้ยงกันที่ไหนคืนนี้” เพื่อน ๆ เริ่มจับกลุ่มกัน
“ว่าไงไอ้ผัด” เพื่อนคนหนึ่งส่งเสียงถาม
“ไม่ได้หรอกว่ะ ไปไม่ได้หรอก ไม่มีใครดูผิงผิง” เธอบอกเพื่อน
“ก็เอาหลานของแกไปด้วยสิ ใกล้ ๆ เนี่ยพวกเราตกลงกันแล้วว่าจัดเลี้ยงที่บ้านไอ้โอม ห่างบ้านแกนิดเดียว แหม... จากปากทางไร่แกไม่ถึงสองร้อย เมตร”
“เฮ้อ... ขอคิดดูก่อน” ข้าวผัดทำครุ่นคิด
“อะไรกันวะ ต่อไปเราคงหาโอกาสเจอกันยากนะ ว่าไหมพวกเรา”
“มันก็จริงว่ะ”
“ไปก็ไป แต่ฉันคงจะอยู่ดึก ๆ ไม่ได้นะโว้ย เดี๋ยวผิงผิงงอแงง่วงนอนขึ้นมา” ข้าวผัดรับปาก
“ก็แล้วแต่แก... งั้นเจอกันนะบ้านไอ้โอม แต่ตอนนี้เอาเงินมาก่อน... สองร้อย”
“โอ้... ว่าแล้วเชียวทำไมคะยั้นคะยอกันจัง” ข้าวผัดโวยวาย แต่ก็ล้วงเงินในกระเป๋าส่งไปให้เพื่อน
“เอ่อน่ะ... รับประกันความสนุก ของกินเพียบ” แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน