ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งวันที่ผ่านมา ยังจวนนายอำเภอกู้แห่งอำเภอฉงหลิน แคว้นเหวินหนิง รอยต่อระหว่างแคว้นหนานซาน และแคว้นฉางโจว ของดินแดนเทียนหนิงนั่นเอง
…ปัง! ...ชายหนุ่มวัย 31 หนาว ลุกจากเก้าอี้ตบโต๊ะทำงานฉาดใหญ่อย่างลืมความเจ็บปวดที่ฝ่ามือหนาไปเสียถนัดใจ เพราะมิอาจทานทนต่อความกดดันที่ผู้มาเยือนแสดงออกมานับร่วมสองเค่อแล้วนั่นเอง
“ใต้เท้าอู๋ ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ เร่งพูดออกมาให้มันชัดเจนจะดีกว่าหรอกหรือ…เช่นไรวันนี้ใต้เท้าก็มากอำนาจกว่าเสี่ยวกวน3 อยู่แล้ว"
ชายหนุ่มวัยต้น 30 กายสูงโปร่งเช่นบัณฑิตผู้คงแก่เรียน ซึ่งในยามนี้นั้นเขากำลังเปิดเผยความโมโหจนใบหน้าแดงจัด ทว่าอีกฝ่ายกลับนั่งขยับฝาของถ้วยน้ำชาดูใจเย็นอย่างยิ่ง มิใส่ใจต่อกิริยาเดือดดาลที่อีกฝ่ายแสดงออกทั้งสิ้น เส้นผมสีขาวนั้นยิ่งทำให้กิริยาเขาดูเยือกเย็นสุขุมข่มผู้มากวัยกว่าได้จนมิด
“ไยท่านนายอำเภอกู้จึงดูเกรี้ยวกราดยิ่งนัก…ถึงเปิ่นกวน4 จะเคยรัก…ไม่ถูก…ก็เพียงคิดว่าถูกใจกู้ฮูหยินมาก่อน จนถึงขั้นเร่งหมั้นหมายมิดูคนให้ดี ทว่า…เปิ่นกวนเองก็มิได้หน้ามืดตามัว จะดึงดันเอาสตรีที่มีทั้งสามีและบุตรแล้วกลับไปด้วยหรอก…มิได้หน้ามืดตามัวสิ้นคิดถึงปานนั้น...ท่านนายอำเภอกู้จงอย่าได้ว้าวุ่นใจไปเลย...หึ...หึ...หึ”
...การทรมานเหยื่อให้ตื่นตระหนกก่อนลงดาบสังหาร ล้วนเป็นแนวทางถนัดของท่านผู้บังคับการอู๋ผู้นี้มาเนิ่นนาน...
ซึ่งบุรุษผู้มีใบหน้ายังอ่อนเยาว์ ทว่ากลับมีเส้นผมหงอกขาวโพลนไปทั้งศีรษะเอ่ยเนิบช้า สีหน้านั้นก็แสนจะสงบเยือกเย็น ดูแล้วคาดเดาอารมณ์เขามิออกสักนิด ย่อมแน่นอนว่านายอำเภอเล็ก ๆ หรือจะไปคาดเดาองครักษ์หลวงแห่งหน่วยพยัคฆ์ดำ อันขึ้นชื่อต่อความร้ายกาจและโหดเหี้ยมที่สุดแห่งเทียนหนิงไปได้
“เช่นนั้นใต้เท้าอู๋ก็จงได้โปรดเมตตาเสี่ยวกวน ช่วยชี้แนะสักนิดเถิด ว่าแท้จริงใต้เท้าอู๋มาเยือนวันนี้จุดประสงค์นั้นแท้จริงคือสิ่งใดกันแน่?!”
นายอำเภอกู้หรือก็คือกู้หยวนจิ้ง อดีตเขานั้นเคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักดาบเดียวกันกับอู๋เหล่ยอยู่ช่วงสั้น ๆ หรือบัดนี้เขาก็คือใต้เท้าอู๋ องครักษ์หลวงป้ายทอง ขุนนางขั้น 3 ที่แม้แต่ผู้ตรวจการ หรือถิงเว่ย ไปจนถึงเจ้ากรมอาญา ยังต้องเกรงใจบุรุษผมขาวผู้นี้...เรียกว่าในเทียนหนิงนั้น มีไม่กี่คนที่อู๋เหล่ยต้องก้มศีรษะคารวะให้ ซึ่งแน่แท้หนึ่งในคนเหล่านั้น ย่อมไม่มีอดีตสหายร่วมสำนักเช่นกู้หยวนจิ้งผู้นี้รวมอยู่ด้วยเป็นแน่
“เช่นนั้น…”
พยัคฆ์ต่อให้ไร้เขี้ยวก็ยังมีเล็บคม พร้อมฉีกกระชากเนื้อเหยื่อให้สิ้นใจไปต่อหน้า โดยสิ้นไร้ปรานีอยู่เสมอเช่นไร องครักษ์หน่วยพยัคฆ์ดำที่จะปลดตนเองออกจากสถานะคนสนิทท่านอ๋องห้า ทว่าบัดนี้ตำแหน่งผู้บังคับการด้านวางแผนก็ยังเป็นเขาอยู่ แล้วยิ่งเขายังมีป้ายทองอยู่ในกำมือเช่นใต้เท้าอู๋เหล่ย ที่ต่อให้สิ้น วรยุทธ์ ทว่าปัญญาของเขาก็มิได้สิ้นไร้ไปด้วยหาไม่ เพราะเขานอกจากเป็นผู้บังคับการด้านวางแผน ใต้เท้าอู๋เขาผู้นี้ยังคงเป็นหนึ่งในคณะอาจารย์ของสำนักฝึกฝนองครักษ์หลวงรุ่นใหม่อีกด้วย
“หากเปิ่นกวนกล่าวว่าต้องการ…สินสอดที่เคยหมั้นหมายให้แก่กู้ฮูหยินเป็นสิบเท่า เป็นสิ่งชดเชยที่ท่านแอบขโมยว่าที่เจ้าสาวมาเป็นภรรยาตนเอง ทำให้ขุนนางขั้นสามเช่นเปิ่นกวน ต้องอับอายขายหน้าเล่า?…ท่านนายอำเภอกู้ก็คง…มิขัดข้องกระมัง...หึ...หึ...หึ...”
…เพล้ง! …
มือไม้ของคนผู้เคยข่มเหงคนที่ต่ำต้อยกว่ามาโดยตลอด ถึงกับพลันสิ้นแรงในยามที่เขาได้ฟังสิ่งที่อดีตคู่หมั้นของภรรยาตนเองเรียกร้อง
...ก็หากมากมายเพียงนั้น ขายทรัพย์ที่ยังพอมี เหลือยังมิถึงสามในสิบส่วนเลยนะสิ! ...
ก็ในอดีตเขาเคยเหยียบย่ำดูแคลนเจ้าเด็กแซ่อู๋ ที่มีมารดาเป็นเพียงหญิงหม้ายขายน้ำเต้าหู้ประทังชีวิต สุดท้ายวันหนึ่งเจ้าเด็กที่เขาขยันซ้อม มันกลายเป็นบุตรนอกสมรสของท่านแม่ทัพคู่พระทัย ขององค์ฮ่องเต้ของเทียนหนิงไปได้เช่นในทุกวันนี้
เช่นนั้นเมื่อมันคิดจะหมั้นว่าที่อู๋ฮูหยินจึงมิได้กระจอก มีทั้งผ้าไหมแพรมันหลายสิบพับ ทว่านั่นมิน่าหนักใจเท่าทองคำแท้ ๆ ถึงห้าพันตำลึงทอง เพียงเท่านี้ต่อให้เขาขายจวนและทรัพย์สินที่ไร่ที่นาจนหมด เกรงว่าอาจยังไม่พอชดเชยค่าสินสอดของหมั้น ที่คนนั่งจิบน้ำชาด้วยกิริยาไร้ทุกข์มันต้องการเสียเป็นแน่ และโทษร้ายแรงยังมีมาก ไปกระทบถึงตำแหน่งนายอำเภอของตนไปด้วยหากเกิดการฟ้องร้องในอนาคต
หากเป็นเมื่อครั้งก่อนที่จะสิ้นบิดาเมื่อสองหนาวก่อนนี้ กู้หยวนจิ้งย่อมมิสะเทือนที่จะจ่ายคืนสินสอดพร้อมค่าชดเชยที่อู๋เหล่ยเรียกร้อง ทว่าบัดนี้...ทรัพย์สินมากมายที่เขาคดโกงมาจากเหล่าน้อง ๆ กลับสลายหายไปในบ่อนเสียเกือบหมดแล้ว
"แต่...หากท่านนายอำเภอกู้มิอยากจะจ่ายสินสอดคืนแม้แต่อีแปะเดียวแล้ว อาจจะได้ทองคำมาเติมให้กำลังทรัพย์ท่านพอจะเอาไปละลายเล่นในบ่อนแล้วนั้น..."
ดวงตาสีเงินยวงถูกหนังตาปกปิดแววร้ายกาจเอาไว้มิดชิด ส่วนริมฝีปากเรียวสวยเกินสตรีนั้น กลับโค้งขึ้นทว่าหาได้น่าดู แต่มันกลับแสนจะน่ากลัวดังกับเป็นรอยยิ้มของพญายมราช ที่กำลังส่งมาให้กู้หยวนจิ้ง อย่างไรอย่างนั้น
"เปิ่นกวนทราบมาว่า...ท้ายจวนนี้ ท่านนายอำเภอกู้ยังมีน้องสาวสุดที่รัก นามว่ากู้เฝิงซี หลงเหลืออยู่หนึ่งนาง...หากอีกสามวันท่านนายอำเภอกู้จัดการส่งนางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว ไปยังจวนสกุลอู๋ด้วยร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง...นอกจากจะมิต้องจ่ายสินสอดคืนแก่เปิ่นกวนสักอีแปะ ทว่า...ท่านยังจะได้ค่าสินสอดเป็นทองคำบริสุทธิ์เท่ากับน้ำหนักตัวของกู้เฝิงซีอีกด้วย"
...ทองคำบริสุทธิ์เท่าน้ำหนักตัวของกู้เฝิงซี! ...
ดวงตาของคนโลภแวววาวโชนแสง ก้อนหินเดินได้จับจ้องนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดเช่นเดิม ก่อนจะทิ้งประโยคบีบคั้นผสานล่อลวงเอาไว้เล็กน้อย ก่อนจะจากลาโดยไม่รอฟังคำตอบ แต่เขาเร่งกลับฉางโจวเพื่อไปจัดขบวนมารับตัวเจ้าสาวในอีกเจ็ดวันด้วยเกินจะมั่นใจคำตอบย่อมมีหนึ่งเดียว
"เช่นนี้เปิ่นกวนก็คงมีเพียงคำกล่าวที่ว่า 'จะรับสินสอด หรือจะชดใช้ คงลำบากท่านต้องเลือกแล้ว 'ถูกหรือไม่ท่านนายอำเภอกู้ เอาละหากท่านตัดสินใจเช่นไรก็ขอเร่งสักหน่อย เปิ่นกวนทิ้งคนของจวนสกุลอู๋เอาไว้โดยรอบจวนสกุลกู้แล้ว ท่านก็...ค่อย ๆ คิดทบทวนให้แจ้งใจเถิด...ขอลา"
คำกล่าวนี้ของผู้มาเยือนในยามใกล้ค่ำ มันดังก้องสะท้อนไปสะท้อนมาในหัวของคนโลภทั้งสองผัวเมียแซ่กู้ไม่หยุด ต่อให้ "แขก" ในยามเย็นจากไปนานกว่าชั่วยาม ท่านนายอำเภอหนุ่มก็ยังนั่งนิ่งอึ้ง เพราะคาดไม่ถึงกับข้อเสนอที่แสนจะโง่งมในความคิดของคนมากเล่ห์กลเช่นเขา
ก็หากน้องสาวลำดับที่เก้าผู้นั้นนางงดงามล่มเมือง เขาก็มิคิดมาก ทว่ากู้เฝิงซีนั้นห่างไกลจากคำงดงามอย่างยิ่ง นางมีใบหน้าจืดซีดขาวจนดูคล้ายศพเดินได้ รูปร่างก็อวบเกินกว่าจะเป็นสาวงาม ขาแขนก็สั้นมิโปร่งระหงชวนมอง ที่มีดีพอให้มองเห็นได้คงมีเพียงอย่างเดียวในกายกู้เฝิงซี ก็คงเป็นผิว...นางมีผิวขาวราวน้ำนมและเนียนละเอียดมาก นอกจากนั้นเขาที่เป็นบุรุษผู้หนึ่ง มิอาจมองว่าน้องสาวนางนี้มีสิ่งใดที่ไปสะดุดตาบุรุษไปได้เลย
"ท่านพี่..."
กู้ฮูหยินนางตาโตตั้งแต่ได้ฟังว่าจะได้ค่าสินสอดเป็นทองคำบริสุทธิ์ เท่าน้ำหนักตัวของน้องสามี นั่นแล้ว...ก็...เด็กสาวนางนั้นอวบอ้วนมิใช่น้อย น้ำหนักนางย่อมมิใช่น้อย เพียงคิดเลือดในกายของคนโลภก็ระอุเดือดไปด้วยความตื่นเต้นแล้ว
ในอดีตนางคิดว่ากู้หยวนจิ้งคุณชายใหญ่สกุลกู้นั้นร่ำรวยที่สุดในอำเภอนี้ แล้วยิ่งเมื่อสามหนาวก่อน อู๋เหล่ยคู่หมั้นหนุ่มเงียบหายราวกับตายจาก ประจวบเหมาะกับกู้หยวนจิ้งสอบจอหงวน5 แข่งขันจนได้มาเป็นนายอำเภอ ต่อจากบิดาที่ถึงวัยปลดตนเองเพราะร่างกายอ่อนแอ
คนที่รักความสบายเช่นนางนั้น จึงตัดสินใจยั่วยวนอดีตคู่แค้นของคู่หมั้น และด้วยความงดงามระดับเทพธิดาผู้ถือโคมในฤดูเก็บเกี่ยวถึงสี่หนาวซ้อน มีหรือนางจะพลาดโอกาสสุดท้ายนาง ก็ได้ตกแต่งเป็น กู้ฮูหยินสมใจ แต่วันนี้ได้เห็นความมั่นคงของอดีตคู่หมั้น นางก็อดจะเสียดายเสียมิได้ นางมิสมควรใจเร็วด่วนได้ไปเลย หาไม่วันนี้คนที่รอขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวใต้เท้าอู๋ ย่อมมิผิดไปจากนางเสียเป็นแน่
ทว่าบัดนี้นางกลับถูกลูกที่อยู่ในครรภ์ตัดสิ้นโอกาส เพราะร่างกายไม่อำนวยให้นางไปยั่วยวนอดีตคู่หมั้น หากรออีกสักหนึ่งหนาวนั้นย่อมไม่แน่ เพราะนางคลอดบุตรน่าชังนี่แล้ว ดูแลร่างกายให้ดี ในยามนั้นนางมั่นใจอย่างยิ่งว่าของที่เคย ๆ กันมา นางไปจุดเพลิงอีกเล็กน้อย อู๋เหล่ยจะต้องกลับมาหลงมัวเมากับรสราคะ ที่นางจะปรนเปรอเป็นแน่ แต่...ระหว่างนี้นางก็ยังต้องการทองคำเหล่านั้น...
...ดีเสียอีก ที่เด็กเฝิงซีจะไปเป็นอู๋ฮูหยิน...
ทั้งจืดซืด...ทั้งขาวจนซีด...แล้วก็อวบจนเกือบจะอ้วน...หึ...สตรีเช่นนั้นจะผูกใจคนเร่าร้อนเช่นอู๋เหล่ยไปได้เช่นไร...สำหรับเขาแล้ว...มันต้องเร่าร้อนพอกันเช่นนางเท่านั้น!
"ว่าเช่นไรหรือฟูเหริน"
คนที่กำลังคิดว่าตนเองจะหาวิธีพูดคุยเช่นไร ให้น้องสาวที่มุ่งหน้าจะเข้าอารามชีเพื่อบวชให้แก่มารดาของนางที่เพิ่งตายจากไปเช่นไร ให้ยินยอมขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวส่งไปยังแคว้นฉางโจวไปได้ โดยไร้รอยขีดข่วน หันกลับไปมองภรรยาคนงามที่เขาหลงใหลนางอย่างยิ่งทันที เมื่อนางเข้ามาหาตนเองยังห้องหนังสือ
"ท่านพี่คิดจะยกเฝิงซีให้แก่ใต้เท้าอู๋หรือไม่เจ้าคะ"
ถามออกไปในขณะที่นางทิ้งกายลงนั่งลงยังตักของสามี นิ้วเรียวงามกรีดวนเวียนลูบไล้ยั่วยวน ส่วนสะโพกอวบอัดก็บดขยี้ลงบนท่อนลำที่เริ่มผงาดไปตามอารมณ์ผู้เป็นเจ้าของ เช่นที่นางรู้แจ้งในทุกจังหวะและจุดอ่อนไหวของผู้เป็นสามี
"ทำไม? ...เจ้าเสียดายหรือว่าหึงหวงเจ้าคนแซ่อู๋อยู่กันเล่า ฟูเหรินของข้า"
เช่นไรวัวก็เคยค้า...ม้าก็เคยขี่กันมาก่อน...เขาย่อมระแวง...โดยเฉพาะบัดนี้เจ้าคนผู้นั้น มันมีเหนือเขาไปแล้วทุกสิ่ง ถึงจะมีตรงเส้นผมและสีดวงตาที่ผิดแปลกไป ทว่าความผิดแปลกเหล่านั้นกลับทำให้เจ้าคนแซ่อู๋ยิ่งดูสง่างามและสุขุมหล่อเหลาชวนให้หญิงงามอยากค้นหา
"กล่าวอันใดเช่นนั้นเล่า...จุ๊บ...ท่านพี่ของข้า"
ปากอวบอิ่มกล่าววาจา กรีดกรายส่วนมือเรียวสวยนั้นปลดสายรัดเอวของสามีออก ก่อนจะขยับล้วงลงไปจนเจอกับความแข็งขึงที่ขนาดด้อยกว่า...ช่างเถิดนางมิอยากนึกเปรียบเทียบในยามนี้ให้เสียอารมณ์
"อย่า...ฟูเหริน...เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่นะ"
กู้หยวนจิ้งห้ามปราม ทั้งที่น้ำเสียงเริ่มไม่มั่นคงเลยสักนิด ถึงจะห่วงใยบุตรในครรภ์ ทว่าความต้องการของตนเองถูกก่อเกิดเช่นนี้ย่อมยากจะควบคุม
"ก็...ท่านพี่มิเชื่อใจข้าเช่นนั้น...ข้าก็จะพิสูจน์ให้ท่านพี่ดูอย่างไรเล่าว่าข้านั้น...ชอบ...ท่านพี่ที่สุด...ชอบมากเพียงใด...หลงใหลท่านพี่ไปทุกส่วนของร่างกายนี้เลย"
มิพูดเปล่า กู้ฮูหยินขยับกายลุกขึ้นสลัดเสื้อคลุมที่นางสวมปกปิดร่างกายเอาไว้แค่ชิ้นเดียวออกไป จากนั้นนางก็คุกเข่า แทรกเข้าไปยังระหว่างขาที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้เป็นสามี มือนุ่มนิ่มลูบไล้จากโคนขาแกร่ง จนกายสูงใหญ่หอบสะท้านเกร็งตัวรับความเสียวซ่านสุขที่ผู้เป็นภรรยากำลังจะปรนเปรอให้ทันที
ซึ่งจ้าวอ้ายฉีนางก็มิทำให้สามีรอนาน หลังจากนางปลดกางเกงเขาพ้นลงต่ำ ก็เร่งส่งริมฝีปากอิ่มแย้มออกเมื่อท่อนลำของบุรุษถูกนางดึงออกมาให้พ้นกางเกง ปลายลิ้นนุ่มกรีดแซะไปตามรอยหยักด้วยความชำนาญการและคุ้นเคย
"โอ๊ว...ซี๊ด...อาห์...ฟะ...ฟูเหริน...อื้ม..."
กู้หยวนจิ้งเชิดหน้าขึ้นสูดปากด้วยความเสียวที่พุ่งเข้าถาโถมทันทีที่นางสัมผัส ในยามนี้คำว่านางตั้งครรภ์อ่อนอยู่ หายวับไปจากในหัวเขาหมดสิ้น
จ้าวอ้ายฉีนางรู้ว่าสามีต้องการสิ่งใด นางจึงเอาอกเอาใจเขามิขาดตกเท่านี้ บุรุษที่เกือบทั้งชีวิตวัยหนุ่มเคยพบพานเพียงแค่สาวใช้อุ่นเตียงซึ่งสิ้นไร้ลีลาเด็ด เอาแต่นอนนิ่งแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ตายซากเหล่านั้น ที่ผ่านมาหลายหนาว เขาจึงติดบ่วงเสน่หาของนางจนยากจะดิ้นหนีเสียแล้ว แม้แต่นางโลมสามีนางยังแอบไปน้อยครั้งนัก
"อ๊า...อ้ายฉี...ข้าจะแตกคาปากเจ้าแล้วพอก่อน...ซี๊ด...อาห์..."
กู้หยวนจิ้งกระชากต้นแขนเรียวของภรรยา ให้ลุกขึ้นมาใช้ช่องทางคับแคบ รีดเค้นตัวตนเองของแทนริมฝีปากนั่นเสีย เพราะหากช้าอีกเพียงนิดเขาได้ระเบิดสายธารแห่งชีวิต ใส่ปากอิ่มยั่วยวนนั้นแน่แท้ ซึ่งจ้าวอ้ายฉีมีหรือจะขัดใจสามี เพราะนางเองก็ต้องการความแข็งขึงนี้เข้ามาเติมเต็มแล้วเช่นกัน
"อาห์...”
“อ๊า..."
สองเสียงผสานในยามที่กายอวบอิ่มของสตรีกำลังตั้งครรภ์ 4 เดือน เข้าครอบครองกลืนกินท่อนลำบุรุษ จ้าวอ้ายฉีขยับโยกเอาแต่ใจตนทันที เพราะอารมณ์ของนางคุกรุ่น น้ำหวานหยาดเยิ้มนับตั้งแต่ได้พบหน้าของอดีตคู่หมั้นนั่นแล้ว
ยิ่งนางขยับควบขี่ ในหัวของนางกลับมีแต่ภาพของนางกับอู๋เหล่ยผู้นั้นกำลังร่วมรักดุดัน มิใช่นางที่กำลังขยับโยกอยู่บนท่อนลำของสามี นั่นจึงยากเย็นที่นางจะไม่กรีดร้องเรียกชื่อผิดคนออกมา
"อ้ายฉี...ระวังหน่อย...อ๊า..."
เพราะท้องที่นูนเด่นมันตอกย้ำกู้หยวนจิ้ง ต่อให้เขามิใช่คนดี ทว่าบุตรนั้นย่อมรักเท่าชีวิต ทว่าผู้เป็นภรรยาและมารดานางกลับมิสนใจก็หากมันหลุดออกมาเช่นนั้นนางมีแต่จะยินดี!
"เงียบเถอะ! ...เอิ่ม...ท่านพี่อย่ากังวล ข้าระวังแล้ว...อ๊า...ซี๊ด...ข้ารู้ตนเองดีที่สุดท่านพี่มิต้องว้าวุ่นใจไปเลยเจ้าค่ะ...อาห์...อึ๊ก...ซี๊ด..."
นางเผลอตัวตวาดออกไป ดีที่ยังรั้งอารมณ์เดือดดาลได้ทัน และกู้หยวนจิ้งก็กำลังหัวหมุนไปกับรสสวาทที่ถูกปรนเปรอ จึงมิทันฟังที่ภรรยาตวาดออกมาเสียงเขียวแต่แรก
จ้าวอ้ายฉีกระแทกจังหวะทุกครั้ง นางก็หลับตานึกภาพแต่ว่าบุรุษที่นางกำลังโยกไหวอยู่ในยามนี้คืออดีตคู่หมั้นนั่น จึงส่งให้นางพุ่งไปแตะขอบสวรรค์รวดเร็วกว่าทุกครั้ง และครั้งนี้อาจนับเป็นครั้งแรกที่นางนั้นได้ปลดปล่อยอารมณ์ใคร่ระเบิดตัวตนไปพร้อมกับกู้หยวนจิ้ง มิใช่ต้องไประบายอารมณ์กับแท่งหยกในยามที่สามีเจ้าไม่เอาไหนของนางหลับใหลสิ้นแรงไปแล้ว
"อ๊า...อ๊า...ซี๊ด...ท่านพี่...ทีนี้เชื่อหรือยังเล่า...ว่าข้าต้องการเพียงท่าน"
นางกรีดเสียงแหลมกรอกหูกู้หยวนจิ้ง แล้วบดเบียดบีบรัดจนเขาระเบิดสายธารแห่งชีวิตออกมาสุดลำรักจึงนางซุกซบออดอ้อนไปตามจริตมากมายที่ตนฝึกฝนมานาน
"ชะ...เชื่อ...ข้า...เจ้าแล้ว...ฟูเหริน..."
รอยยิ้มสาสมใจของจ้าวอ้ายฉีจึงบังเกิด...บุรุษก็เพียงเท่านี้ หากคิดอยากได้สิ่งใดนางย่อมรู้วิธี "รีดเค้น" เอามันมาจนสำเร็จจะมียากที่ตรงใดกัน
"เช่นนั้น...เฝิงซี...ท่านพี่ก็ยกนางให้แก่ใต้เท้าอู๋ใช่หรือไม่"
..ซึ่งแน่แท้ว่ากู้หยวนจิ้งย่อมรับคำภรรยามิผิดไป...