พอออกมานอกห้อง เสียงกุกกักกับแสงไฟที่โรงครัวด้านล่าง บอกให้รู้ว่ายายกับแม่คงอยู่ที่นั่นแล้ว
"พวกท่านต้องตื่นแต่เช้าแบบนี้ทุกวันเหรอคะ"
"ค่ะ นึ่งขนมใช้เวลาไม่นานหรอก แต่เสียเวลาตอนรอนี่แหละ กว่ามันจะเย็นพอที่จะแคะได้ ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง แล้วต้องมาจัดใส่กล่องอีก ให้ทันลูกค้าเจ้าแรก ที่จะมารับตอนเจ็ดโมง ส่วนลูกค้าที่เขามารับเป็นถ้วย เราก็สบายหน่อยแค่เรียงใส่กะบะไว้ให้แค่นั้น"
โยธกาพยักหน้าฟังพี่อธิบายไปด้วย สองสาวพากันลงมาที่โรงครัว
ตอนนี้โยธกาได้เห็นขั้นตอนกว่าจะออกมาเป็นขนมถ้วย อร่อย ๆ ต้องทำอะไรแบบไหน กะทะใบขนาดใหญ่มากจำนวนห้าใบ ถูกตั้งเรียงกันบนเตาแก๊สชนิดแยกหัว
ชัชญาเดินไปช่วยมารดาตักน้ำมาใส่ในกะทะ เพื่อเตรียมเอาซึ้งขึ้นวาง
"ไม่ง่วงหรือลูก ตื่นมาแต่เช้าน่ะ"
ชาลินีเอ่ยกับเด็กสาวที่มาช่วยยกซึ้งขึ้นวางในกะทะ โยธกาส่ายหน้ายิ้ม
"ตอนนี้ตาสว่างแล้วค่ะ"
"กาแฟก็มีนะถ้าจะกินน่ะ"
คนเป็นพี่เอ่ยบอกให้น้องพยักหน้า
"ไหน ๆ ก็ตื่นมาพร้อมกัน เช้านี้ก็พาน้องไปใส่บาตรด้วยสิลูก เดี๋ยวนึ่งชุดแรกไว้ ก็ไปเตรียมกับข้าวใส่บาตรนะ"
"ค่ะแม่"
มันเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน ที่ตอนเช้าก็จะนำอาหารมารอใส่บาตรพระสงฆ์ที่จะมาเดินรับบิณฑบาตตามซอยในทุก ๆ เช้า
โยธกาให้ความสนใจทุกขั้นตอนของการทำขนม จนผู้ใหญ่เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ เดี๋ยวก็มานั่งมองยายผสมแป้ง เดี๋ยวก็ไปชะเง้อดูพี่กับแม่หยอดแป้งลงถ้วย
จนกระทั่งขนมชุดแรกรอเวลาสุก เธอตามคนเป็นพี่ขึ้นมาบนเรือน เพื่อที่จะเตรียมทำอาหารไปใส่บาตรพระ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ดี สำหรับการได้มาสัมผัสชีวิตอีกแบบ
เพราะที่บ้านเธอไม่ได้มีพระมาเดินรับบิณฑบาตแบบนี้ ถ้าจะทำบุญก็คือไปถวายเพลกันที่วัดเลย
อาหารใส่บาตรชัชญาเลือกทำเมนูง่าย ๆ คือต้มจืดมะระยัดไส้หมูสับ กับไข่เจียวกุ้ง ที่น้องบอกว่าเป็นของชอบ ก็เลยทำเผื่อไว้ให้ เป็นอาหารเช้าไปด้วยเลย
ของใส่บาตรถูกแยกออกเป็นสามชุดตามจำนวนพระสงฆ์ ก่อนที่ทั้งคู่จะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปรอพระที่หน้าบ้านของเพื่อนบ้าน
ซึ่งอยู่ไม่ห่างกัน มีคนมารอใส่บาตรสี่ห้าคน ทุกคนก็พากันคุยทักทายยิ้มแย้มกันไป จนเมื่อพระท่านเดินมาและทุกคนก็ได้ใส่บาตรรับพรกันถ้วนหน้า
"เดี๋ยวไปหยาดน้ำก่อน"
คนเป็นพี่ขึ้นไปหยิบขวดน้ำเปล่าบนบ้านลงมา แล้วพากันเดินไปที่ต้นมะม่วงหน้าบ้าน โยธกายื่นมือไปแตะมือพี่ตั้งจิตอุทิศบุญกุศล ตามที่ได้รับคำสอนมา
"รู้สึกดีจังเลยค่ะ"
ชัชญาอมยิ้มเมื่อน้องเปรยขึ้นมา
"ทุกครั้งที่ได้ทำบุญก็รู้สึกแบบนี้แหละค่ะ เขาถึงบอกว่าบุญอยู่ที่ใจไง ทำแล้วใจเป็นสุข"
น้องพยักหน้ายิ้ม
"ใช่ โยยิ่งมีความสุขมากที่ได้มาทำบุญกับพี่ เขาเรียกว่าทำบุญร่วมชาติเน๊อะ"
"มั้งคะ"
คำตอบสั้น ๆ กับรอยยิ้มของพี่ ทำเอาเจ้าเด็กยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมไปแล้ว
เมื่อพากันกลับเข้าไปโรงครัวอีกทีขนมชุดแรกสุกเรียบร้อยแล้ว และชุดสองก็ใกล้จะได้ที่เหมือนกัน
ชัชญาเดินเข้าไปช่วยคนเป็นแม่ ปล่อยให้เด็กอยากรู้อยากเห็น ไปนั่งมองยาย ที่กำลังแคะขนมใส่กล่องอย่างว่องไว คุณยายปิ่นมองเด็กสาวพลางยิ้มอย่างเอ็นดู
"อยากลองทำมั้ยล่ะ"
โยธกายิ้มแหย
"หนูกลัวมันเละหมด จะไม่ได้ขายสิคะ"
คุณยายหัวเราะหึ ๆ
"ไม่เป็นไรเละเราก็กินเอง ของทำเผื่อเยอะ เอ้า ลองดูทำง่าย ๆ นี่เอาไม้พายจุ่มน้ำก่อน มันจะได้ไม่ติดแป้ง แล้วค่อยกดลงตามขอบ แล้วก็ช้อนขึ้นมาแบบนี้"
คนชำนาญทำให้ดูเหมือนง่าย แต่เด็กใหม่อย่างโยธกา จะทำมันออกมาได้สวยมั้ยต้องลอง
"สงสัยหนูจะได้กินขนมจนท้องแตกวันนี้แหละ"
เจ้าเด็กพูดไปก็หัวเราะไป ให้ผู้ใหญ่ขำตาม
"แหง่ววว แตกอ่ะ"
อันแรกแตกไปแล้วเพราะยังไม่รู้จังหวะ
"ไม่เป็นไรค่อย ๆ ช้อนมือเบา ๆ เรายังไม่คล่อง"
คุณยายบอกอย่างใจดี คอยมองคนที่ดูจะตั้งอกตั้งใจ งัดขนมจากถ้วยยังกับกลัวมันแตกสลาย ก็พรายยิ้มเอ็นดู
และเด็กหัวไวก็สามารถทำมันออกมาได้ไม่บุบสลายในที่สุด แต่ก็ทำมันเละเทะ ไปหลายชิ้นเหมือนกัน สองแม่ลูกที่คอยแอบมองตลอดก็พากันยิ้มไปด้วย
"คุณยายมีโรคประจำตัวหรือเปล่าคะตอนนี้"
เมื่อเริ่มแคะขนมคล่องแล้ว โยธกาก็ชวนผู้สูงวัยคุยไปด้วย
"ก็มีความดันนิดหน่อยกับเบาหวานนั่นแหละ แต่หมอเขาบอกอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ถ้าเราดูแลดี ๆ ก็แทบจะเหมือนคนปกติ ยายก็นาน ๆ ไปเอายามากินที
แต่ก็ต้องตรวจเลือดวัดความดันทุกเดือน มันก็โรคคนแก่นั่นแหละหนู เป็นแค่นี้ถือว่ายังดี บางคนก็ป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ น่าสงสารเป็นภาระลูกหลานไปอีก"
โยธกาพยักหน้าเข้าใจ
"คุณยายยังแข็งแรงอยู่เลยค่ะ ไม่บอกอายุหนูก็คงเดาว่าหกสิบต้น ๆ แค่นั้นแหละ แล้วโรคปวดแข้งปวดขาไม่มีใช่มั้ยคะ"
"ปวดขามันก็มีบ้าง ถ้าไปเดินนาน ๆหรือยืนทำอะไรนาน ๆ น่ะ แก่แล้ว กระดูกกระเดี้ยวมันก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงเหมือนตอนสาว ๆ หรอก สมัยสาว ๆ เท่าหนูนี่ ยายเดินจากคลองหนึ่งมานี่ยังไหวเลย"
คุณยายเล่าไปขำไป ให้เจ้าเด็กหัวเราะไปด้วย
"คุณยายทำให้หนูคิดถึงอาม่าเลยค่ะ แกชอบเล่าเรื่องสมัยสาว ๆ ให้ฟัง ว่าเมื่อก่อน มันไม่ได้มีรถราเยอะอย่างทุกวันนี้ บางทีต้องใช้วิธีการเดิน หากจะต้องไปซื้อของให้นายจ้าง
ขากลับก็ต้องหอบหิ้วของพะรุงพะรังจนแทบไม่เห็นตัวคน แกบอกลูกหลานสมัยนี้เกิดมาสบายกันเยอะ ไปไหนก็แทบจะไม่ต้องเดินกันเลย"
คุณยายฟังไปก็ยิ้มไปด้วย เพราะมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ขนาดเด็กอายุไม่กี่ขวบก็ขี่จักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์กันเป็นแล้ว
"แล้วตอนนี้ตายายหนูยังอยู่มั้ยล่ะ"
โยธกาส่ายหน้าแต่ก็ยังยิ้ม
"เสียไปเกือบสิบปีแล้วค่ะ ตาเสียก่อนยายสามปี ท่านก็เป็นโรคชรานี่ละค่ะไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรงอะไร อายุก็แปดสิบกว่าทั้งคู่เลย แต่ฝั่งปู่ย่าเสียไปตั้งแต่หนูยังไม่เกิดเลยค่ะ"
ยายปิ่นพยักหน้าไปด้วย ส่วนเจ้าเด็กก็เงยหน้ามายิ้มให้
"คุณยายไม่ชอบนั่งรถไปไหนไกล ๆเพราะปวดเมื่อยเหรอคะ"
หึ ๆ คนสูงวัยหัวเราะ พลางพยักหน้าไปด้วย
"มันก็ไม่เชิงว่าไม่ชอบหรอก แต่ว่าเราอาศัยไปกับคนอื่นเขา บางทีด้วยอายุเราจะเดินเหินให้มันคล่องแคล่วเหมือนหนุ่มสาวเขาก็ไม่ได้ จะไปไหนทีก็ต้องมีใครคอยจับจูง ยายก็เลยไม่ค่อยไปเที่ยวไหนหรอก ไม่อยากเป็นภาระ ยกเว้นจะไปวัดกับเพื่อนบ้านวัยเดียวกันนั่นแหละ
จริงๆถ้าจะซื้อรถเองมันก็พอซื้อได้แต่ยายเป็นห่วงทั้งลูกทั้งหลาน ไม่อยากให้ขับ เพราะลูกชายหรือลุงของยัยจ๋าน่ะ เขาเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม ก็เรื่องรถนี่แหละ ยายก็เลยเป็นห่วง ยิ่งเป็นผู้หญิงเกิดกลางค่ำกลางคืน รถไปเสียก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง"
โยธกาได้เข้าใจเหตุผลของคนสูงวัยตอนนี้เอง
"อันนี้หนูเห็นด้วยนะคะเรื่องผู้หญิงขับรถเอง ถ้าต้องขับในระยะทางไกลบ่อย ๆ ก็ควรจะมีความรู้เรื่องเครื่องยนต์บ้าง แต่ถ้าขับในเส้นทางไม่ไกลหรือไม่อันตรายก็คงไม่เป็นไร อย่างพี่จ๋า หนูว่าไม่มีรถเองดีแล้วค่ะ"
"ทำไมหนูคิดงั้นล่ะ"
คนสูงวัยเอ่ยถามให้เจ้าเด็กอมยิ้ม
"เพราะหนูจะเป็นคนขับให้พี่เขานั่งเองค่ะ หนูพอมีความรู้เรื่องเครื่องยนต์อยู่บ้าง เพราะลุงหนูเขามีอู่ซ่อมรถหนูเคยไปเป็นเด็กช่าง ตอนปิดเทอมค่ะ แล้วก็ ถึงหนูจะเป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักและบอบบาง แต่หนูพอมีวิชาป้องกันตัวอยู่บ้าง
ถ้าเกิดคนร้ายไม่มาแบบหมาหมู่ หนูก็พอจะเอาตัวรอดได้นะคะ และที่สำคัญต่อไปหนูจะพาคุณยายคุณแม่กับพี่จ๋าไปเที่ยว เปิดหูเปิดตาบ้างดีมั้ยคะ"
คุณยายปิ่นฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เด็กคนนี้ช่างรู้จักเข้าหาเอาใจผู้ใหญ่
"ไม่รำคาญคนแก่รึ จะเอายายไปเป็นภาระทำไมสาว ๆ อยากไปก็ไปเถอะเที่ยวกันให้สนุก"
"ไม่เป็นภาระอะไรเลยค่ะ คุณยายอย่าคิดแบบนั้นสิ ต่อไปพวกหนูก็ต้องแก่เหมือนกัน ถ้าลูกหลานทุกคน มองผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นภาระ ถ้าหนูเจอแบบนั้นหนูก็คงรู้สึกแย่นะคะ
ครอบครัวหนูสอนเสมอ ว่าอย่ารังเกียจคนสูงวัย ยิ่งถ้าท่านร่างกายไม่แข็งแรงแล้ว เรายิ่งต้องเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ มีเวลาก็หมั่นพาพวกท่านไปเที่ยว ไปทานอาหารดี ๆ ทำให้ท่านมีความสุข เหมือนกับตอนที่ท่านเลี้ยงดูเรามาอย่างดีจนเติบใหญ่"
คำพูดของเด็กสาวไม่เพียงแต่ทำให้คุณยายอึ้ง ชาลินีกับชัชญาที่ได้ยินทุกอย่าง ก็อึ้งไปด้วยเช่นกัน
"ครอบครัวหนูอบรมสั่งสอนลูกมาดีจริง ๆ"
หญิงสูงวัยกล่าวชมไปถึงบุพการีของเด็กตรงหน้าอย่างชื่นชม เจ้าเด็กฉีกยิ้ม ก่อนจะทำให้ผู้ใหญ่หัวเราะขำ
"หนูก็เลยน่ารัก และนิสัยดีแบบนี้ค่ะ"
ชาลินียิ้มขำก่อนจะเปรยออกมาเบา ๆ
"น้องน่ารักนะ ครอบครัวคงเลี้ยงมาดีมาก"
ชัชญาพยักหน้ายิ้ม
"ค่ะ เท่าที่หนูได้สัมผัสไม่กี่ครั้ง หนูยังรู้สึกถึงความอบอุ่นและใจดีของพวกท่านเลยค่ะ ที่จริงม๊าของน้องท่านบอกจะเอาขนมไปฝากขายที่ร้านก็ได้ ท่านไม่คิดค่าอะไร แต่หนูว่ามันจะยุ่งยากไปเพราะต้องจ้างรถไปส่งอีก"
"อืม หนูโชคดีแล้วล่ะได้เจอครอบครัวคนดี ๆ แบบนี้ สรุปยังไงเนี่ย"
คำถามกับรอยยิ้มของคนเป็นแม่ทำให้ลูกสาว ออกอาการขัดเขินออกมาให้เห็น
"แล้วแม่ว่ายังไงละคะ"
ชาลินีหัวเราะเบา ๆ ยกมือไปลูบหัวลูกสาว
"แม่ไม่ว่าหรอก ก็อย่างที่แม่เคยบอกนั่นแหละ ชีวิตคู่ของแม่มันก็ไม่ได้สวยงามเท่าไหรเลย นั่นหมายถึงการมีคู่เป็นผู้ชาย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุขเสมอไป
ถ้าลูกเจอคนรักที่ดี และเขาดีกับลูกแม่ก็ต้องยินดีไปด้วยสิจ๊ะ สมัยนี้ผู้หญิงด้วยกันเขาก็สามารถมีลูกได้แล้วนี่"
คำพูดนั้นก็ทำให้ชัชญาระบายยิ้มกึ่งโล่งใจให้กับมารดา ก่อนต้องพากันหันไปมองหลานสาวคนใหม่ กับยายที่พากันหัวเราะคิกคัก ถูกใจอะไรก็ไม่ทันได้ฟัง
"ตกลงหยุดปีใหม่นี้คุณยายไปเที่ยวกับหนูนะคะ เดี๋ยวจะพาไปสวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน"
"หืม ที่ไหนลูก"
"วังน้ำเขียวใกล้ ๆ นี่เองค่ะ ขับรถไม่ถึงสามชั่วโมง เดี๋ยวไปเคาท์ดาวน์สวดมนต์ข้ามปีกัน ครอบครัวหนูแค่ห้าคนเอง นะคะ หนูอยากให้คุณยายกับแม่ ได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาพักผ่อนบ้าง"
คนสูงวัยยิ้ม
"จริง ๆ เลยนะเราเนี่ย ช่างปะเหลาะเอาใจคนแก่ เอาเถอะไหน ๆ ก็มาจองตัวไว้ล่วงหน้าหลายเดือนแบบนี้ ถ้ายายไม่ไปจะหาว่าคนแก่เล่นตัว แต่ถ้าเป็นสมัยสาว ๆ นะ อย่าให้พูด คิวเยอะหัวกระไดบ้านไม่เคยแห้ง"
คุณยายปิ่นบอกออกไปขำ ๆ
ให้เจ้าเด็กที่ทำภารกิจสำเร็จจนอยากจะกระโดดร้อง ไชโยดัง ๆ แต่ทำได้แค่ยิ้มหัวเราะไปด้วย
"หัวกระไดไม่แห้งนี่ เพราะฝนตกทุกวันใช่มั้ยคะ"
ฮ่า ๆ หึ ๆ นั่นแหละ คือที่มาของภาพยายหลานเขาหัวเราะกัน
ขนมถ้วยของลูกค้าเจ้าแรกครบเรียบร้อย ก่อนเวลานัดสิบห้านาที และในจำนวนร้อยห้าสิบกล่องนั้น โยธกาก็มีส่วนช่วยแคะไปตั้งสามสิบกล่อง เจ้าเด็กตัวสูง ยกกล่องขนมฝีมือตัวเองขึ้นมาถ่ายเซลฟี่อย่างแสนจะภูมิใจ
หลังจากนั้นก็พากันจัดขนมให้ลูกค้าที่เหลือไปเรื่อยจนครบ ลองนับจำนวนคร่าว ๆ จำนวนขนมถ้วยมันเกือบสามพันถ้วยเลยนะ
"ปกติแม่กับยายทำกันแค่สองคนทุกวันแบบนี้เหรอคะ"
"จ๊ะ มันก็ไม่ได้เกินกำลังหรอก พอลูกค้ามารับเสร็จเราก็ได้พัก แล้วก็ล้างถ้วยเก็บไว้ใช้วันถัดไป ส่วนเจ้าไหนที่เขารับไปเป็นถ้วยเขาก็จะล้างมาให้แล้ว
แต่เราก็ต้องมาล้างน้ำเปล่าอีกรอบมันก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย ก็ดีกว่าเป็นเป็นลูกจ้างใครนะ ถือซะว่าออกกำลังกายแล้วได้เงินทุกวัน"
โยธกาพยักหน้ายิ้มกับการเปรียบเทียบของท่าน มันดีกว่าเยอะเลยล่ะ ยิ่งถ้ามีลูกค้าประจำอยู่แล้วแบบนี้ ก็แค่ทำตามออเดอร์แค่นั้น
อาหารเช้าของวันนี้กว่าจะได้กินก็เก้าโมง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะพากันกินขนมกับกาแฟรองท้องกันตั้งแต่เช้ามืดแล้ว
"กินข้าวเสร็จพี่พาโยทำส่วนที่จะเอากลับบ้านนะ"
คนเป็นน้องพูดขึ้นกับพี่ ให้อีกคนพยักหน้า
"เดี๋ยวจะพาทำขนมถ้วยหน้าพิเศษ"
ชัชญาบอกพลางยิ้มปล่อยให้อีกคนทำหน้าฉงน จนกระทั่งกินข้าวเสร็จ และมารู้อีกทีก็ตอนที่พี่อุ้มเอาฟักทองลูกใหญ่กว่าหัวเธอออกมาผ่า
"อยากกินบวชฟักทองมั้ย"
เด็กที่เคยบอกว่าตัวเองกำลังโตกำลังกินพยักหน้ายิ้มร่าทันที จนผู้ใหญ่ต่างก็ยิ้มเอ็นดู
"ไปหยิบถุงปูนแดงมาละลายน้ำให้หน่อยค่ะ ดูในตู้กับข้าวนะ"
โยธกาลุกขึ้นไปเปิดตู้มองหาสิ่งที่พี่บอก เมื่อหาเจอก็ไปหยิบกาละมังสะแตนเลสใส่น้ำพอประมาณ
"พี่ใส่ประมาณไหนคะ"
น้องหันมาถาม
"สักเท่าหัวแม่มือก็พอค่ะ"
โยธกาบิเอาปูนแดงลงละลายกับน้ำก่อนจะยกมาวางลงใกล้พี่ จากนั้นก็ช่วยอีกคนฝานเปลือกฟักทอง มองดูคนเป็นพี่ ที่กำลังใช้มีดหั่นเป็นชิ้นขนาดเล็กแทบจะเป็นฝอยอยู่แล้ว
"ทำไมซอยเล็กจังคะ มันจะไม่เละหมดเหรอ"
"อันนี้จะเอาไปโรยหน้าขนมถ้วยค่ะ"
อ๋อ เข้าใจล่ะว่าหน้าพิเศษก็คืออันนี้เองน้องพยักหน้าพลางยิ้ม
"พาน้องไปทำขนมถ้วยเถอะ บวชฟักทองเดี๋ยวแม่ทำให้"
ชาลินีเอ่ยบอกทั้งสองสาว เมื่อชัชญาเอาตะแกรงตักส่วนที่จะโรยหน้าขนมมาแยกไว้
แล้วตอนนี้ทั้งคู่ก็ลงมาอยู่ในโรงครัวอีกครั้ง โยธกาที่จดจำขั้นตอนได้หมดก็นำกะทะขึ้นตั้งใส่น้ำเอาซึ้งวาง เสร็จแล้วก็เอาถ้วยตะไลมาวางเรียงกัน รอให้พี่ผสมแป้งเสร็จจะได้หยอดกัน (หยอดแป้งค่ะคุณ)
"เดี๋ยวโยหยอดเองค่ะ พี่คอยบอกเวลาก็พอ อ้อ นี่ถ่ายคลิปตอนโยทำด้วยจะได้มีหลักฐานไปอวดป๊ากับม๊า"
น้องส่งมือถือมาให้คนเป็นพี่ ชัชญาอดขำไม่ได้ ก่อนจะกดเข้าโหมดบันทึกวีดีโอ
"ไฮทุกคน วันนี้น้องโยเยจะมาโชว์การทำขนมถ้วยแสนอร่อยนะคะ รอชมและรอชิมได้เลยค๊า"
ยังมีการมาส่งเสียงทักทายอีก คนเป็นพี่ก็ถ่ายไปยิ้มไปกับท่าทางแสนทะเล้นของเจ้าเด็ก
"เอาฟักทองโรยก่อนค่ะ อย่าใส่เยอะ แค่นี้พอ แล้วค่อยหยอดหน้ากะทิลงไป"
ขนมถ้วยหน้าฟักทองกำลังจะออกมาเป็นรูปร่าง ส่งกลิ่นหอมขึ้นเตะจมูก เมื่อได้เวลาเปิดฝาอีกที
"งืมม น่ากินที่สุดเลยค่ะ"
ชัชญาอมยิ้มเข้ามายืนดูผลงานของคนที่ยิ้มกว้าง มองขนมถ้วยน่ากินด้วยสีสันของฟักทองที่ใส่ผสมลงไป
"ยกลงมาให้เย็นก่อนค่ะ"
โยธกายกซึ้งชุดแรกลงมาวางข้างนอก ก่อนจะเอาชุดที่สองขึ้นตั้งไฟ เพราะแป้งที่ผสมไว้ยังเหลือที่จะทำได้อีก
ชัชญาคอยยืนมอง คนตั้งใจหยอดขนมไปทีล่ะถ้วยก็พลอยยิ้มไปด้วย หัวไวเหมือนกันนะนี่ มาครั้งแรกก็ทำเป็นหมดแล้ว ขณะที่โยธกากำลังรอหยอดหน้ากะทิลงไป
"อ้าปากค่ะ"
เมื่อหันมามองก็ต้องหลุดยิ้ม เมื่อคนเป็นพี่จ่อช้อนที่มีขนมถ้วยมารอ เธอเอาปากงับช้อนสายตาก็มองคนป้อนไปด้วยรอยยิ้ม