บทที่ 1.
ดวงใจชีค
บทที่ 1.
"สวัสดีไอ้หลานชาย"
เสียงทุ้มหากแต่นุ่มนวลถูกเอ่ยออกมาจากปากของชายหนุ่มชาวตะวันออกกลางที่สวม*ชุดดิชดาชา โพกศีรษะด้วย**ผ้ากุตรานั้นเป็นสำเนียงไทยชัดเจนทุกถ้อยคำจนหทัยชนกทึ่งและนึกแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าพี่ชายต่างมารดาของนายหัวรามที่เป็นถึงชีคผู้ปกครองดินแดนในทะเลทรายจะพูดไทยได้ชัดขนาดนี้
"ขอบใจนายมากนะอัสมาล สำหรับของขวัญชิ้นใหญ่ที่นายมอบให้ไอ้เสือน้อยของฉัน"
ราเมศน์เอ่ยขอบใจพี่ชายต่างมารดา พร้อมกับยื่นมือไปแตะไหล่หนาเบาๆ
"ไม่เป็นไร แค่ของรับขวัญหลานชายคนแรก ฉันเต็มใจ"
ชีคอัสมาล อับดุลลา อัลมาติน เอ่ยเสียงเรียบ มือหยายื่นไปเกลี่ยแก้มยุ้ยของหลานชายตัวน้อยอย่างนึกเอ็นดู ขัดกับบุคลิกภายนอกที่ดูคล้ายจะเย็นชา
"แล้วนี่นายจะกลับวันไหน จะอยู่พักที่เกาะอีกสักวันสองวันไหมล่ะ ฉันจะได้ให้คนไปเตรียมเรือนริมน้ำให้"
ราเมศน์เอ่ยถาม เพราะอยากจะให้พี่ชายได้พักผ่อน
"คงไม่ นายก็รู้ว่าตอนนี้สถานะการณ์ที่ฟาร์ซิสไม่ค่อยจะสู้ดีนัก"
คำตอบของอัสมาลทำให้ราเมศน์ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเงียบๆ ไม่ว่าจะที่ไหนๆในโลกกลมๆใบนี้ล้วนมีแต่คนโลภที่คอยจ้องจะอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองทั้งนั้น และตอนนี้อัสมาลพี่ชายของเขาก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับปัญหาพวกนี้เช่นกัน
ในฟาร์ซิสตอนนี้กำลังเกิดสงครามกลางเมืองภายในเงียบๆ...
"น่าเสียดายที่นายอยู่ได้ไม่นาน แต่เอาเถอะ ยังไงเกาะมืดก็ยังยินดีต้อนรับนายเสมอพี่ชาย"
"ฉันคงต้องกลับล่ะ น้องสะใภ้กับเจ้าเสือตัวน้อยนี่จะได้พักผ่อน"
อัสมาลเอ่ยลา พร้อมกับพยักหน้าให้หทัยชนกที่ยกมือขึ้นไหว้เขาอย่างอ่อนน้อม
"ไว้เจอกันใหม่ ถ้ามีโอกาสบางทีฉันกับลูกเมียอาจจะได้ไปเยี่ยมนายที่ฟาร์ซิสก็เป็นได้ ยกตัวอย่างเช่นไปร่วมงานแต่งงานของนายเป็นไง"
ราเมศน์เอ่ยปากพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หากแต่คนฟังเพียงยกยิ้มขึ้นที่มุมปากเท่านั้น
"ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องรอนายนานหน่อยล่ะมั้ง หรือบางทีก็อาจจะไม่มีวันนั้น เพราะจนป่านนี้ฉันยังหาผู้หญิงที่ถูกใจไม่ได้เลยสักคน"
"นางในฮาเร็มนั่นล่ะ ไม่มีเลยรึ สักคนที่ถูกใจนาย"
"นายก็รู้ว่าฉันไม่เคยเข้าไปเหยียบที่นั่นสักที หรือบางทีฉันอาจจะต้องยุบฮาเร็มแล้วส่งพวกนางเหล่านั้นมาอยู่ที่เกาะมืดแทน ถ้านายจะรับไว้"
คำตอบของพี่ชายทำเอาราเมศน์เกือบสำลักน้ำลายตัวเอง ก่อนจะหันไปมองหน้าหทัยชนกที่หันมามองหน้าเขาทันทีด้วยแววตาคมดุที่วาววับราวกับแม่เสือ
"ไม่ดีกว่า เกรงใจ ฉันคงรับเอาไว้ไม่ได้ ขืนรับไว้เมียคงได้ฉีกร่างกายของฉันออกเป็นชิ้นๆแน่"
"ตามใจนาย แต่ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็ติดต่อไปได้ทุกเวลา
"ไม่ต้องรอหรอก มันคงไม่มีวันนั้น ฉันมันคนรักครอบครัว"
_________________________
สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง
'ณัชชา' หญิงสาวร่างเล็กบอบบางในชุดเอี๊ยมหมีทะมัดทะแมง มีกระเป๋าเป้ใบใหญ่และกล้องสะพายอยู่ทางด้านหลังกำลังวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปภายในสำนักพิมพ์อย่างรีบร้อน
วันนี้ณัชชาต้องเข้าประชุมแต่เช้า แต่ความซวยดันมาเยือนเมื่ออยู่ๆน้องเต่าคู่ใจของเธอเกินรวนและเสียเอากลางทางดื้อๆ และนั่นก็เป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ณัชชาต้องเข้าประชุมสายไปกว่าครึ่งชั่วโมง
ร่างบางลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จากนั้นก็เดินลิ่วๆตรงไปยังห้องประชุมที่อยู่ชั้นสองของสำนักพิมพ์แห่งนี้ และพอถึงณิชาก็ผลักประตูเข้าไปทันทีท่ามกลางสายตาของทุกคู่ที่พร้อมใจกันหันมาจับจ้องเธอเป็นตาเดียว
"ขอโทษค่ะพี่ๆ หนูมาสายไปหน่อย"
ณัชชาเสียงสั่นด้วยความเหนื่อย พร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมอย่างรู้สึกผิด ยิ่งทุกคนพากันหันมามองเธอเป็นตาเดียวใบหน้าจิ้มลิ้มของคนตัวเล็กก็ยิ่งถอดสี
"ประชุมจบแล้ว แบบนี้ไม่เรียกว่าหน่อยหรอกนะแม่ตัวดี"
'่จิรา' บรรณาธิการสาวประเภทสอง หรือ ที่ทุกคนในสำนักพิมพ์แห่งนี้เรียกกันว่าพี่จิ๊เอ่ยอย่างตำหนิ ทำให้ใบหน้าของณัชชาหดเล็กลงไปอีก
"เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำงานได้ ส่วนหล่อนแม่ณัชชาตามฉันไปที่ห้อง"
พูดจบร่างสูงเพรียวที่อ้อนแอ้นอรชรเกินชายของจิราก็เดินนำออกจากห้องประชุมไป ตามด้วยคนอื่นๆ คงเหลือแค่เพียงณิชาเท่านั้นที่ยังยืนหน้าจ๋อยอยู่ ก่อนที่ร่างเล็กของณัชชาจะก้าวเดินออกจากห้องประชุมไปเป็นคนสุดท้าย
"นี่ของหล่อน"
"พี่จิ๊!"
ณัชชาเรียกจิราอย่างตกใจ ก้าวเข้ามาในห้องทำงานของพี่จิ๊ไม่ถึงนาที ยังไม่ทันจะได้หย่อนก้นลงนั่งเลยด้วยซ้ำ ซองขาวที่เธอไม่เคยปราถนาจะอยากได้มัน ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าซะแล้ว
ณัชชาเป็นเด็กดีมาตลอด เธอมาสายแค่ครั้งเดียวนี่ถึงกับต้องโดนไล่ออกเลยเหรอ?
"พี่จิ๊อย่าไล่หนูออกเลยนะคะ หนูจะปรับปรุงตัว จะพยายามไม่มาสายอีก ให้โอกาสหนูนะคะ"
ณัชชาอ้อนวอนเสียงสั่นเครือ ดวงตากลมใสแดงก่ำ น้ำตาหยดน้อยคลอเบ้าและทำท่าจะไหลรินลงมาได้ทุกเมื่อ
"เพ้อเจ้ออะไรของหล่อนยะแม่ตัวดี เปิดดูซะก่อนที่จะโวยวายได้ไหม!?"
จิราแหวใส่คนตัวเล็กเสียงสูง มองค้อนแม่ตัวดีที่ตัวเองเรียกอย่างหมั่นไส้ เรื่องมโน ละเมอเพ้อพกนี่ไม่มีใครเกินแม่คนนี้เลยจริงๆ
ใบหน้าจิ้มลิ้มที่จ๋อยสนิทอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนไปทันที มือบางยื่นไปดึงซองขาวบนโต๊ะมาเปิดดู ก่อนที่ดวงตากลมใสจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นของข้างในชัดเต็มสองตา
"ตั๋วเครื่องบิน...พี่จิ๊จะให้หนูไปไหนคะ?"
ณัชชาพึมพำกับตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามจิราด้วยความสงสัย
"ดูไบ"
จิราตอบเสียงเรียบพร้อมากับยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้ณัชชาอีกหนึ่งซอง
"สกู๊ปพิเศษของเดือนหน้า หัวข้อตามติดชีวิตท่านชีคแห่งตะวันออกกลาง รายละเอียดอยู่ในนี้แล้วไปศึกษาเอา"
"ให้หนูไปจะดีเหรอพี่?"
ณัชชาถามอย่างเป็นกังวล เธอเพิ่งจะเข้ามาทำงานยังไม่ถึงปีเลยด้วยซ้ำ งานที่เธอทำอย่างมากก็มีแค่เดินเอกสารกับชงกาแฟเองด้วยซ้ำ งานใหญ่แบบนี้ไม่น่าจะตกมาถึงมือเธอได้
"จริงๆก็ไม่ใช่หล่อนหรอกที่ได้ทำสกู๊ปนี้ เป็นหน้าที่ของไอ้วิทย์มัน แต่มันก็ดันมาบอกฉันว่าไปไม่ได้เอาวินาทีสุดท้าย ฉันก็เลยไม่รู้ว่าจะหาใครมาแทน เพราะคนอื่นๆก็มีงานที่ได้รับมอบหมายให้ต้องรีบทำรีบส่งกันอยู่แล้ว เหลือก็แค่หล่อน ซึ่งฉันเองก็ไม่ไว้ใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องลองเสี่ยงดู และหล่อนเองก็จะได้พิสูจน์ฝีมือในงานชิ้นแรกนี่แหล่ะ ว่าไอ้เกีรยตินิยมที่ได้มาน่ะมันจะสมราคาคุยรึเปล่า"
ณัชชาส่งยิ้มแหยๆให้บรรณาธิการคนสวย ด้วยไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นคือคำชมหรือประชดกันแน่
"แล้วหนูต้องเดินทางวันไหนคะ?"
"คืนนี้สี่ทุ่ม"
"ฮะ!?"
ดวงตากลมใสเบิกกว้างขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองอย่างตกใจ
"หล่อนจะตกใจอะไรยะ ฉันก็บอกหล่อนอยู่นี่ไงว่าหาใครแทนไม่ทัน ไม่ต้องทำหน้าเหวอให้มันมากมายนักหรอก ไปถึงที่นู่นจะมีคนมาคอยรับหล่อนอยู่ที่สนามบิน เพราะฉะนั้นวางใจได้ย่ะ ว่าหล่อนจะไม่ถูกปล่อยเกาะหรือถูกลอยแพแน่นอน"
ณัชชาถึงกับพูดไม่ออก มันก็จริงอยู่ที่พี่จิ๊หาใครแทนไม่ทันความซวยเลยมาตกอยู่ที่เธอ แต่เธอล่ะจะเตรียมตัวทันไหม เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงเอง ไหนจะน้องเต่าที่ส่งซ่อมอีก คิดแล้วปวดหัว
"ถ้างั้นหนูกลับไปเตรียมตัวเลยนะพี่"
ณัชชาพูดขึ้นมาหลังจากที่หาเสียงของตัวเองเจอ และเมื่อจิราพยักหน้ารับรู้ ร่างเล็กก็หอบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาพร้อมกับสัมภาระพะรุงพะรังของตัวเองเดินลิ่วๆออกไปทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป...
Ranadda : เขียน