น้ำข้าว
“คุณน้ำข้าวใช่ไหมคะ” พนักงานผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาถามฉันขึ้น
“ใช่ค่ะ”
“เชิญด้านในเลยค่ะ” เธอผายมือไปยังห้องๆหนึ่งให้ฉัน
“ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบรับก่อนจะลุกเดินไปยังห้องตรงหน้าด้วยความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นมากระทันหัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญ” เสียงเข้มของผู้ชายดังออกมาทำให้ฉันอดจะใจเต้นแรงกว่าเดิมไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องสูดหายใจเรียกความมั่นใจก่อนจะเข้าไปในห้องนั้น
“สวัสดีค่ะ ดิฉันน้ำข้าว พรมณ์ภักษ์ค่ะ” ฉันยกมือไหว้ผู้ชายตรงหน้าที่เคยเจอมาครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ได้เจอเป็นครั้งที่สอง
“นั่งสิครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ” แล้วฉันก็นั่งลงตามที่เขาบอกตรงข้ามเขา แต่ก็รู้สึกเกร็งและกดดันขึ้นมาเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาของเขาที่มองฉันทุกการเคลื่อนไหว
“ผมดีใจนะที่ได้เจอคุณอีกครั้ง” คุณคเชนทร์พูดขึ้น
“.....” ฉันทำได้เพียงยิ้มบางๆตอบกลับไปเท่านั้น เพราะว่าฉันไม่ได้รู้สึกดีใจหรือเสียใจกับการเจอเขา
“ว่าแต่ ทำไมคุณถึงมาสมัครงานที่นี่ล่ะ” แล้วเขาก็ถามขึ้นทันที ใช่ตอนนี้ฉันกำลังสัมภาษณ์งานที่ฉันได้ทิ้งประวัติไว้นั่นเอง ซึ่งมันคือโชว์รูมรถของคุณคเชนทร์ ผู้ชายที่ฉันเคยเดินชนที่ห้างเมื่อหลายวันก่อน
“ฉันอยากทำอะไรที่แปลกใหม่ค่ะ” จะตอบว่าเห็นมันว่างก็เลยสมัครก็อาจจะน่าเกลียดไป
“แล้วบริษัทพ่อกับสามีคุณล่ะครับ” จริงๆบริษัทพ่อฉันไม่ก็ไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ติดอันดับอะไร เรียกว่าเป็นบริษัทระดับกลางๆ แต่ที่คนตรงหน้ารวมถึงคนอื่นๆที่รู้เรื่องนี้อาจจะเพราะงานแต่งของฉันกับคุณสิงหาที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ฉันเป็นที่รู้จักในสังคมอย่างทุกวันนี้
“ฉันแค่อยากลองหางานทำเองค่ะ ไม่อยากเข้าไปทำงานที่นั่นเพราะว่านั่นเป็นบริษัทพ่อหรือสามีค่ะ แล้วก็ไม่มีตำแหน่งว่างด้วย ฉันเลยไม่อยากเข้าไปแทรก” บริษัทพ่อที่ตอนนี้หุ้นทั้งหมดของพ่ออยู่ในมือของสามีของฉันก่อนแต่งงานนั่นเอง
“อย่างนั้นหรอครับ”
“.....” ฉันมองหน้าคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะสายตาเขาเหมือนมีอะไรบางอย่างเวลามองฉันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน แต่ฉันกลับไม่รู้ว่ามันคืออะไรแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่ามันเป็นสายตาของมิตรหรือศัตรู
“คุณมีความรู้เรื่องรถบ้างไหม”
“พอมีบ้างค่ะ แต่ตอนนี้ฉันก็ศึกษาเพิ่มอยู่” ฉันตอบกลับออกไปทั้งที่จริงๆฉันไม่ได้มีความรู้เรื่องรถเลยสักนิด แต่ฉันก็อยากลองทำดูเหมือนกัน
“งั้นหรอ...”
“แต่ตอนนี้ทางโชว์รูมผมมีพนักงานขายครบแล้ว ถ้าจะขาดก็แค่เลขาของผม คุณคิดว่าตัวเองทำได้ไหม” แล้วเขาก็พูดขึ้น แต่เต็มแล้วแล้วทำไมฉันยังเห็นอยู่ในประกาศอยู่เลยล่ะ
“ได้ค่ะ” ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำได้ไหมเพราะจริงๆฉันเรียนจบการตลาดมา แต่ถ้าจะให้ฉันตอบว่าไม่ได้มันก็เป็นการลดคุณค่าของตัวเองไปหน่อยทั้งที่ยังไม่ได้ลอง และฉันก็คงไม่ได้งาน
“ถ้าคุณมั่นใจแบบนี้ก็ดี งั้นผมจะทดลองงานคุณก่อนสามเดือน ถ้าผ่านก็ถือว่าเป็นพนักงานของที่นี่”
“หมายความว่าคุณรับฉันเข้าทำงานแล้วหรอคะ” ฉันถามออกไปอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะเขาแทบไม่ได้ถามอะไรฉันมากเลย ที่ถามๆตอบๆมามันง่ายมาก ไม่มีอะไรเกี่ยวกับรถเลยสักคำถาม
“คุณอยากร่วมงานกับผมไหมล่ะครับ”
“อยากค่ะ” ก็ดีกว่าไม่ได้งานไหมล่ะ แล้วยิ่งเป็นโชว์รูมรถนำเข้าแบบนี้สวัสดิการดีไม่ต่างจากบริษัทใหญ่ๆเลย
“ถ้าอยากก็เตรียมมาเริ่มงานได้เลยครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไหว้เขาด้วยความดีใจที่ไม่ได้แสดงออกมามากเท่าไหร่หลังจากรู้ว่าตัวเองได้งานทำแล้วจริงๆ
“แล้วเจอกันนะครับ”