ตอนที่ 11 อัดอั้นตันใจ

1743 Words
“ท่านพ่อต้องปลอดภัยแล้วอย่างแน่นอนเจ้าค่ะท่านแม่” เย่ชิงอี้บีบมืออนุรองหลี่ซื่อผู้เป็นมารดาเอาไว้แน่น ริมฝีปากบางของนางยังคงสั่นไหวไม่หยุด การเดินทางอย่างรีบเร่งในยามค่ำคืนไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีนัก แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเรือนพักบริเวณนี้มีเพียงเรือนสกุลเย่ รถม้าที่เห็นย่อมมาที่เรือนสกุลเย่อย่างไม่ต้องสงสัย “นั่น..ไม่ใช่รถม้าที่มาส่งพวกเรานี่เจ้าคะ?” เย่ชิงอี้ขยี้ตาซ้ำอีกครั้ง พยายามเพ่งสายตาจับจ้องไปที่ตัวรถม้า แต่มองอย่างไรนางก็พบว่าไม่ใช่รถม้าคันเดิมอย่างแน่นอน!! “ข้าก็ไม่เคยเห็นรถม้าแปลกตาเช่นนี้มาก่อนเลย เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางผ่านที่จะมีผู้ใดหลงทางมาได้!! พวกเจ้าถอยกลับเข้ามาข้างใน!” เฉากงรีบส่งเสียงเตือน ที่นี่มีเพียงสตรีและเด็ก ๆ เขาเองก็เป็นเพียงชายชราไม่อาจปกป้องผู้ใดได้ หากเกิดเรื่องร้ายในยามที่เย่เฟิงกับเย่เซิ่งเจียไม่อยู่ คนงานเฝ้าเรือนอย่างตนคงรับความผิดเอาไว้ไม่ไหว!! รถม้าหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูชั้นนอกที่ถูกเฉากงใส่สลักปิดเอาไว้แล้ว แม้จะปิดประตูเก่าผุพังลงสลักเอาไว้อย่างดี แต่กำแพงดินสูงเพียงอกก็ทำให้คนสกุลเย่ด้านใน มองข้ามกำแพงออกมาด้านนอกได้สบายๆ คนขับรถม้าคว้าเอาตะเกียงข้างตัวรถมาถือไว้ ก่อนจะกระโดดลงมาวางเก้าอี้เตี้ยลงบนพื้น เพื่อให้คนด้านในก้าวลงมาได้โดยสะดวก ร่างเล็กของสตรีอายุราว 20 ปี สองคนทยอยก้าวลงมาจากรถม้าพร้อมกับส่งเสียงทักทายด้วยความสุภาพ “คำนับทุกท่านเจ้าค่ะ พวกเราสองคนติดตามคุณหนูสามกู้ลี่ถิงมาพึ่งบารมีสกุลเย่ ยามนี้นางกำลังป่วยหนักไม่อาจลุกมาน้อมคารวะพวกท่านได้ ได้โปรดเปิดประตูให้รถม้าของเราเข้าไปก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ" “กู้ลี่ถิงหรือ?!! นางมาทำอะไรที่นี่!!" ฮูหยินใหญ่หย่งเหลียนเลิกคิ้วขึ้นสูงสีหน้าแปลกประหลาดใจ นางส่งสายตาค้นหาคำตอบจากอนุภรรยาของสามีทั้งสองคน ซึ่งแน่นอนว่าทั้งคู่ก็ไม่สามารถให้คำตอบนางได้เช่นกัน “คุณหนูของพวกเราติดตามท่านเขยมาในฐานะสะใภ้สกุลเย่เจ้าค่ะ ฮูหยินได้โปรดเปิดประตูให้เราเข้าไปก่อน คุณหนูไม่สบายจริงๆ ให้นางได้พักสักคืน หลังจากนี้นางจะตอบคำถามพวกท่านทุกคำถามเลยเจ้าค่ะ” “ลูกไม้เดิมสินะ!! ดูเหมือนว่าคุณหนูของพวกเจ้าจะป่วยไข้บ่อยเสียเหลือเกิน หรือตั้งแต่ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวออกจากสกุลกู้เมื่อสามเดือนก่อน จนถึงวันนี้นางก็ไม่เคยฟื้นขึ้นมาเลยกันแน่” อนุสามเจินซื่อเอ่ยคำประชดประชันพร้อมกับเบือนหน้าหนี จะว่าไปนางก็ใจหายไม่น้อยกับการปรากฏตัวของกู้ลี่ถิง ดูแล้วการเดินทางของหญิงแซ่กู้ผู้นี้น่าจะมากันเพียงลำพังสตรีสามคนกับคนบังคับม้าเท่านั้น จากเมืองหลวงถึงอำเภอหงซานไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ คุณหนูร่างบอบบางท่าทางขี้อายอย่างกู้ลี่ถิงอดทนเดินทางมาได้อย่างไรกัน!! “ติดตามเซิ่งเจียของพวกเรามาในฐานะสะใภ้สกุลเย่หรือ? น่าขันเกินไปหน่อยกระมัง!! ยามที่นายท่านถูกคุมตัวไปสอบสวนเหตุใดเจ้าไม่รู้ตัวว่าคนที่กำลังถูกโบยอยู่ในวังเป็นบิดาสามีเจ้า!! องค์ชายรองและพระชายาพี่สาวเจ้าเข้านอกออกในวังหลวงได้สะดวก แต่เจ้ากลับไม่คิดอ้อนวอนขอความเมตตาให้พวกเขาออกหน้าแทนพ่อสามีบ้างเล่า!” หลี่ซื่ออนุรองตะโกนโต้ตอบกลับมาเสียงดัง ตั้งใจจะให้คนที่อยู่ด้านในรถม้าได้ยินชัดๆ “คงจะไม่อ้างว่าเจ้าสลบไปทั้งวันทั้งคืนกระมังกู้ลี่ถิง! หรืออย่างน้อยวันถัดมาเมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว เหตุใดจึงไม่มาดูดำดูดีพวกเรา ยามที่เราถูกผลักไสออกจากจวนยามนั้นเจ้าคิดว่าตนเป็นคนสกุลเย่หรือคนสกุลกู้ สามวันที่พวกเราต้องอยู่ในจวนอย่างอกสั่นขวัญแขวน ยามนั้นเจ้าอยู่ที่ใด?” ครั้งนี้เป็นฮูหยินใหญ่หย่งซื่อเข้าร่วมผสมโรงไปอีกคน สตรีทั้งสามทั้งเครียดทั้งกดดันสั่งสมมานานนม กู้ลี่ถิงมาได้จังหวะให้พวกนางได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาเข้าพอดี คำตัดพ้อต่อว่าต่าง ๆ นานาจึงพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำ กู้ลี่ถิงนอนฟังคำพูดจากสตรีสกุลเย่ทุกประโยคอย่างพิจารณา การบ่นว่าของทุกคนคล้ายว่ามีความเคลือบแคลงใจในพฤติกรรมผิดปกติของตัวนางในวันพิธีแต่งงานเท่านั้น แต่มิได้กล่าวออกมาสักประโยคว่าพวกนางระแคะระคายว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการวางแผนร่วมกันระหว่างซ่างกวนหลินฟ่งและสกุลกู้ เป็นเช่นนี้ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว!! หญิงสาวรู้สึกเหมือนยกภูเขาลูกโตออกจากอกได้สำเร็จ ให้พวกนางดุด่าว่ากู้ลี่ถิงเห็นแก่ตัวหรือหวาดกลัวว่าจะได้รับโทษร่วมกับคนสกุลเย่ ยังดีกว่าถูกตั้งข้อหาว่านางมีส่วนรู้เห็นกับการก่อกบฏขององค์ชายรองมิใช่หรือ!! หญิงสาวพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่งแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายร้อนระอุกำลังอ่อนล้าเต็มทนด้วยพิษไข้ ลืมตาขึ้นมาคราวใดก็ราวกับว่าโลกกำลังหมุนติ้วรอบตัวราวกับลูกข่างจนนางต้องล้มตัวหลับตานอนไปอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพใหญ่เย่เฟิงอยู่หรือไม่เจ้าคะ” กู้ลี่ถิงพยายามฝืนสติไว้ให้มั่นคง ออกแรงเปล่งเสียงถามหาสิ่งที่นางอยากรู้ที่สุด พอได้ยินเสียงแผ่วเบาราวกับลูกแมวได้รับบาดเจ็บของกู้ลี่ถิง หย่งซื่อก็ใจหายวูบ นางถึงกับหลงลืมเรื่องสามีไปชั่วขณะ แต่เสียงของเด็กนั่น? หรือว่านางจะล้มป่วยอยู่จริง ๆ สตรีสูงวัยเริ่มลังเลใจเล็กน้อย ยากที่จะจัดการกับความรู้สึกของตนเองในเวลานี้ “สามีข้าล้มป่วยและยามนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเจ้ากลับไปออกไปเถิดเรือนของเราไม่มีที่ให้เจ้าพึ่งพิง รอจนสามีและบุตรชายของข้ากลับมาแล้วพวกเจ้าค่อยมาอีกครั้งก็แล้วกัน” สาบานได้ว่านางไม่ได้ปด ภายในเรือนแม้จะมีห้องพักหลายห้องแต่ที่ใช้อยู่อาศัยได้จริงก็มีเพียงไม่กี่ห้องเพราะหลังคาหลายแห่งชำรุดและอาจหลุดร่วงมาทำอันตรายคนที่อยู่ด้านล่างได้ รับคนทั้งหมดเข้ามาก็ไม่มีที่หลับที่นอนกันอยู่ดี “ฮูหยิน คุณหนูของพวกเราป่วยจริง ๆ นะเจ้าคะ พวกเรานอนตรงไหนก็นอนได้ขอร้องเถิดเจ้าค่ะ เปิดประตูให้เราเข้าไปข้างในด้วยเถิด” สองสาวใช้คุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้นหลายครั้ง พยายามอ้อนวอนขอร้องคนสกุลเย่ หย่งซื่อเม้มริมฝีปากแน่น ขยับขาก้าวออกไปครึ่งก้าวเตรียมจะไปเปิดประตูให้รถม้าเข้ามา แต่ก็ถูกเย่ชิงอี้ยื่นแขนมาขวางไว้ “แม่ใหญ่!! น้องสาวสี่คนนอนซมเป็นไข้อยู่บนรถม้านานนับเดือน มีผู้ใดเห็นใจพวกเราบ้าง? นางดั้นด้นมาถึงที่นี่ได้อดทนอีกสักคืนสองคืนจะเป็นไรไปเจ้าคะ!" เย่ชิงอี้ทักท้วง ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยม่านน้ำตา “ยามที่ซวงซวงไข้สูงจนตาค้าง รอบตัวเรามีเพียงป่าเขา แม้แต่รถม้าของเราก็ยังคันเล็กกว่าไม่ได้โอ่โถงเหมือนรถม้าของนาง กู้ลี่ถิงนางยังมีสติพูดจาตั้งคำถามได้คงไม่ลำบากอันใดหากจะนอนอยู่ในรถม้าหรูหราต่อไปอีกหน่อยกระมัง” นางหย่งซื่อชักเท้าถอยหลังกลับไม่กล้าคัดค้าน เย่ชิงอี้ก็เป็นคนนิสัยเด็ดขาดเช่นเดียวกับเย่เฟิง เพื่อบิดามารดาและพี่น้อง นางถึงกับโยนหนังสือหย่าให้สามีเลือกติดตามมาเหลียงโจวด้วย เย่ชิงอี้ไม่ใช่คนร้ายกาจแต่นางคงยังเจ็บใจไม่หายที่กู้ลี่ถิงไม่ได้มาพบเย่เซิ่งเจียตั้งแต่ต้น เวลานี้หากนางอนุญาตให้กู้ลี่ถิงเข้ามาด้านในง่ายๆ ก็จะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของคนในครอบครัวเช่นกัน "ชิงอี้พูดถูก เรื่องของพวกเราไม่เคยเป็นธุระของนาง ยามนี้จะมาเรียกร้องขอความเห็นใจให้ใครดู? รอให้คุณชายกลับมาตัดสินเองจะดีกว่าเจ้าค่ะ ว่าเขายังจะรับนางไว้เป็นภรรยาหรือไม่” อนุรองหลี่ซื่อสนับสนุนคำพูดของบุตรสาว คำพูดเหล่านี้กู้ลี่ถิงล้วนไม่ได้ยิน หลังจากที่นางได้ยินคำตอบจากฮูหยินใหญ่ว่าเย่เฟิงไม่อยู่ ไม่ใช่จากไปแล้ว นั่นหมายความว่าเย่เฟิงยังไม่ตาย! แม้นางจะมาไม่ทันเวลาแต่ดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องในนิยายก็ไม่ได้เป็นไปตามเดิมทุกประการ พอจิตใจผ่อนคลายความวิตกกังวลลง หญิงสาวก็เลิกฝืนร่างกาย นางหมดสติไร้เรี่ยวแรงอยู่ภายในรถม้าไปตั้งแต่หย่งเหลียนกล่าวจบประโยคแล้ว ………. ยามห้าย (21.00-22.59) เย่หานซิ่นค่อยๆ ย่องข้ามร่างน้องสาวสองคนที่นอนอยู่กับนางเดินออกจากห้องพักไปอย่างเงียบเชียบ ช่วงหัวค่ำในขณะที่ทุกคนต่างก่นด่ากู้ลี่ถิงกันอยู่ มีเพียงคุณหนูใหญ่เย่หานซิ่นเพียงคนเดียวที่ยืนนิ่งฟังอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว รู้สึกเวทนาสงสารกู้ลี่ถิงและสาวใช้ทั้งสองอยู่ไม่น้อย นางข่มตานอนไม่หลับเพราะคิดถึงเรื่องของกู้ลี่ถิงมาตั้งแต่หัวค่ำ ยามนี้สตรีผู้นั้นก็คล้ายว่าจะไม่ต่างจากตนที่ถูกครอบครัวสามีผลักไสให้ไปนอนอยู่นอกรั้ว จึงเห็นใจอีกฝ่ายเป็นพิเศษ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD