โยธกาพาอีกคนเดินขึ้นไปยังชั้นสามที่เป็นห้องพักตัวเอง และพอชัชญาเห็นภาพที่ติดอยู่หน้าห้อง ก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
"มันตลกมากเหรอคะ"
"อืม นี่เธอเหรอ แล้วทำไมถึงใช้รูปร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าแบบนี้ล่ะ"
ก็รูปที่ติดแปะหน้าห้องเป็นภาพการ์ตูนเด็กผู้หญิงถักเปียสองข้าง นั่งเหยียดขามาด้านหน้ามือสองข้าง ทำท่าเช็ดน้ำตาเม็ดโตที่ไหลพราก แถมยังอ้าปากกว้างจนเห็นลิ้นไก่อีก
จะไม่ให้เธอขำได้ยังไงและเหมือนชุดที่ใส่น่าจะเป็นชุดนักเรียนอนุบาลด้วยนะ แต่พอเห็นตัวหนังสือใต้ภาพชัชญาก็อมยิ้ม"น้องโยเย" ชื่อน่ารักนะนี่
"โยเยนี่ชื่อเราเหรอ"
"อือหึ"
"แล้วทำไมถึงชื่อโยเย แสดงว่าตอนเด็กคงเลี้ยงยากใช่มั้ย"
โยธกายิ้มขำก่อนจะส่ายหัว
"เปล่าค่ะ ชื่อโยเยป๊าตั้งใจเรียก จริง ๆ ก็ชื่อโย แต่ตอนเด็ก ๆ เวลาหยอก ป๊าแกชอบเรียกโยเย ๆ แล้วฉันหัวเราะน่ะ ก็เลยเรียกโยเยมาตลอด ส่วนรูปนั่นน่ะที่ร้องไห้ก็ไม่ใช่อะไรนะ คือป๊าโกหกว่าโรงเรียนปิดกิจการ ไม่ได้ไปเรียนแล้ว หึ ๆ
แกเล่าให้ฟังว่าฉันเสียใจมากร้องไห้จะเป็นจะตาย ตอนนั้นน่าจะอนุบาลสามมั้ง ทุกคนชอบภาพนี้ก็เลยเอามาแปะ แต่พอเห็นทีไรมันก็อดขำไม่ได้เหมือนกัน"
"โห นี่รักการเรียนตั้งแต่เด็กเลยนะนี่"
"เปล่าหรอก ชอบไปเล่นของเล่นน่ะ"
ฮ่า ๆ คราวนี้ทั้งคู่หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน ชัชญาเดินตามเจ้าของห้องเข้ามาภายใน ซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าค่อนข้างกว้างตามขนาดช่วงตึกนั่นแหละ
ภายในห้องเหมือนจะถูกจัดเป็นระเบียบพอสมควร มีเตียงนอนขนาดห้าหรือหกฟุตวางตรงกลางห้อง
"ห้องเธอดูสะอาดดีนะ"
"เหรอคะ นี่โยยังว่ามันรกเลยนะ แต่ขี้เกียจจัดแล้วอ่ะ ก็เลยวางมันแบบนี้"
ชัชญาระบายยิ้มมองเจ้าเด็กที่ตัวสูงกว่าเธอหน่อยนึง คำเรียกแทนตัวเองเมื่อครู่ มันให้ความรู้สึกสนิทขึ้นมายังไงไม่รู้
"พี่ว่าไม่รกนะ ห้องกว้างดีด้วย ห้องพี่แคบครึ่งหนึ่งของห้องนี้ด้วยซ้ำ ที่จะเดินแทบไม่มี แต่ก็ต้องอยู่อะนะ"
"ห้องเช่าหรือคอนโดคะ"
"เช่าสิคะ อย่างพี่นี่นะจะมีปัญญาอยู่คอนโด น่าจะต้องเกิดอีกหลายชาติค่ะ"
ฮ่า ๆ ผู้หญิงคนนี้หน้าตาดีแถมยังมีมุมฮา ๆ ด้วย น่ารักนะเนี่ย โยธกาหัวเราะขำ
"พี่อยากอาบน้ำมั้ย จะได้นอนสบายตัว เออว่าแต่พรุ่งนี้พี่ทำงานหรือเปล่า"
ชัชญาส่ายหน้า
"หยุดค่ะ"
"หยุดเสาร์อาทิตย์เหรอคะ ดีจังบริษัทไหนเนี่ยเผื่อจบแล้วจะไปสมัครมั่ง"
ชัชญายิ้มมองคนที่ใส่แว่นทรงกลมอันโตบังใบหน้าไปเกือบครึ่ง แต่ถ้าสังเกตุดี ๆ เจ้าเด็กคนนี้หน้าตาดีเหมือนกันนะ
ผิวขาวตัดกับเสื้อยืดสีเทาตัวโคร่งกับกางเกงขาก๊วยครึ่งแข้งสีดำ ผมยาวตรงที่ถูกมัดรวบเป็นหางม้า ใบหน้าขาวใสเหมือนคนมีเชื้อสายจีนเลย
"เป็นสำนักงานบัญชีน่ะ อยู่ตึกสูง ๆตรงสถานีคลองเตยค่ะ"
"อ๋อ ตึกนั้นแน่เลย เหมือนจะมีหลายบริษัทใช่มั้ยคะ พอดีญาติของเพื่อนเขาก็ทำงานที่นั่น โยยังเคยเอาข้าวมันไก่ไปส่งเลยค่ะ"
"หืม อย่าบอกนะว่าร้านข้าวมันไก่ข้างล่างนี่เป็นของครอบครัวเธอ"
โยธกาพยักหน้าพลางยิ้มให้พี่เขา
"ถ้างั้นคราวหน้าพี่สั่งแล้วเธอเอาไปส่งนะ"
"ได้ค่ะถ้าโยว่างนะ แต่ปกติคือจะว่างช่วงปิดเทอมนะ แถมพี่ก็ยังหยุดเสาร์อาทิตย์อีก ที่ร้านน่ะปิดทุกวันอาทิตย์ค่ะ อ้อ แต่ถ้าพี่จะให้โยเอาไปส่งที่ห้องก็ได้นะเดี๋ยวโยแว๊นไปส่ง"
"อ๋อ ลืมไปเธอต้องเรียนนี่เน๊าะ ว่าแต่เรียนอะไรที่ไหนปีไหนแล้วเนี่ย"
"โยตอบพี่ได้ทุกเรื่องนะ แต่พี่ไปอาบน้ำก่อนมั้ยมันตีหนึ่งกว่าแล้ว คุยไปถ้าง่วงจะได้นอนเลยไง อืม เปลี่ยนเสื้อผ้ามั้ยคะ ชุดพี่น่าจะนอนไม่สบายนะ"
ชัชญาฟังแล้วอดยิ้มไม่ได้ ทำไมเด็กคนนี้ถึงใส่ใจคนอื่นจัง ทั้งที่ไม่ได้สนิทกันสักนิด แต่มันทำให้เธอผ่อนคลายจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอได้มากเลย
"งั้นคงต้องรบกวนเสื้อผ้าเราแล้วล่ะ"
โยธกาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ค้นหาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ แล้วก็เสื้อกางเกงสำหรับใส่สบาย ๆ
"นี่ค่ะ ในห้องน้ำมีแปรงสีฟันอันใหม่พี่แกะใช้ได้เลย"
"ขอบคุณค่ะ"
ชัชญารับสิ่งที่น้องยื่นให้ ผ้าขนหนูสีฟ้ากับเสื้อยืดสีขาวและกางเกงผ้านิ่มสีเทา วางกระเป๋าสะพายไว้โต๊ะทีวีก่อนจะเปิดประตูห้องออกไป พอเห็นรูปที่แปะหน้าห้องมันอดที่จะขำไม่ได้จริง ๆ ร้องไห้เพราะไม่ได้ไปโรงเรียนนี่นะ น่ารักจริงเด็กคนนี้
ขณะที่ปล่อยให้พี่คนสวยไปจัดการตัวเอง โยธกาก็กำลังจัดที่นอนเอาหมอนอีกใบมาวางไว้ แต่ผ้าห่มมันมีผืนเดียวคงต้องห่มด้วยกันไปก่อน
จะขึ้นไปเอาที่ตู้เก็บก็กระไรอยู่ พี่เขาคงไม่รังเกียจหรอกมั้ง เธอก็เพิ่งซักไปเอง ที่สำคัญมั่นใจว่ากลิ่นมันยังหอมน้ำยาปรับผ้านุ่มอยู่เลย
"โยกเยกวันนี้มีแขกมานอนด้วย แกต้องเป็นหมอนข้างให้พี่กอดแทนพี่ส้มจี๊ดแล้วล่ะ"
ตุ๊กตาผ้าตัวกลมแขนขายาวพอ ๆ กับเด็กคนหนึ่ง ที่นั่งพิงอยู่ในตู้อีกหลัง ถูกยกออกมากอด พร้อมกับที่เจ้าของเอ่ยบอก ราวกับสิ่งไม่มีชีวิตนั้นจะรับรู้ได้
ชัชญาใช้เวลาอาบน้ำไม่นานเปิดประตูเข้ามาก็เห็นเจ้าของห้อง นั่งกอดตุ๊กตาหน้าตาประหลาด ก็อดยิ้มไม่ได้
"ติดตุ๊กตาเหรอคะ"
"เปล่าติดค่ะ แต่ติดหมอนข้าง แต่คิดว่าคืนนี้พี่อาจจะอยากใช้หมอนข้าง โยเลยเอาเจ้าโยกเยกมากอดแทนพี่ส้มจี๊ด"
"หืม โยกเยก ส้มจี๊ด?"
โยธกาเห็นหน้าตางง ๆ ของพี่เขาแล้วก็ต้องหัวเราะเบา ๆ
"เจ้าตัวนี้มันชื่อโยกเยกค่ะ ส่วนพี่ส้มจี๊ดก็นี่ไง หมอนข้าง เห็นมั้ยคะลายส้ม"
อ๋อ ชัชญาพยักหน้าเข้าใจ
"ตั้งชื่อซะพี่นึกว่าเป็นคน"
ฮ่า ๆ โยธกาหัวเราะ มองคนที่อยู่ในเสื้อผ้าเธอ พี่เค้าน่ารักจังเลย ชัชญาเดินเอาผ้าไปผึ่งที่ราวตากข้างประตูแล้วกลับมานั่งลงที่เตียง มองคนที่กำลังจ้องเธอแล้วยิ้ม
"อะไรคะ พี่มีอะไรตลกเหรอ"
"เปล่า พี่สวยต่างหาก"
คำกล่าวชมตรง ๆ แบบนั้นก็ทำเอาชัชญารู้สึกเขินขึ้นมาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนชมหรอก มีเยอะ โดยเฉพาะผู้ชายที่เข้ามาจีบ แต่แปลกที่พอเป็นเด็กหน้าใสนี่ชมเธอกลับรู้สึกแปลก ๆ
"โยถามอะไรได้มั้ย?"
"อะไรคะ?"
"พี่ ยังไม่มีแฟนที่แบบคบกันอยู่ใช่มั้ย"
"ทำไมคิดว่ายังไม่มีละคะ"
ชัชญาย้อนถามพลางยิ้ม
"อ่าว งั้นพี่มีแฟนแล้ว"
โยธการู้สึกใจแป้วขึ้นมาซะอย่างนั้นแหละ ชัชญาส่ายหน้าอีกครั้ง
"พี่แค่ถามว่าทำไมคิดว่าพี่ยังไม่มี พี่ไม่ได้ตอบว่ามีนะคะ"
คำพูดนั้นทำให้คนเข้าใจผิด เผลอยิ้มออกมาได้
"ที่คิดว่ายังไม่มีก็คือไม่แน่ใจหรอกค่ะ โยแค่สงสัยเพราะถ้าพี่มีแฟน แฟนพี่ก็น่าจะมารับ ไม่น่าจะปล่อยให้พี่มาเที่ยวคนเดียว และอีกอย่างผู้ชายคนนั้นคงไม่อ้างว่าเป็นแฟนพี่ ถูกมั้ย"
"อืมเก่ง วิเคราะห์ได้ถูกค่ะ พี่ไม่ได้คบใคร คือเอาตรง ๆ พี่มีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีกับผู้ชายสักเท่าไหรน่ะ"
คำพูดที่ได้ฟังทำให้โยธกาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าคิดว่าพี่เขาคงมีปมในอดีต ชัชญามองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มบาง
"และสิ่งที่พี่เห็นมาตลอด แม้กระทั่งเหตุการณ์วันนี้มันยิ่งตอกย้ำให้ความคิดพี่ติดลบมากขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้เหมารวมผู้ชายทุกคนหรอกนะคะ คนที่ดีก็มีเพียงแต่คนที่เข้ามาหาพี่ส่วนมากก็คือเจ้าชู้ หวังแต่จะเคลมเราทุกคน
พี่เกลียดคนเจ้าชู้จะว่าฝังใจก็ได้ เพราะพ่อพี่เจ้าชู้มากจนคุณตาต้องให้แม่พี่เลิกกับเขาตั้งแต่พี่แปดขวบ พี่เห็นแม่ร้องไห้บ่อย ๆ หลายครั้งที่เราสองคนกอดกันร้องไห้จนหลับ เขาทะเลาะกันบ่อย อาจจะดีหน่อยที่เขาไม่เคยทุบตีแม่ แต่มีครั้งหนึ่ง ที่เขาเกือบจะตบแม่เหมือนกันพอดีพี่เห็นก็เลยเข้าไปขวางไว้ นั่นแหล่ะคือเรื่องใหญ่เลย พี่เอาไปฟ้องตากับยาย
ที่จริงท่านก็พอจะรู้เรื่องมานานแล้วล่ะ แต่ก็ไม่อยากยุ่งอะไรมาก สุดท้ายก็เป็นแม่พี่ที่ยอมตัดสินใจหย่าเพราะไม่ไหวแล้วจริง ๆ ที่ทนอยู่ก็เพราะไม่อยากให้พี่กำพร้าพ่อนั่นแหละ
ทุกวันนี้พี่ยังคิดเลยว่า แม่ทนอยู่ได้ยังไงตั้งหลายปี จะว่าไปเขาก็ไม่เคยแสดงให้พี่เห็นเลยว่าเขารักพี่หรือเปล่า พี่ไม่เคยได้รับอ้อมกอดจากเขาด้วยซ้ำ เขาทำงานให้เงินแม่ใช้จ่ายในบ้านและค่าเทอมพี่แค่นั้น
พี่มารู้ตอนโตแม่เล่าให้ฟังว่า เขาเริ่มเปลี่ยนไปก็ตอนที่แม่ท้องนั่นแหละ พวกเขาแต่งงานกันสามปีถึงมีพี่ พี่ไม่เคยเสียใจเลยนะที่แม่เลิกกับเขาไป พี่ดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องเห็นแม่ร้องไห้อีก"
"ถ้าป๊าโยเป็นแบบนั้นโยคงยุให้แม่เลิกเหมือนกันแหละ แต่นี่พวกเราโชคดีที่ป๊าไม่เจ้าชู้แถมยังใจดีด้วยค่ะ อ่อ ตอนที่เราอยู่ข้างล่างแกก็แอบดูอยู่ระเบียงนะ"
"เหรอ ถ้าเราไม่ลงไปช่วยพี่ คิดว่าป๊าเราจะลงไปมั้ย"
"ไปแน่นอนค่ะ ป๊าเคยเป็นตำรวจมาก่อนนะคะ"
"อืม พี่รู้สึกว่าในความโชคร้ายพี่ยังมีโชคดี ที่ตัดสินใจกระแทกแตรรถจนตานั่นตกใจจอดรถตรงนี้พอดี"
"ที่จริงก่อนที่รถจะมาจอดตรงนั้น โยออกไปยืนสูดอากาศพอดีค่ะ ทีแรกนึกว่าใครเป็นอะไรในรถหรือเปล่า แบบ ลมชักอะไรงี้ แต่เพื่อความไม่ประมาทก็เลยถืออาวุธลงไปด้วย โยแอบไปส่องหลังรถก่อน ถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น"
"ยังไงก็ขอบใจนะ ถ้าเราไม่ลงไป หรือถ้าหมอนั่นออกรถต่อไป พี่ก็ไม่รู้จะเอาตัวรอดได้หรือเปล่า แรงเราสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว"
นึกถึงสภาพถ้าไม่มีใครช่วย เธอคงเอาตัวรอดยาก จากผู้ชายเลว ๆ แบบนั้น
"พี่ไม่มีพวกอุปกรณ์อะไรไว้ป้องกันเหตุฉุกเฉินบ้างเหรอ อย่างเครื่องช๊อตไฟฟ้าหรือพวกสเปย์"
ชัชญาส่ายหน้า เพราะไม่เคยหามาใช้เลยจริง ๆ
"ไม่คิดว่าจะเลวร้ายถึงขั้นนี้นี่คะ ปกติพี่ระวังตัวพอสมควรไม่ไปไหนดึก ๆ เลิกงานอย่างมากก็สามสี่ทุ่ม ถ้าทำโอที มันก็ยังมีคนพลุกพล่านอยู่"
โยธกามองหน้าพี่เขา ก่อนจะลุกจากเตียงเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทีวีออกมา หยิบเจ้าขวดเล็กจิ๋วแต่มีอานุภาพ ชัชญามองน้องที่กลับมายื่นบางอย่างให้
"พี่เอานี่ไว้ป้องกันตัวนะ มันเป็นสเปย์พริกน่ะ คนโดนไม่ถึงตายหรอก ฉีดเข้าหน้าเข้าตามันเลย อาการก็เหมือนเวลาเราโดนพริกกระเด็นเข้าตานั่นแหละค่ะ"
ชัชญารับขวดสเปย์ขนาดเล็กในนั้นมีน้ำใส ๆ อยู่ด้วย
"ที่เขาเรียกสเปย์พริกไทยใช่มั้ย"
"หึ อันนี้สเปย์พริกชี้ฟ้าค่ะ"
คำพูดของน้องทำให้ชัชญามองหน้า ก่อนทั้งคู่จะหลุดขำออกมาพร้อมกัน
"จริง ๆ โยไม่ได้อำนะ กลิ่นพริกชี้ฟ้าเลยล่ะ แถมแสบร้อนเผ็ดจี๊ด โยลองกับเพื่อนผู้ชายมาแล้วมันโกรธไปหลายวันจนต้องเลี้ยงข้าวไถ่โทษน่ะ"
"ร้ายนะเราเนี่ย แล้วไปได้มาจากไหนคะ"
"มีที่สั่งค่ะ เอามาวางขายโล่งโจ้งไม่ได้หรอก มันอันตราย"
"อืม ขอบคุณนะคะ พี่จะพกติดตัวไว้"
โยธกาพยักหน้ายิ้ม ๆ
"เห็นเล็ก ๆ แบบนี้ก็เล็กพริกขี้หนูนะคะ มันคงช่วยพี่หนีได้ก่อนที่จะถูกใครทำร้ายเอา"
"ไหนบอกพริกชี้ฟ้าไงคะ" ชัชญาถามกลับแล้วยิ้ม ให้คนที่ไม่ทันคิดอะไรอ้าปากเหวอจนเธอหลุดขำ
"พี่นี่ก็มุขเยอะนะเนี่ย ที่จริงโยมีอะไรที่เด็ดกว่าพวกนี้อีกค่ะ อืม แต่จริง ๆ มันก็เป็นความลับสุดยอด เกี่ยวกับวงการตำรวจด้วยล่ะ"
"ถ้ามันลับขนาดนั้น ไม่ต้องบอกพี่ก็ได้มั้งคะ"
คนอายุมากกว่าบอกยิ้มๆ นึกเอ็นดูเจ้าเด็กคนนี้จริงๆ ตั้งแต่ตอนที่อีกคนคุยฟ้องพี่ชายว่าโดนเอนกด่าแล้ว
"ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าเจ้าของโปรเจกต์อนุมัติเอง โยบอกก็ได้ ว่าแต่พี่ไม่ง่วงเหรอ ตีสองแล้วนะ"
"เริ่มจะง่วงแล้วเหมือนกันค่ะ ปกติห้าทุ่มพี่ก็ไปเฝ้าพระอินทร์แล้ว แต่คืนนี้มีเหตุกระตุ้นสมองเลยตื่นมั้ง"
"งั้นเรานอนกันดีกว่าค่ะ ไว้พรุ่งนี้โยจะทำอะไรสักอย่างให้ ต่อไปพี่จะรู้สึกปลอดภัยทุกที่"
"หืม ขนาดนั้นเชียว โฆษณาเหมือนบริษัทรักษาความปลอดภัยเลยนะคะ"
ฮ่า ๆ
"ไว้เดี๋ยวก็รู้ค่ะ พี่นอนเลยนะ โยขอไปอาบน้ำอีกรอบก่อน ลงไปคลุกฝุ่นข้างล่างแถมเจอมนุษย์ปากเสียพ่นพิษสกปรกใส่มันรู้สึกคันคะเยอค่ะ"
ว่าแล้วเจ้าเด็กตัวสูงก็ลุกไปถอดแว่นวางไว้ที่โต๊ะหนังสือ ก่อนจะเดินกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบสัมภาระตัวเอง ปล่อยให้ชัชญายิ้มขำกับคำเปรียบเทียบนั้น และก็นึกขึ้นได้
"โยไม่ได้สายตาสั้นเหรอ"
โยธกาหันมามองคนถามก่อนจะยิ้มกว้างพลางส่ายหน้า
"เปล่าค่ะ แว่นใส่แค่ตอนอ่านหนังสือน่ะ เนี่ยเห็นพี่ชัดเจนเลย อ๊า นี่คนหรือนางฟ้าคะ เตะตา อุ๊ย! เตะใจ โอ๊ะ ๆ"
คำพูดกับท่าเอามือปิดตาแล้วเลื่อนมากุมหัวใจ ก่อนจะถอยหลังออกประตูไป ทำให้คนที่นั่งบนเตียงอดขำไม่ได้ เด็กทะเล้นเอ้ย แต่น้องก็น่ารักจริงเมื่อไม่มีแว่นมาบดบังใบหน้าขาวใสนั่น
ชัชญารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีภายในห้องมีแสงสว่างส่องผ่านม่านสีน้ำตาลเข้มเข้ามาลาง ๆ แม้จะไม่สว่างจ้าแต่เสียงรถราที่วิ่งอยู่ด้านล่างบอกเวลาความวุ่นวายของวันใหม่อีกครั้ง
เมื่อหยิบนาฬิกาข้อมือมาดูก็แปดโมงกว่าแล้ว ใบหน้าสวยหวานพลิกกลับมาอีกด้าน ก็เจอกับเจ้าของเตียงนอนตะแคงใบหน้ามาทางฝั่งเธอ อีกคนยังคงหลับสนิทริมฝีปากสีชมพูอ่อนอย่างคนสุขภาพดีเผยอขึ้นนิด ๆ
แล้วเจ้าโยกเยกตุ๊กตาแขนขายาวก็ถูกกอดรัดอยู่ด้วย ชัชญาระบายยิ้มมองใบหน้าขาวใสของคนที่หลับพริ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนอนร่วมเตียงเดียวกันกับคนที่ไม่สนิท แถมเพิ่งจะรู้จักกันไม่ถึงวันอีกต่างหาก แต่ก็น่าแปลกที่เธอหลับสนิทยันเช้า ทั้งที่นอนแปลกที่ด้วยซ้ำ
เมื่อนอนมองคนหลับอยู่สักพักก็ค่อย ๆ ทรงตัวลุกขึ้น ยังไม่อยากรบกวนอีกคนให้ตื่นตามมาหรอก แต่คนที่ตื่นตัวไวอย่างโยธกาก็รู้สึกตัวขึ้นมาแทบจะทันทีที่คนพี่ขยับเคลื่อน
"ทำไมรีบตื่นละพี่ กี่โมงแล้วอ่ะ"
"อ้าว พี่ทำให้เราตื่นเหรอคะ แปดโมงกว่าแล้วล่ะ ง่วงก็นอนต่อเถอะ"
"หืม พี่จะกลับเลยเหรอ กินข้าวก่อนสิค่อยกลับ ไม่นอนแล้วค่ะ"
ชัชญามองคนที่ลุกมานั่งเอามือลูบหน้าเสยผมที่ระมาปิดใบหน้าออก โยธกามองคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงก่อนจะยิ้มให้
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ"
หืม หึ ๆ คนเป็นพี่ขำ
"มอร์นิ่งค่ะ"
ชัชญาเลยตอบกลับไป แต่ก็อยากจะมะเหงกใส่หน้าผากเจ้าคนทะเล้นสักที เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยขึ้น
"นึกว่าจะมอนิ่งคิส ฮ่า ๆ"
"ทะลึ่งนะเราน่ะ"
ชัชญาแกล้งทำเสียงดุให้อีกฝ่ายรีบแก้ตัวอย่างไว
"โยล้อเล่น ไม่โกรธกันนะคะ"
"ทำบ่อยหรือไงคะ"
"เปล่า ๆ สาบานเลยเพิ่งพูดคำนี้กับพี่คนแรก ไม่เคยทำด้วยค่ะ"
แม้จะรู้สึกขัดเขินกับคำสารภาพจริงจังนั่น แต่ชัชญาก็ยังแกล้งทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
"พี่จ๋า"
หืม ชัชญาขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายเรียกแบบนี้ จ๋า คือชื่อเล่นของเธอ เจ้าเด็กนี่คงจะจำมาจากเมื่อคืนสินะ
"ชื่อเล่นพี่ใช่มั้ย โยเรียกได้เปล่า"
คนเป็นพี่พยักหน้า ให้เจ้าเด็กหน้าใสฉีกยิ้มกว้างน่าหมั่นไส้ แต่ก็น่าเอ็นดูไปด้วยนั่นแหละ
"พี่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ ใส่เสื้อโยกลับก่อนก็ได้นะ หมายถึงตัวใหม่น่ะ"
"ค่ะ ไว้พี่ซักมาคืน"
โยธกาจึงลุกไปเปิดตู้เลือกเอาเสื้อยืดคอวีสีขาวกับสีเทาอ่อนออกมา
"สีไหนคะ"
"สีขาวก็ได้ค่ะ เหมือนเราจะชอบสีเทานะ"
คนเป็นน้องยิ้มเดินมาส่งเสื้อให้พี่
"ก็ชอบกว่าสีอื่นค่ะ มันดูไม่ค่อยเปื้อนดี งั้นโยจะใส่ตัวนี้นะ"
คนเป็นพี่พยักหน้าโดยที่ไม่ทันคิดอะไร แต่คนน้องกลับแอบอมยิ้มเมื่อเอาเสื้อกลับไปแขวนหน้าตู้ ชัชญากำลังรวบผ้าห่มขึ้นมาพับให้เรียบร้อย จับเอาเจ้าโยกเยกกับพี่ส้มจี๊ดไปนอนกอดกันกลางเตียง โยธกาเห็นแล้วอดขำไม่ได้ พี่เขาก็มีมุมน่ารักขี้เล่นเหมือนกันเน๊าะ ทำไปได้
"อาบน้ำเสร็จเดี๋ยวโยจะลงโปรแกรมที่บอกเมื่อคืนให้นะ มันเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยน่ะ ไว้จะอธิบายให้ฟังค่ะ"