ย้อนกลับไปที่เมื่อคืน หลังจากที่เขากลับเข้าห้องไปด้วยความฉุนเฉียว เขาก็เฝ้ารอให้เธอเข้ามาง้ออย่างใจจดใจจ่อ แต่จนแล้วจนรอดแม่คุณก็ไม่เข้ามา ความฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดที่รอเวลาปะทุก็สั่งให้เขาต้องเดินออกมาจากห้อง เพื่อจะพบกับ…ความว่างเปล่า จำได้ว่าตอนนั้นเขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง รู้หรอกว่าเธอต้องหลบอยู่ไม่ห้องใดก็ห้องหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงตั้งใจไปเคาะหาทีละห้อง แต่โชคยังเข้าข้างเมื่อจู่ๆ มีคนเดินออกมาจากห้องพอดี
“เอ้า! ดึกป่านนี้แล้วยังไม่บรรทมหรือกระหม่อม หรือว่าทรงหิว ให้กระหม่อมต้มบะหมี่ให้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟที่ถูกพี่ชายไล่ออกมานอนนอกห้องถาม แต่คนถูกถามกลับถามกลับไปอีกอย่าง
“พรสวรรค์อยู่ไหน”
“เอ่อ…อยู่ในห้องกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาโชนแสงจับจ้องมาที่ฮารีฟราวกับจะแผดเผาให้เป็นจุล จนคนถูกมองต้องรีบหลบตาเป็นพัลวัน
“กรรมอะไรของไอ้ฮารีฟวะเนี่ย ทางโน้นก็น้องกุกุ ส่วนทางนี้ก็…อูย! น่ากลัวพอกัน” ฮารีฟบ่นพึมพำก่อนรีบแก้ต่างให้ตัวเอง
“กระหม่อมมีความจำเป็นที่จะต้องยกห้องให้นาง ทั้งๆ ที่ไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะน้องกุกุ กระหม่อมคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเร่ร่อนไร้ที่ซุกหัวนอนแบบนี้” นี่ก็ดราม่าเรียกคะแนนสงสาร ทั้งที่ก็ยังมีโซฟาตัวเขื่องให้พักพิงได้อย่างสะดวกสบาย แต่ดราม่าที่ว่าก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาเลยสักนิด
“มันเป็นใคร” เสียงพูดของท่านชีคแทบเป็นเสียงตะคอก เพราะไอ้คำว่าน้องกุกุของอีกฝ่าย
“อะเอ่อ…กระหม่อมไม่กล้าพูดพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟอึกอัก เพราะไม่อยากพูดคำว่ากุมารทองออกมาให้ตัวเองต้องหวาดหวั่นจนนอนไม่หลับ แต่มันกลับทำให้คนฟังตีความไปอีกทาง
“บอกมาว่ามันเป็นใครแล้วมันอยู่ไหน หรือว่า…” ชีคหนุ่มมองไปยังห้องของฮารีฟด้วยดวงตาที่โชนไปด้วยไฟแห่งโทสะ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนั้นด้วยความเกรี้ยวกราด
“เดี๋ยวกระหม่อม อย่าเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟรีบรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยการกอดขาเขาไว้แน่น ด้วยไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของน้องกุกุให้ต้องออกมาเพ่นพ่านข้างนอก พาลจะทำให้คนไร้ที่ซุกหัวนอนอย่างเขาเดือดร้อนซะเปล่าๆ
“ปล่อย! ฉันจะไปลากคอมันออกมา” ชีคหนุ่มเกรี้ยวกราดขาดสติเพราะคิดว่าในห้องนั้นยังมีชายอีกคนอยู่ร่วมกันกับเธอ
“ไม่เอาไม่ลากออกมาพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟส่ายหน้าดิกแค่คิดว่าอีกฝ่ายจะพาน้องกุกุออกมา
“แกรู้เห็นเป็นใจให้มันเข้ามา หรือว่าแกเป็นพวกมัน” ฮารีฟยังคงส่ายหน้านัยน์ตาเหลือกลาน
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่เป็นพวกเดียวกับเขา เพราะเราไม่มีทางไปด้วยกันได้” ฮารีฟส่ายแทบร้องไห้กับข้อหาที่นายเหนือหัวพยายามยัดเยียดให้
“ไอ้ฮารีฟ” ชีคหนุ่มตะคอกเสียงดังอย่างคนหมดความอดทน
“เอาไงดีวะ ทางนั้นก็น้องกุกุ ทางนี้ท่านชีคก็ดุ๊ดุ คงต้องเลือกข้างสินะ ข้างนี้ก็น่ากลัว ข้างโน้นก็ไม่น่าไว้ใจ ใครไม่เป็นไอ้ฮารีฟ ไม่มีวันเข้าใจหรอก” ฮารีฟบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างแสนลำบากใจ
“ไม่คิดว่าองครักษ์ที่จงรักภักดีมาตลอด แท้จริงแล้วจะเห็นคนอื่นดีกว่าคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา แกทำฉันผิดหวังมากฮารีฟ”
“ดราม่าไปอี๊ก” ฮารีฟถึงกับกุมขมับ
“บอกมาว่ามันเป็นใคร แล้วมันเข้ามาได้ยังไง” ชีคหนุ่มยังคงคาดคั้นกดดัน
“เป็นใครไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ไม่ได้เข้ามาทางประตูแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟพูดไปก็ลูบแขนตัวเองไป ด้วยรู้สึกว่าตอนนี้ขนแขนพากันลุกชูชันไปหมด
“อย่าบอกนะว่าแกให้มันลักลอบเข้ามาทางระเบียง” ชีคหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาล แต่ครั้นพอหันไปมองที่ระเบียงก็ยิ่งเดือดดาลเข้าไปอีก
“ไอ้ฮารีฟ แกกำลังเล่นตลกอะไร” ชีคหนุ่มแทบกระโจนเข้าไปกระชากคอกอีกฝ่าย เมื่อห้องที่พวกเขาอยู่คือชั้นบนสุด แน่นอนว่าตึกสูงลิบขนาดนี้คงไม่มีใครบ้าปีนขึ้นมาได้ นอกจาก…สไปเดอร์แมน
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ มันไม่ตลกเลยสักนิด กระหม่อมคิดว่าทางที่ดีเราอย่าเอะอะเสียงดังอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ มันจะเป็นการรบกวนการพักผ่อนน้องเขาเปล่าๆ หากพักผ่อนไม่เพียงพอ น้องเขาจะพาลหงุดหงิด แล้วกระหม่อมจะเดือดร้อน” คนกลัวผีขึ้นสมองพยายามเกลี้ยกล่อม
“แกเห็นไอ้นั่นดีกว่าฉัน เลือกมาเลยดีกว่าว่าแกจะเลือกใคร ระหว่างฉันกับไอ้นั่น แต่ถ้าแกเลือกมัน แกกับฉันขาดกัน” ชีคหนุ่มยื่นคำขาด
“แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เลือกให้เธอไม่ไปได้รึเปล่า สิ่งที่เธอถามมา จะตอบอย่างไรได้ล่ะเธอ ก็ไม่มีทางให้เลือกเลย” ฮารีฟสุดลำบากใจ สุดท้ายเลยตอบกลับมาเป็นเพลง แต่กลับถูกแปรเจตนาเป็นการกวนบาทา
“ไอ้ฮารีฟ” ชีตหนุ่มกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายอย่างหมดความอดทน
“โอเคๆ กระหม่อมเลือกพระองค์” ฮารีฟตอบรัวเร็ว เมื่อตอนนี้คนที่น่ากลัวกว่าเห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่กำลังกระชากคอเสื้อเขาอยู่ตอนนี้
“งั้นก็รีบเปิดประตู” คำประกาศิตจากท่านชีคทำเอาฮารีฟแทบร้องไห้ แต่ก็ยอมทำตามด้วยความจำใจ พลันก็ต้องยิ้มออกมา เมื่อไม่สามารถเปิดประตูที่ว่านั่นได้
“อุ๊ย! ล็อค กระหม่อมว่าเราแยกย้ายกันไปนอนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” คนไม่อยากเปิดได้ทีหันหลังกลับ แต่ติดที่มีคนยืนขวางอยู่ มิหนำซ้ำยังทำหน้าถมึงทึงอีก แน่นอนว่าชีคหนุ่มรู้ดีว่าประตูบานแค่นี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถของคนมีฝีมืออย่างฮารีฟ แต่ที่อีกฝ่ายพยายามอิดออดมันคงมีเหตุผล
“แกกลัวอะไร หมอนั่นวิเศษวิโสมาจากไหน ทำไมแกถึงได้กลัวมันนัก” แค่พูดถึงอีกคนที่ไม่รู้ว่าใคร ชีคหนุ่ม
ก็ให้หงุดหงิดงุ่นง่านเป็นเท่าตัว
“ถ้าถามว่าวิเศษไหม อันนี้ไม่แน่ใจเพราะยังไม่เคยลองสักที แต่ถ้าถามว่ากลัวไหม ตอบเลยว่า…มาก” มากจนคนที่พยายามงัดแงะประตูมือสั่นไปหมด
“ไอ้ขี้ขลาด ไม่นึกว่าทหารเอกที่ผ่านการรบมาแล้วทุกรูปแบบอย่างแกจะกลัวไอ้กระจอกนั่นจนไม่เหลือศักดิ์ศรี เสียทีที่ฉันเคยชื่นชมความกล้าหาญของแก” ยิ่งพูดชีคหนุ่มก็ยิ่งโมโห
“ก็ถ้ามันเป็นคน กระหม่อมก็สู้ไม่ถอยหรอก แต่นี่มันเป็นผี ต่อให้รักศักดิ์ศรีแค่ไหนก็ไม่กล้า” แค่พูดถึงผีมือไม้นี่สั่นไปหมด
“พูดบ้าอะไร แกจะบอกว่าไอ้ที่แกกลัวนักหนาไม่ใช่คน แต่เป็นผี?” ฮารีฟพยักหน้ารับทันที พร้อมตอบกลับมาว่า
“แล้วก็อยู่ในนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” คนกลัวบุ้ยหน้าไปทางประตูที่ตอนนี้เปิดได้สำเร็จแล้ว
“แล้วที่แกพูดถึงมาตั้งแต่ต้นก็ไม่ใช่คน แต่เป็นผี” ชีคหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าไอ้สิ่งที่ทำเอาเขาแทบเป็นบ้าเป็นหลังไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่เขาเข้าใจ นอกจากจะไม่ใช่ผู้ชายแล้ว ยังไม่ใช่คนด้วย
“อย่าเอ็ดไปพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวเขาตื่น” ฮารีฟทำท่าจุ๊ปากไม่ให้อีกฝ่ายเสียงดัง
“ผีบ้านแกนอนกลางคืนรึไง” ฮารีฟถึงกับทำตาโตหลังได้อีกฝ่ายเตือนสติ