ตอนที่10

3033 Words
      พอออกมานอกห้อง เสียงกุกกักกับแสงไฟที่โรงครัวด้านล่าง บอกให้รู้ว่ายายกับแม่คงอยู่ที่นั่นแล้ว "พวกท่านต้องตื่นแต่เช้าแบบนี้ทุกวันเหรอคะ" "ค่ะ นึ่งขนมใช้เวลาไม่นานหรอก แต่เสียเวลาตอนรอนี่แหละ กว่ามันจะเย็นพอที่จะแคะได้ ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง แล้วต้องมาจัดใส่กล่องอีก ให้ทันลูกค้าเจ้าแรก ที่จะมารับตอนเจ็ดโมง ส่วนลูกค้าที่เขามารับเป็นถ้วย เราก็สบายหน่อยแค่เรียงใส่กะบะไว้ให้แค่นั้น" โยธกาพยักหน้าฟังพี่อธิบายไปด้วย สองสาวพากันลงมาที่โรงครัว ตอนนี้โยธกาได้เห็นขั้นตอนกว่าจะออกมาเป็นขนมถ้วย อร่อย ๆ ต้องทำอะไรแบบไหน กะทะใบขนาดใหญ่มากจำนวนห้าใบ ถูกตั้งเรียงกันบนเตาแก๊สชนิดแยกหัว ชัชญาเดินไปช่วยมารดาตักน้ำมาใส่ในกะทะ เพื่อเตรียมเอาซึ้งขึ้นวาง "ไม่ง่วงหรือลูก ตื่นมาแต่เช้าน่ะ" ชาลินีเอ่ยกับเด็กสาวที่มาช่วยยกซึ้งขึ้นวางในกะทะ โยธกาส่ายหน้ายิ้ม "ตอนนี้ตาสว่างแล้วค่ะ" "กาแฟก็มีนะถ้าจะกินน่ะ" คนเป็นพี่เอ่ยบอกให้น้องพยักหน้า "ไหน ๆ ก็ตื่นมาพร้อมกัน เช้านี้ก็พาน้องไปใส่บาตรด้วยสิลูก เดี๋ยวนึ่งชุดแรกไว้ ก็ไปเตรียมกับข้าวใส่บาตรนะ" "ค่ะแม่" มันเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน ที่ตอนเช้าก็จะนำอาหารมารอใส่บาตรพระสงฆ์ที่จะมาเดินรับบิณฑบาตตามซอยในทุก ๆ เช้า    โยธกาให้ความสนใจทุกขั้นตอนของการทำขนม จนผู้ใหญ่เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ เดี๋ยวก็มานั่งมองยายผสมแป้ง เดี๋ยวก็ไปชะเง้อดูพี่กับแม่หยอดแป้งลงถ้วย จนกระทั่งขนมชุดแรกรอเวลาสุก เธอตามคนเป็นพี่ขึ้นมาบนเรือน เพื่อที่จะเตรียมทำอาหารไปใส่บาตรพระ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ดี สำหรับการได้มาสัมผัสชีวิตอีกแบบ เพราะที่บ้านเธอไม่ได้มีพระมาเดินรับบิณฑบาตแบบนี้ ถ้าจะทำบุญก็คือไปถวายเพลกันที่วัดเลย อาหารใส่บาตรชัชญาเลือกทำเมนูง่าย ๆ คือต้มจืดมะระยัดไส้หมูสับ กับไข่เจียวกุ้ง ที่น้องบอกว่าเป็นของชอบ ก็เลยทำเผื่อไว้ให้ เป็นอาหารเช้าไปด้วยเลย ของใส่บาตรถูกแยกออกเป็นสามชุดตามจำนวนพระสงฆ์ ก่อนที่ทั้งคู่จะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปรอพระที่หน้าบ้านของเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่ไม่ห่างกัน มีคนมารอใส่บาตรสี่ห้าคน ทุกคนก็พากันคุยทักทายยิ้มแย้มกันไป จนเมื่อพระท่านเดินมาและทุกคนก็ได้ใส่บาตรรับพรกันถ้วนหน้า "เดี๋ยวไปหยาดน้ำก่อน" คนเป็นพี่ขึ้นไปหยิบขวดน้ำเปล่าบนบ้านลงมา แล้วพากันเดินไปที่ต้นมะม่วงหน้าบ้าน โยธกายื่นมือไปแตะมือพี่ตั้งจิตอุทิศบุญกุศล ตามที่ได้รับคำสอนมา "รู้สึกดีจังเลยค่ะ" ชัชญาอมยิ้มเมื่อน้องเปรยขึ้นมา "ทุกครั้งที่ได้ทำบุญก็รู้สึกแบบนี้แหละค่ะ เขาถึงบอกว่าบุญอยู่ที่ใจไง ทำแล้วใจเป็นสุข" น้องพยักหน้ายิ้ม "ใช่ โยยิ่งมีความสุขมากที่ได้มาทำบุญกับพี่ เขาเรียกว่าทำบุญร่วมชาติเน๊อะ" "มั้งคะ" คำตอบสั้น ๆ กับรอยยิ้มของพี่ ทำเอาเจ้าเด็กยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมไปแล้ว เมื่อพากันกลับเข้าไปโรงครัวอีกทีขนมชุดแรกสุกเรียบร้อยแล้ว และชุดสองก็ใกล้จะได้ที่เหมือนกัน ชัชญาเดินเข้าไปช่วยคนเป็นแม่ ปล่อยให้เด็กอยากรู้อยากเห็น ไปนั่งมองยาย ที่กำลังแคะขนมใส่กล่องอย่างว่องไว คุณยายปิ่นมองเด็กสาวพลางยิ้มอย่างเอ็นดู "อยากลองทำมั้ยล่ะ" โยธกายิ้มแหย "หนูกลัวมันเละหมด จะไม่ได้ขายสิคะ" คุณยายหัวเราะหึ ๆ "ไม่เป็นไรเละเราก็กินเอง ของทำเผื่อเยอะ เอ้า ลองดูทำง่าย ๆ นี่เอาไม้พายจุ่มน้ำก่อน มันจะได้ไม่ติดแป้ง แล้วค่อยกดลงตามขอบ แล้วก็ช้อนขึ้นมาแบบนี้" คนชำนาญทำให้ดูเหมือนง่าย แต่เด็กใหม่อย่างโยธกา จะทำมันออกมาได้สวยมั้ยต้องลอง "สงสัยหนูจะได้กินขนมจนท้องแตกวันนี้แหละ" เจ้าเด็กพูดไปก็หัวเราะไป ให้ผู้ใหญ่ขำตาม  "แหง่ววว แตกอ่ะ" อันแรกแตกไปแล้วเพราะยังไม่รู้จังหวะ  "ไม่เป็นไรค่อย ๆ ช้อนมือเบา ๆ เรายังไม่คล่อง" คุณยายบอกอย่างใจดี คอยมองคนที่ดูจะตั้งอกตั้งใจ งัดขนมจากถ้วยยังกับกลัวมันแตกสลาย ก็พรายยิ้มเอ็นดู และเด็กหัวไวก็สามารถทำมันออกมาได้ไม่บุบสลายในที่สุด แต่ก็ทำมันเละเทะ ไปหลายชิ้นเหมือนกัน สองแม่ลูกที่คอยแอบมองตลอดก็พากันยิ้มไปด้วย "คุณยายมีโรคประจำตัวหรือเปล่าคะตอนนี้" เมื่อเริ่มแคะขนมคล่องแล้ว โยธกาก็ชวนผู้สูงวัยคุยไปด้วย "ก็มีความดันนิดหน่อยกับเบาหวานนั่นแหละ แต่หมอเขาบอกอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ถ้าเราดูแลดี ๆ ก็แทบจะเหมือนคนปกติ ยายก็นาน ๆ ไปเอายามากินที แต่ก็ต้องตรวจเลือดวัดความดันทุกเดือน มันก็โรคคนแก่นั่นแหละหนู เป็นแค่นี้ถือว่ายังดี บางคนก็ป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ น่าสงสารเป็นภาระลูกหลานไปอีก" โยธกาพยักหน้าเข้าใจ "คุณยายยังแข็งแรงอยู่เลยค่ะ ไม่บอกอายุหนูก็คงเดาว่าหกสิบต้น ๆ แค่นั้นแหละ แล้วโรคปวดแข้งปวดขาไม่มีใช่มั้ยคะ" "ปวดขามันก็มีบ้าง ถ้าไปเดินนาน ๆหรือยืนทำอะไรนาน ๆ น่ะ แก่แล้ว กระดูกกระเดี้ยวมันก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงเหมือนตอนสาว ๆ หรอก สมัยสาว ๆ เท่าหนูนี่ ยายเดินจากคลองหนึ่งมานี่ยังไหวเลย" คุณยายเล่าไปขำไป ให้เจ้าเด็กหัวเราะไปด้วย "คุณยายทำให้หนูคิดถึงอาม่าเลยค่ะ แกชอบเล่าเรื่องสมัยสาว ๆ ให้ฟัง ว่าเมื่อก่อน มันไม่ได้มีรถราเยอะอย่างทุกวันนี้ บางทีต้องใช้วิธีการเดิน หากจะต้องไปซื้อของให้นายจ้าง ขากลับก็ต้องหอบหิ้วของพะรุงพะรังจนแทบไม่เห็นตัวคน แกบอกลูกหลานสมัยนี้เกิดมาสบายกันเยอะ ไปไหนก็แทบจะไม่ต้องเดินกันเลย" คุณยายฟังไปก็ยิ้มไปด้วย เพราะมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ขนาดเด็กอายุไม่กี่ขวบก็ขี่จักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์กันเป็นแล้ว "แล้วตอนนี้ตายายหนูยังอยู่มั้ยล่ะ" โยธกาส่ายหน้าแต่ก็ยังยิ้ม "เสียไปเกือบสิบปีแล้วค่ะ ตาเสียก่อนยายสามปี ท่านก็เป็นโรคชรานี่ละค่ะไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรงอะไร อายุก็แปดสิบกว่าทั้งคู่เลย แต่ฝั่งปู่ย่าเสียไปตั้งแต่หนูยังไม่เกิดเลยค่ะ" ยายปิ่นพยักหน้าไปด้วย ส่วนเจ้าเด็กก็เงยหน้ามายิ้มให้ "คุณยายไม่ชอบนั่งรถไปไหนไกล ๆเพราะปวดเมื่อยเหรอคะ" หึ ๆ คนสูงวัยหัวเราะ พลางพยักหน้าไปด้วย "มันก็ไม่เชิงว่าไม่ชอบหรอก แต่ว่าเราอาศัยไปกับคนอื่นเขา บางทีด้วยอายุเราจะเดินเหินให้มันคล่องแคล่วเหมือนหนุ่มสาวเขาก็ไม่ได้ จะไปไหนทีก็ต้องมีใครคอยจับจูง ยายก็เลยไม่ค่อยไปเที่ยวไหนหรอก ไม่อยากเป็นภาระ ยกเว้นจะไปวัดกับเพื่อนบ้านวัยเดียวกันนั่นแหละ จริงๆถ้าจะซื้อรถเองมันก็พอซื้อได้แต่ยายเป็นห่วงทั้งลูกทั้งหลาน ไม่อยากให้ขับ เพราะลูกชายหรือลุงของยัยจ๋าน่ะ เขาเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม ก็เรื่องรถนี่แหละ ยายก็เลยเป็นห่วง ยิ่งเป็นผู้หญิงเกิดกลางค่ำกลางคืน รถไปเสียก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง" โยธกาได้เข้าใจเหตุผลของคนสูงวัยตอนนี้เอง "อันนี้หนูเห็นด้วยนะคะเรื่องผู้หญิงขับรถเอง ถ้าต้องขับในระยะทางไกลบ่อย ๆ ก็ควรจะมีความรู้เรื่องเครื่องยนต์บ้าง แต่ถ้าขับในเส้นทางไม่ไกลหรือไม่อันตรายก็คงไม่เป็นไร อย่างพี่จ๋า หนูว่าไม่มีรถเองดีแล้วค่ะ" "ทำไมหนูคิดงั้นล่ะ" คนสูงวัยเอ่ยถามให้เจ้าเด็กอมยิ้ม "เพราะหนูจะเป็นคนขับให้พี่เขานั่งเองค่ะ หนูพอมีความรู้เรื่องเครื่องยนต์อยู่บ้าง เพราะลุงหนูเขามีอู่ซ่อมรถหนูเคยไปเป็นเด็กช่าง ตอนปิดเทอมค่ะ แล้วก็ ถึงหนูจะเป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักและบอบบาง แต่หนูพอมีวิชาป้องกันตัวอยู่บ้าง ถ้าเกิดคนร้ายไม่มาแบบหมาหมู่ หนูก็พอจะเอาตัวรอดได้นะคะ และที่สำคัญต่อไปหนูจะพาคุณยายคุณแม่กับพี่จ๋าไปเที่ยว เปิดหูเปิดตาบ้างดีมั้ยคะ" คุณยายปิ่นฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เด็กคนนี้ช่างรู้จักเข้าหาเอาใจผู้ใหญ่ "ไม่รำคาญคนแก่รึ จะเอายายไปเป็นภาระทำไมสาว ๆ อยากไปก็ไปเถอะเที่ยวกันให้สนุก" "ไม่เป็นภาระอะไรเลยค่ะ คุณยายอย่าคิดแบบนั้นสิ ต่อไปพวกหนูก็ต้องแก่เหมือนกัน ถ้าลูกหลานทุกคน มองผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นภาระ ถ้าหนูเจอแบบนั้นหนูก็คงรู้สึกแย่นะคะ ครอบครัวหนูสอนเสมอ ว่าอย่ารังเกียจคนสูงวัย ยิ่งถ้าท่านร่างกายไม่แข็งแรงแล้ว เรายิ่งต้องเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ มีเวลาก็หมั่นพาพวกท่านไปเที่ยว ไปทานอาหารดี ๆ ทำให้ท่านมีความสุข เหมือนกับตอนที่ท่านเลี้ยงดูเรามาอย่างดีจนเติบใหญ่" คำพูดของเด็กสาวไม่เพียงแต่ทำให้คุณยายอึ้ง ชาลินีกับชัชญาที่ได้ยินทุกอย่าง ก็อึ้งไปด้วยเช่นกัน "ครอบครัวหนูอบรมสั่งสอนลูกมาดีจริง ๆ" หญิงสูงวัยกล่าวชมไปถึงบุพการีของเด็กตรงหน้าอย่างชื่นชม เจ้าเด็กฉีกยิ้ม ก่อนจะทำให้ผู้ใหญ่หัวเราะขำ "หนูก็เลยน่ารัก และนิสัยดีแบบนี้ค่ะ" ชาลินียิ้มขำก่อนจะเปรยออกมาเบา ๆ "น้องน่ารักนะ ครอบครัวคงเลี้ยงมาดีมาก" ชัชญาพยักหน้ายิ้ม "ค่ะ เท่าที่หนูได้สัมผัสไม่กี่ครั้ง หนูยังรู้สึกถึงความอบอุ่นและใจดีของพวกท่านเลยค่ะ ที่จริงม๊าของน้องท่านบอกจะเอาขนมไปฝากขายที่ร้านก็ได้ ท่านไม่คิดค่าอะไร แต่หนูว่ามันจะยุ่งยากไปเพราะต้องจ้างรถไปส่งอีก" "อืม หนูโชคดีแล้วล่ะได้เจอครอบครัวคนดี ๆ แบบนี้ สรุปยังไงเนี่ย" คำถามกับรอยยิ้มของคนเป็นแม่ทำให้ลูกสาว ออกอาการขัดเขินออกมาให้เห็น "แล้วแม่ว่ายังไงละคะ" ชาลินีหัวเราะเบา ๆ ยกมือไปลูบหัวลูกสาว "แม่ไม่ว่าหรอก ก็อย่างที่แม่เคยบอกนั่นแหละ ชีวิตคู่ของแม่มันก็ไม่ได้สวยงามเท่าไหรเลย นั่นหมายถึงการมีคู่เป็นผู้ชาย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุขเสมอไป ถ้าลูกเจอคนรักที่ดี และเขาดีกับลูกแม่ก็ต้องยินดีไปด้วยสิจ๊ะ สมัยนี้ผู้หญิงด้วยกันเขาก็สามารถมีลูกได้แล้วนี่" คำพูดนั้นก็ทำให้ชัชญาระบายยิ้มกึ่งโล่งใจให้กับมารดา ก่อนต้องพากันหันไปมองหลานสาวคนใหม่ กับยายที่พากันหัวเราะคิกคัก ถูกใจอะไรก็ไม่ทันได้ฟัง "ตกลงหยุดปีใหม่นี้คุณยายไปเที่ยวกับหนูนะคะ เดี๋ยวจะพาไปสวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน" "หืม ที่ไหนลูก" "วังน้ำเขียวใกล้ ๆ นี่เองค่ะ ขับรถไม่ถึงสามชั่วโมง เดี๋ยวไปเคาท์ดาวน์สวดมนต์ข้ามปีกัน ครอบครัวหนูแค่ห้าคนเอง นะคะ หนูอยากให้คุณยายกับแม่ ได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาพักผ่อนบ้าง" คนสูงวัยยิ้ม "จริง ๆ เลยนะเราเนี่ย ช่างปะเหลาะเอาใจคนแก่ เอาเถอะไหน ๆ ก็มาจองตัวไว้ล่วงหน้าหลายเดือนแบบนี้ ถ้ายายไม่ไปจะหาว่าคนแก่เล่นตัว แต่ถ้าเป็นสมัยสาว ๆ นะ อย่าให้พูด คิวเยอะหัวกระไดบ้านไม่เคยแห้ง" คุณยายปิ่นบอกออกไปขำ ๆ ให้เจ้าเด็กที่ทำภารกิจสำเร็จจนอยากจะกระโดดร้อง ไชโยดัง ๆ แต่ทำได้แค่ยิ้มหัวเราะไปด้วย "หัวกระไดไม่แห้งนี่ เพราะฝนตกทุกวันใช่มั้ยคะ" ฮ่า ๆ หึ ๆ นั่นแหละ คือที่มาของภาพยายหลานเขาหัวเราะกัน      ขนมถ้วยของลูกค้าเจ้าแรกครบเรียบร้อย ก่อนเวลานัดสิบห้านาที และในจำนวนร้อยห้าสิบกล่องนั้น โยธกาก็มีส่วนช่วยแคะไปตั้งสามสิบกล่อง เจ้าเด็กตัวสูง ยกกล่องขนมฝีมือตัวเองขึ้นมาถ่ายเซลฟี่อย่างแสนจะภูมิใจ หลังจากนั้นก็พากันจัดขนมให้ลูกค้าที่เหลือไปเรื่อยจนครบ ลองนับจำนวนคร่าว ๆ จำนวนขนมถ้วยมันเกือบสามพันถ้วยเลยนะ  "ปกติแม่กับยายทำกันแค่สองคนทุกวันแบบนี้เหรอคะ" "จ๊ะ มันก็ไม่ได้เกินกำลังหรอก พอลูกค้ามารับเสร็จเราก็ได้พัก แล้วก็ล้างถ้วยเก็บไว้ใช้วันถัดไป ส่วนเจ้าไหนที่เขารับไปเป็นถ้วยเขาก็จะล้างมาให้แล้ว แต่เราก็ต้องมาล้างน้ำเปล่าอีกรอบมันก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย ก็ดีกว่าเป็นเป็นลูกจ้างใครนะ ถือซะว่าออกกำลังกายแล้วได้เงินทุกวัน" โยธกาพยักหน้ายิ้มกับการเปรียบเทียบของท่าน มันดีกว่าเยอะเลยล่ะ ยิ่งถ้ามีลูกค้าประจำอยู่แล้วแบบนี้ ก็แค่ทำตามออเดอร์แค่นั้น อาหารเช้าของวันนี้กว่าจะได้กินก็เก้าโมง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะพากันกินขนมกับกาแฟรองท้องกันตั้งแต่เช้ามืดแล้ว "กินข้าวเสร็จพี่พาโยทำส่วนที่จะเอากลับบ้านนะ" คนเป็นน้องพูดขึ้นกับพี่ ให้อีกคนพยักหน้า "เดี๋ยวจะพาทำขนมถ้วยหน้าพิเศษ" ชัชญาบอกพลางยิ้มปล่อยให้อีกคนทำหน้าฉงน จนกระทั่งกินข้าวเสร็จ และมารู้อีกทีก็ตอนที่พี่อุ้มเอาฟักทองลูกใหญ่กว่าหัวเธอออกมาผ่า "อยากกินบวชฟักทองมั้ย" เด็กที่เคยบอกว่าตัวเองกำลังโตกำลังกินพยักหน้ายิ้มร่าทันที จนผู้ใหญ่ต่างก็ยิ้มเอ็นดู "ไปหยิบถุงปูนแดงมาละลายน้ำให้หน่อยค่ะ ดูในตู้กับข้าวนะ" โยธกาลุกขึ้นไปเปิดตู้มองหาสิ่งที่พี่บอก เมื่อหาเจอก็ไปหยิบกาละมังสะแตนเลสใส่น้ำพอประมาณ "พี่ใส่ประมาณไหนคะ" น้องหันมาถาม "สักเท่าหัวแม่มือก็พอค่ะ" โยธกาบิเอาปูนแดงลงละลายกับน้ำก่อนจะยกมาวางลงใกล้พี่ จากนั้นก็ช่วยอีกคนฝานเปลือกฟักทอง มองดูคนเป็นพี่ ที่กำลังใช้มีดหั่นเป็นชิ้นขนาดเล็กแทบจะเป็นฝอยอยู่แล้ว "ทำไมซอยเล็กจังคะ มันจะไม่เละหมดเหรอ" "อันนี้จะเอาไปโรยหน้าขนมถ้วยค่ะ" อ๋อ เข้าใจล่ะว่าหน้าพิเศษก็คืออันนี้เองน้องพยักหน้าพลางยิ้ม  "พาน้องไปทำขนมถ้วยเถอะ บวชฟักทองเดี๋ยวแม่ทำให้" ชาลินีเอ่ยบอกทั้งสองสาว เมื่อชัชญาเอาตะแกรงตักส่วนที่จะโรยหน้าขนมมาแยกไว้ แล้วตอนนี้ทั้งคู่ก็ลงมาอยู่ในโรงครัวอีกครั้ง โยธกาที่จดจำขั้นตอนได้หมดก็นำกะทะขึ้นตั้งใส่น้ำเอาซึ้งวาง เสร็จแล้วก็เอาถ้วยตะไลมาวางเรียงกัน รอให้พี่ผสมแป้งเสร็จจะได้หยอดกัน (หยอดแป้งค่ะคุณ) "เดี๋ยวโยหยอดเองค่ะ พี่คอยบอกเวลาก็พอ อ้อ นี่ถ่ายคลิปตอนโยทำด้วยจะได้มีหลักฐานไปอวดป๊ากับม๊า" น้องส่งมือถือมาให้คนเป็นพี่ ชัชญาอดขำไม่ได้ ก่อนจะกดเข้าโหมดบันทึกวีดีโอ "ไฮทุกคน วันนี้น้องโยเยจะมาโชว์การทำขนมถ้วยแสนอร่อยนะคะ รอชมและรอชิมได้เลยค๊า" ยังมีการมาส่งเสียงทักทายอีก คนเป็นพี่ก็ถ่ายไปยิ้มไปกับท่าทางแสนทะเล้นของเจ้าเด็ก "เอาฟักทองโรยก่อนค่ะ อย่าใส่เยอะ แค่นี้พอ แล้วค่อยหยอดหน้ากะทิลงไป" ขนมถ้วยหน้าฟักทองกำลังจะออกมาเป็นรูปร่าง ส่งกลิ่นหอมขึ้นเตะจมูก เมื่อได้เวลาเปิดฝาอีกที "งืมม น่ากินที่สุดเลยค่ะ" ชัชญาอมยิ้มเข้ามายืนดูผลงานของคนที่ยิ้มกว้าง มองขนมถ้วยน่ากินด้วยสีสันของฟักทองที่ใส่ผสมลงไป "ยกลงมาให้เย็นก่อนค่ะ" โยธกายกซึ้งชุดแรกลงมาวางข้างนอก ก่อนจะเอาชุดที่สองขึ้นตั้งไฟ เพราะแป้งที่ผสมไว้ยังเหลือที่จะทำได้อีก ชัชญาคอยยืนมอง คนตั้งใจหยอดขนมไปทีล่ะถ้วยก็พลอยยิ้มไปด้วย หัวไวเหมือนกันนะนี่ มาครั้งแรกก็ทำเป็นหมดแล้ว ขณะที่โยธกากำลังรอหยอดหน้ากะทิลงไป "อ้าปากค่ะ" เมื่อหันมามองก็ต้องหลุดยิ้ม เมื่อคนเป็นพี่จ่อช้อนที่มีขนมถ้วยมารอ เธอเอาปากงับช้อนสายตาก็มองคนป้อนไปด้วยรอยยิ้ม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD