บทที่ 7 ย่ามหาภัย

1740 Words
“นังเด็กเสียเงินคนนี้ นอกจากสำออยทำเป็นป่วยมาหลายวัน ในที่สุดก็หางโผล่ออกมาแล้วใช่ไหม หายดีแล้วทำไมหล่อนไม่ตามนังเหม่ยฟางไปทำงานที่ทุ่งฮะ! แล้วไหนเมื่อวานยังทำให้เจ้าเว่ยตงไม่ไปช่วยงานจนเสียคะแนนอีก นังเด็กเสียเงิน แกมันคนไร้ประโยชน์จริง ๆ” “พ่อไปหาข้าวมาให้ฉัน เพราะที่บ้านไม่มีข้าวให้ครอบครัวเรากิน ส่วนแม่ก็ทำงานงก ๆ อยู่ในทุ่งเพื่อให้บ้านมีแต้มแลกข้าวมาเยอะ ๆ แต่เราไม่เคยกินกันจนอิ่มเลย” “นังเด็กคนนี้ นี่กล้าขึ้นเสียงกับผู้ใหญ่งั้นเหรอ ดี! นังสะใภ้คนนี้เลี้ยงไม่เชื่องอย่างที่ฉันคิดจริง ๆ ถึงขนาดเสี้ยมสอนลูกสาวเลว ๆ แบบนี้ออกมาได้” นางหวังซื่อโมโหจนตัวสั่นไปหมด ชี้หน้าด่าเว่ยซิ่วอิงจนนิ้วแทบทิ่มตา “แล้วที่ฉันพูดมันผิดตรงไหน เราทั้งสามคนทำงานงก ๆ เลี้ยงคนทั้งครอบครัว นี่มันมีความยุติธรรมตรงไหนกัน นอกจากนี้พอพ่อไม่ยอมให้ฉันแต่งงานกับคนที่คุณหามา ก็มาว่าเราไร้ประโยชน์ มันก็แค่คุณไม่ได้อย่างใจเท่านั้นแหละ” “นัง! นังเด็กเสียของ” หวังซื่อไม่คิดว่าจะโดนเด็กรุ่นหลังพูดถอนหงอกตนขนาดนี้ รีบยกมือขึ้นหวังใช้ไม้ทุบเด็กสาวตรงหน้าให้ตาย ๆ ไปเสีย อย่างไรมันก็ไร้ประโยชน์ พ่อแม่ไม่ยอมให้แต่งงานกับชายม่ายฟง อย่างนั้นเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้ฟาดให้ตาย ๆ ไปเสียดีกว่า ไม้ใหญ่เท่าแขนยกขึ้นหวังฟาดลงที่หัวคนเต็ม ๆ “อิงอิง!” ขณะนั้นร่างของนางเหม่ยฟางก็วิ่งโผมาจากอีกฝั่งกอดบุตรสาวหลบไม้มาได้อย่างฉิวเฉียด “ช่วยกันดีนักใช่ไหมนังตัวดี ดูซิลูกสาวตัวดีของหล่อนสั่งสอนมายังไงถึงกล้าขึ้นเสียงกับผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านอย่างนี้” นางหวังซื่อเห็นอย่างนั้นก็เคาะไม้กับพื้นสองสามครั้งอย่างข่มขู่ หากเป็นไปได้ก็ไม่ได้อยากทุบตีคน มันขาดงานไปสองสามวันกลัวว่าจะรอบหน้าจะได้เงินน้อย “ก็ถ้าผู้เฒ่าผู้แก่มันน่าเคารพ เด็กก็ต้องเคารพอยู่แล้ว แต่นี่อะไรวัน ๆ เอาแต่ตีแต่ด่า แต่ไม่เคยให้ความยุติธรรม ไม่เคยที่จะมีเมตตาต่อพวกเราบ้างเลย แล้วจะให้เอาอะไรไปนับถือ” นางเหม่ยฟางที่กำลังจะหันไปขอโทษแม่สามี ได้ยินบุตรสาวตะโกนด่าย่าตัวเองปาว ๆ ก็ตกใจจนหัวใจหล่นลงไปที่ตาตุ่ม รีบหันไปมองลูกสาวอย่างไม่อยากเชื่อ “อิงอิง!” ว่าแล้วมือบางก็ฟาดลงที่แขนบุตรสาว “ใครสั่งใครสอนให้พูดกับผู้ใหญ่แบบนั้น เด็กคนนี้ไม่ตีสักครั้งไม่ได้เลยใช่ไหม แม่ฉันตีอิงอิงแล้ว ยกโทษให้เด็กมันด้วยนะคะ อย่าทำอะไรหลานอีกเลย ฉันจะสั่งสอนลูกดี ๆ ครั้งนี้ยกโทษให้อิงอิงเถอะนะคะ” นางเหม่ยฟางตัวสั่นงันงก มองแม่สามีที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงเป็นตับหมูด้วยหัวใจที่ค้างเติ่ง มองไม้ในมือด้วยเหงื่อไหลซ่ก กลัวว่าแม่สามีจะบันดาลโทสะ “นี่…นี่…” จิงจิงที่เงียบไปพยายามสะบัดตัวออกจากมารดา เพราะตกใจมากที่ตัวเองรู้สึกเจ็บ เธอลืมคิดเรื่องนี้ไปได้อย่างไร มีวิธีทดสอบว่าฝันหรือไม่ฝันอยู่นั่นคือความเจ็บปวด เพราะในฝันแม้จะหลั่งสารอะไรออกมาเราก็ไม่เจ็บปวด อย่างมากก็เพียงชาบ้างเท่านั้น “เฮอะ นังเด็กนี่มันสำนึกซะที่ไหน ดูมันทำหน้าทำตาเข้า อย่างกับเห็นผี มันจะสำนึกว่าฉันเป็นย่าของมันที่ไหนกัน อย่างนี้มันต้องตีให้รู้จักเข็ดหลาบ ลูกสะใภ้รองไปจับนังเหม่ยฟางเอาไว้!” ว่าแล้วคุณย่าเว่ยก็สั่งให้ลูกสะใภ้รองที่ยืนดูความสนุกอยู่ไม่ไกลให้จับเหม่ยฟางออกจากทาง “แม่ แม่อย่าทำอะไรอิงอิงเลยนะคะ อิงอิงเพิ่งหายไข้ เลยยังฟั่นเฟือนไปบ้าง” “มันสำออยเพื่อไม่ต้องไปทำงานมากกว่า เมื่อกี้ยังมีแรงเถียงกับฉันอยู่เลย” หวังซื่อว่าแล้วก็เริ่มยกไม้ขึ้นตีไปยังเด็กสาว “แกหายแล้วก็ออกไปทำงานซะ นังเด็กไร้ประโยชน์ นังตัวดี กล้าด่าฉันเรอะ ฉันเป็นย่าของแก ขนาดพ่อแกยังเคารพฉัน แล้วแกมันเป็นใครกล้าดียังไงถึงด่าฉันฉอด ๆ ๆ” “โอ๊ย!!” จิงจิงที่ตกใจพยายามขยับหนีแต่เท้าพันกันจนสะดุดล้ม เมื่อกี้โดนแม่ฟาดแขนเบา ๆ ก็แล้วไปเถอะ ยังถกแขนเสื้อก้มลงมองว่ามีรอยแดงขึ้นอยู่เลย แต่ตอนนี้เมื่อเจอไม้ฟาดหลังดังปั้ก ๆ มีหรือจะทนไหว “โอ๊ย เจ็บ ฉันเจ็บ” “อิงอิง ๆ อย่าตีลูก อย่าตีหลานเลยค่ะแม่ ฮือ~” เสียงเอะอะโวยวาย ทำให้ได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน ในที่สุดเว่ยตงก็กลับมาจากหาผักป่า พลันได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยารวมกับเสียงก่นด่าของมารดาตน ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ทิ้งตะกร้าในมือจนผักป่าหล่นกระจาย รีบวิ่งกลับไปที่ห้องเล็กของตนทันที “แม่ แม่หยุดนะครับ” เว่ยตงรีบเอาตัวเข้าไปรับไม้แทนลูกสาว กอดหล่อนไว้ในอก เห็นเลือดไหลออกมาจากหน้าผากของลูกสาวแล้วได้แต่ปวดใจ เมื่อก้มลงมองก็พบว่าลูกสาวตนก็กำลังก้มมองท่อนแขน ทันใดนั้นเว่ยตงก็ชะงักไป เขาไม่ได้สนใจแรงตีจากมารดาที่ด้านหลังอีก เห็นเพียงท่อนแขนบอบบางของเด็กสาวซึ่งเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำเป็นทางยาวบ้าง เป็นจ้ำบ้าง มีทั้งรอยเก่ารอยใหม่ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” เสียงดังดั่งกัมปนาทดังขึ้นจากเฒ่าเว่ยผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว พร้อมกับลูกชายคนรอง หลานชาย และหลานสาวจากห้องรองเดินออกมาจากภายในตัวบ้าน เว่ยตงดวงตาแดงก่ำมองไปทางบิดาของตน ตอนนี้เขาสับสนมากจริง ๆ สับสนจนพูดไม่ออก “ก็นังเด็กนี่มันไม่ยอมไปทำงาน แล้วพ่อแม่มันยังแอบเอาข้าวไปให้กินอีก บ้านเราเลี้ยงคนไร้ประโยชน์ได้ที่ไหนกัน ไหนจะค่าเรียนของหยางเอ๋อร์ จุนเอ๋อร์” “ซิ่วอิงยังไม่หายป่วย อย่าเพิ่งให้ไปทำงานเลยนะคะ” นางเหม่ยฟางกรีดร้องออกมา แม้ถูกสะใภ้คนรองจับตัวเอาไว้ก็ตาม พยายามขอความเห็นใจจากพ่อสามี รู้ดีว่ามีเพียงเขาที่พูดแล้วแม่สามีจึงจะยอมหยุด “นี่มันอะไรเว่ยตง” “พ่อ อาซิ่วอิงป่วยจนเกือบตายไปรอบหนึ่ง เมื่อวานเพิ่งฟื้นมา วันนี้ยังไม่ดีขึ้น ผมขอให้ลูกได้พักจนกว่าจะหายดีได้ไหมครับ” “เฮอะ ก็แค่มันสำออย แกก็เชื่อมันไปหมดแล้ว มันก็สำออยเหมือนแม่มันนั่นแหละ ทำอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้เลย” หวังซื่ออดไม่ได้ที่จะสอดแทรก “พ่อครับ พ่อก็เห็นสภาพ…ลูกผมแล้ว” เว่ยตงนำตัวบุตรสาวออกมายืนตรงหน้า ดูเหมือนซิ่วอิงจะตกใจมากและไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย นี่ทำให้เฒ่าเว่ยรู้สึกสงสารเด็กสาวนิดหน่อย อย่างไรหน้ามือหลังมือก็เป็นเลือดเนื้อตัวเอง ยิ่งเห็นเด็กสาวที่ว่าง่ายนิสัยดี ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ตอนนี้กลับมีเลือดไหลที่หน้าผากก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้ “เลิกตีซิ่วอิงเถอะ ยิ่งตีคนก็ยิ่งป่วยหนักกว่าเดิม จะให้ลุกไปทำงานยังไงไหว” ยิ่งมองท่อนแขนที่มีรอยช้ำทั้งเก่าและใหม่ ก็รู้สึกเหมือนตนตามใจภรรยามากเกินไปจริง ๆ จึงอดพูดขึ้นมาสักคำสองคำไม่ได้ “แต่นี่มันหลายวันแล้ว นอกจากนี้ยังทำให้ลูกใหญ่ที่ไม่เคยทำอะไรไม่ดี ถึงขนาดมาลักเล็กขโมยน้อยอีก นี่มันไม่ทำให้ครอบครัวเราวุ่นวายกว่าเดิมเหรอคะ” หวังซื่อเอ่ยปากพูดกับสามี อยู่ด้วยกันมาหลายปีย่อมรู้ดีว่าเขาห่วงอะไรที่สุด จึงรีบพูดแทรกก่อนที่เว่ยตงจะได้อ้าปากพูดมากไปกว่านี้ “นอกจากนี้ตอนนี้ฉันยังเป็นห่วงเรื่องสินสอดของอาหยาง บ้านมีค่าใช้จ่ายเยอะแยะพอแล้ว ตอนนี้ทุกคนมีหน้าที่ตัวเอง มีแค่เด็ก…เว่ยซิ่วอิงที่ไม่ทำอะไรเลย ฉันก็แค่อยากจะช่วยหลานชายคนโตของเราเท่านั้นเอง” และแน่นอนว่าจี้ถูกจุด เมื่อเว่ยถงผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวคิดถึงหลานชายคนโตที่จะมาสืบทอดธูปของตน ก็พลันรู้สึกเอนเอียงไปข้างนั้นอีกรอบ “ในเมื่อทำอะไรก็ไม่ได้ อยู่บ้านก็กินเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่สู้ให้รีบ ๆ แต่งงานออกไปไม่ดีกว่าเหรอ” “เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยพูดเถอะ” แม้จะเอนเอียง แต่สิ่งที่เคยรับปากกับลูกชายคนโตไว้ก็ไม่กล้าผิดสัญญา เพราะแค่ตอนนี้ก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว “นี่…” นางหวังซื่อต้องการจะคัดค้าน “เอาตามนั้น เว่ยตง เหม่ยฟาง พาลูกเข้าไปพัก เอาเป็นให้พักอีกสองสามวันแล้วค่อยไปทำงานเถอะ” “ขอบคุณครับคุณพ่อ” “ขอบคุณค่ะคุณพ่อ” ทั้งสองรีบขอบคุณเว่ยถงทันทีก่อนพาลูกสาวหนีเข้าห้องไป “ดู๊ดู…ดูนังเด็กคนนี้ไม่มีมารยาทจะเอ่ยปากขอบคุณปู่สักหน่อยก็ไม่ได้” เสียงนางเว่ยดังตามหลังมา ขณะที่เว่ยจิงจิงตอนนี้กลับสับสนอย่างมากจนพูดไม่ออก ราวกับถูกกดปุ่มหยุดเอาไว้ชั่วคราว ทั้งร่างแข็งทื่อทำได้เพียงขยับตามแรงบังคับของบิดามารดาเท่านั้น “นี่มัน…ไม่ใช่ความฝันเหรอเนี่ย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD