“อื้อ! ก็นั่นแหละ ในเมื่อมันไม่ใช่ทั้งสองเหตุผลนั่น งั้นคุณก็ช่วยทำให้ฉันตาสว่างขึ้นทีเถอะ ฉันมืดแปดด้านไปหมดแล้วเนี่ย อย่างน้อยถ้าฉันรู้ว่าคุณจับฉันมาทำไม ฉันจะได้หาทางช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง คิดดูนะ ขนาดจำเลยกับผู้ต้องหา ยังมีโอกาสหาทนายมาแก้ต่างความผิดให้ตัวเองได้ แล้วนี่ฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองทำผิดอะไร คุณจะไม่ให้โอกาสฉันได้รู้บ้างเลยเหรอว่าฉันทำอะไรผิดมา” เธอพยายามขอความเห็นใจ ครั้นพออีกฝ่ายอ้าปากจะพูด เธอก็ดันพูดขึ้นมาอีก
“หรือว่าเป็นเพราะฉันขับรถชนประตูรถคุณ” เหมือนเธอจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่ากรณีนี้น่าจะเป็นไปได้มากที่ที่สุด
“อะ...” เป็นอีกครั้งที่เขาพยายามที่จะพูด แต่ก็ถูกแม่คุณพูดแทรกขึ้นมาอีก
“กะอีแค่ประตูรถบานเดียว คุณถึงกับต้องจับฉันมาเนี่ยนะ คุณยังมีมนุษยธรรมอยู่บ้างไหม มีคุณธรรมอยู่บ้างรึเปล่า ทำไมไม่เข้าใจว่านั่นมันอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น จิตใจคุณทำด้วยอะไรทั้งๆ ที่ฉันเป็นฝ่ายเจ็บตัว แต่คุณกลับจะเอาผิดฉันให้ได้ หรือคิดว่าฉันไม่มีทางสู้ก็เลยจะรังแกยังไงก็ได้”
“ฉัน...”
“ฉันไม่นึกเลยว่าคนหน้าตาดีอย่างคุณจะเป็นคนแบบนี้ไปได้”
“เออ...แล้วแต่เลย อยากคิดอยากพูดอะไรตามใจเลย พูดอยู่ได้ พูดไม่พัก พูดอยู่คนเดียวไม่ให้คนอื่นได้พูดเลย บ้าฉิบ! แล้วทำไมฉันต้องมาโมโหอะไรแบบนี้ด้วยวะเนี่ย” ชีคหนุ่มผู้ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดไปหมด ในขณะที่พรสวรรค์นั้นก็หน้าเหวอไปพักใหญ่
“เอ่อ...ฉันขอโทษ” เธอบอกด้วยใบหน้าแหยๆ แต่ในใจกลับค้านขึ้นมาอีก
‘เฮ้ย! แล้วทำไมต้องขอโทษ ในเมื่อเธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เขาต่างหากที่ผิด ผิดที่จับตัวเธอมานะพรสวรรค์’ พลันอีกด้านหนึ่งของใจก็ค้านขึ้นมาอีก
‘แต่เราก็ผิดนะ ผิดที่แย่งเขาพูดไง ดูหน้าเขาสิงอนเป็นผู้หญิงแล้วเนี่ย’
“ฉันไม่ได้งอน” เขาค้านขึ้นเสียงดังอย่างลืมตัว ให้ตายสิ! เขาได้ยินความคิดของเธอจริงๆ มันจะเป็นไปได้ยังไง แต่มันก็เป็นไปแล้ว มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก
ใช่! เขาต้องการเวลาปรับตัว เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา เฮ้ย! แต่จะให้เอาเวลามาจากไหน ก็แม่คุณเล่นคิดเยอะคิดแยะคิดแล้วคิดอีก คิดไม่พักเลย หรือจะต้องซื้อคิทแคทให้กิน คิดจะพักคิดถึงคิทแคท (มุกอะไรวะเนี่ย) แล้วที่สำคัญไม่รู้ว่าโชคดีหรือว่าโชคร้ายที่เขาดันเข้าใจภาษาไทยในความคิดของเธอซะแจ่มแจ้งด้วย เฮ้อ! ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เสด็จพ่อของเขาดันมีลูกชายกับสนมที่เป็นคนไทย แล้วเขาก็ดันสนิทกับน้องชายคนนั้นก็เลยได้ภาษามาเป็นของแถมด้วย
“เอ่อ...ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” เธอทำหน้างง ในขณะที่เขาถึงกับสะดุ้ง หลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดขอตัวเองอยู่นานสองนาน
“ฉันก็บอกเอาไว้เฉยๆ กลัวเธอคิดเข้าข้างตัวเองว่าฉันงอนเธอ”
‘โห! แม่นเวอร์ ราวกับเข้ามานั่งอยู่ในใจอย่างนั้นแหละ นี่ถ้ามีแป้งอยู่ใกล้ๆ จะเอามาโรยตัวขูดหวยขอเลขท้ายสองตัวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ชิ!’ เธอแอบประชดประชันเขาในใจ ในขณะที่เขาเองก็แอบตอบโต้ในใจโดยไม่ให้เธอรู้เช่นกัน
‘ยัยผู้หญิงตัวร้าย เธอมันก็ร้ายเหมือนกันนั่นแหละ ภายนอกทำเป็นยิ้มแย้ม แต่ในใจกลับแอบนินทาฉัน นึกว่าฉันไม่รู้รึไง ยัยงูพิษ’ เอ่อ...จะว่าทั้งคู่ก็งูพิษไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะกำลังทำหน้าตรงข้ามกับความคิดทั้งคู่
“นี่ถามจริงเหอะ กะอีแค่ประตูรถบานเดียว ถึงกับต้องจับฉันมาเลยรึไง ฉันกับประตูรถมันเทียบมูลค่ากันไม่ได้เลยนะ” เธอย้อนกลับเข้าเรื่องที่ยังไม่ได้ความกระจ่าง
“ใช่! เพราะประตูรถฉันแพงกว่า”
“ใช่ไหม! คุณเองก็เห็นด้วยว่าประตูรถคุณ...เย้ย! จะบ้าเหรอ คนกับรถมันเทียบกันได้ที่ไหนเล่า ตกลงคุณเข้าใจที่ฉันพูดจริงไหมเนี่ย” เห็นเธอทำท่าหงุดหงิดงุ่นง่าน ในขณะที่เขาก็เผลอยิ้มออกมา
“จะบอกอะไรให้นะพรสวรรค์”
“เฮ้ย! นี่คุณรู้จักชื่อฉันได้ไงเนี่ย” เธอขัดขึ้นก่อนที่เขาจะพูดจบ
“ฉันนางฟ้าพรสวรรค์ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” เขาพูดล้อเลียนท่าทางกับน้ำเสียงก่อนหน้าของเธอ ทำเอาคนถูกล้อกัดฟันกรอด ทั้งอายทั้งโกรธปนเปกันไปหมด
“ก็ตอนที่เธอคิดว่าตัวเองตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ไงเล่ายัยเบื๊อก แล้วถ้าขืนเธอยังขัดไม่รอให้ฉันพูดจบอีกล่ะก็ สาบานว่าฉันจะจับเธอโยนลงทางหน้าต่างเดี๋ยวนี้เลย” คนถูกขัดหลายครั้งหลายคราให้หงุดหงิดขึ้นมาอีก หลังถูกเธอแย่งพูดเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“ส่วนเรื่องที่เธอกล่าวหาฉัน ขอให้เธอคิดซะใหม่ ฉันไม่ได้จับตัวเธอมา แล้วฉันก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องจับเธอมาด้วย แต่ที่ต้องพาเธอกลับมานี่ เพราะฉันยังมีน้ำใจเลยไม่อยากเห็นเธอนอนน่าสมเพชอยู่ข้างถนน ทีนี้รู้รึยังว่าฉันเป็นคนมีมนุษยธรรม” เขาพูดรัวเป็นชุดราวกับกลัวเธอจะแย่งพูดอีก ทำเอาเธอนั้นถึงกับหน้าเหลอจับใจความแทบไม่ทัน
“มาเป็นชุดเลยวุ้ย เอ่อ...ก็ถ้าคุณไม่ได้จับฉันมาจริงๆ งั้นฉันก็กลับบ้านได้แล้วใช่ไหม” เธอบ่นงึมงำเบาๆ ก่อนจะหันมาถามเป็นการเป็นงาน
“ยัง”
“เอ้า! ทำไมอีกล่ะ ก็ไหนคุณว่า...” เธอตั้งท่าจะโวยวาย แต่แล้วคำพูดทั้งหมดก็ถูกกลืนลงคอ เพียงเพราะเขาลุกขึ้นยืน
“เฮือก!” เธอชะงักค้างตาโต ลมหายใจแทบสะดุดหยุดกึกกับภาพที่อยู่ตรงหน้า พลันของเหลวอุ่นๆ ก็ไหลออกมาทางจมูก
“เฮ้ย! เป็นอะไรอีกเนี่ย” เขากระโจนถึงตัวเธอในครั้งเดียว พลันรีบคว้าผ้าห่มข้างๆ มาซับเลือดที่จมูกให้อย่างไว
‘ฮือ! เต็มตาเลย วันนี้สองรอบแล้วด้วย ฉันจะเป็นตากุ้งยิงไหม ฮือ! แว่นก็ไม่มี แล้วแบบนี้ฉันไม่ต้องมองผู้ชายคนนี้เดินแก้ผ้าทั้งวันเลยรึไง เฮือก! เลือดหมดตัวก็คราวนี้แหละพรสวรรค์เอ๊ย’ สิ่งที่เขาได้ยินจากความคิดเธอ ทำเอามือที่กำลังซับเลือดให้เธอนั้นเป็นอันต้องชะงัก พยายามประมวลผลจากสิ่งที่ได้ยิน จนถึงกับต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความสงสัย
“เธอ...เป็นอะไรรึเปล่า” เขาตัดสินใจถามออกไปอีกครั้ง แต่เสียงของเขากลับทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์สะดุ้งเฮือก ขยับถอยห่างตัวแทบลอย ราวกับว่าเขาเป็นตัวประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวจนไม่อยากอยู่ใกล้
“นี่เธอ” ชีคหนุ่มกัดฟันกรอด ด้วยไม่เคยมีใครทำท่าทางแบบนี้กับเขาเลยสักที ทำท่ารังเกียจกันไม่พอ ยังมีหน้ามาหันหลังใส่กันแบบนี้อีก
“นี่! กล้าดียังไงถึงหันหลังให้ฉัน หันกลับมาเดี๋ยวนี้”
“ตอนนี้ฉันยังทำใจมองหน้าคุณไม่ได้ ขอเวลาฉันทำใจก่อนได้ไหม”
“เธอนี่มัน กล้าดียังไงห๊ะ!” ชีคหนุ่มเสียงกร้าวหงุดหงิดงุ่นง่าน กับท่าทางรังเกียจเขาจนออกนอกหน้าของคุณเธอ