หนึ่งยิ้มพิฆาตคนบาป(1)

1546 Words
…จวนนายอำเภอกู้ในอีกหลายวันต่อมา...  บัดนี้ยังห้องโถงกลางของเรือนหน้า กำลังต้อนรับแขกคนสำคัญเช่นใต้เท้าอู๋องครักษ์ป้ายทองแห่งเทียนหนิง แล้วยังมีใต้เท้าเซี่ยกับใต้เท้าหูสององครักษ์คนสำคัญแห่งหน่วยพยัคฆ์ดำ ที่กำลังนั่ง ‘กดดัน’ บุรุษใบหน้าหล่อเหลาทว่าก็ดูอ่อนแอเช่นพวกบันฑิตผู้คงแก่เรียนทั่วไปผู้หนึ่ง เช่นนายอำเภอกู้ผู้เป็นเจ้าของจวนแห่งนี้  เช่นนี้การดื่มน้ำชานี้จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศชวนอึดอัดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ‘จ้าวอ้ายฉี’ อดีตคู่หมั้นของอู๋เหล่ย ส่วนปัจจุบันนี้นางก็คือฮูหยินกู้ ของท่านนายอำเภอกู้บุรุษหุ่นสำอางนั่นเอง  “เมื่อใดเจ้าสาวจึงจะมาหรือนายอำเภอกู้ พวกเรามิใช่ขุนนางว่างงานเช่นท่านนะ!”  เป็นเซี่ยเสิ่นจั๋วที่ขยับดาบด้วยกิริยาขึงขัง จนใบหน้าของท่านนายอำเภอกู้ที่ขาวอยู่แล้ว กลับยิ่งขาวขึ้นไปอีกสามส่วน ผิดกับอู๋เหล่ย เพราะผู้เป็นเจ้าบ่าวเช่นเขากลับยังคงนั่งสงบเยือกเย็นคล้ายมิสนใจโลกหล้าเช่นเดิม มือทั้งสองข้างหยิบจับถ้วยน้ำชา แล้วขยับเอาฝาของมันขึ้นมากวัดไกวไล่ความร้อนอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่เขานั้นจะยกมันขึ้นมาจิบด้วยกิริยาเนิบนาบใจเย็นหาได้เดือดร้อนต่อการรอคอย เพราะเช่นไรเขาย่อมรู้คนของเขาเช่นไรนางก็ยังเป็นคนของเขามิอาจหนีพ้น  “อาเหล่ย…เอิ่ม...ใต้เท้าอู๋”  หญิงสาววัยยี่สิบห้าหนาว เอ่ยเรียกอดีตชายคนรักด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง หัวใจนางนั้นส่วนหนึ่งก็คาดหวังว่า เช่นไรในอดีตเขาก็ทุ่มเทรักนางมาก คงมิอาจตัดสวาทขาดไยรักนางโดยง่าย ทว่าที่นางได้รับก็คือสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกรู้สาเช่นเดิม ตวัดมองส่งมอบมาให้ ซึ่งจ้าวอ้ายฉีนางก็คิดเข้าข้างตนเองว่าในยามนี้มีคนอื่นร่วมอยู่มากมาย เขาเป็นถึงองครักษ์ป้ายทองคงมิอาจเผยใจได้เสียเป็นแน่  “ฟูเหริน…เจ้าไปเร่งท่านพ่อบ้านยู๋และแม่สื่อจางว่าเร็วสักหน่อย ใต้เท้าทั้งสามพวกเขามารออยู่นานมากแล้ว”  กู้หยวนจิ้งเห็นกิริยาของภรรยาตนเองก็รู้สึกมิพึงใจอย่างมาก ทว่าภายในห้องนี้มีแต่คนมากอำนาจกว่าตนเองทั้งสิ้น เขามิใช่โง่งมจนหึงโดยไร้สติออกหน้าอาละวาดไปได้  “ขออภัยใต้เท้ากู้…และเจ้าบ่าว ที่ช้านะเจ้าค่ะ…คุณหนูเก้า...เฝิงซี...เจ้าสาวมาแล้วเจ้าค่ะ”  ยังไม่ทันที่ จ้าวอ้ายฉีจะขยับกายลุกออกไป ดังที่ผู้เป็นสามีสั่งความแม่สื่อจางที่รับผิดชอบต่อการดูแลเจ้าสาวกำพร้าทั้งบิดามารดาทุกสิ่ง ก็จับจูงสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์สีแดงเจิดจรัสสะท้อน ก้าวเข้ามายังประตูห้องโถงด้านข้างเสียก่อน  “เหล่าเหล่ย…เจ้าสาวของเจ้ามาแล้ว”  เซี่ยเสิ่นจั๋ว จึงกระทุ้งข้อศอกเข้าใส่คนที่ยังใจเย็นเฉียบยกน้ำชาขึ้นดื่มต่อจนหมดถ้วย มิกระตือรือร้นทั้งสิ้นต่อการปรากฏกายของผู้เป็นว่าที่ภรรยาที่เขานั้นเลือกด้วยตนเองเลยด้วยซ้ำ  “เดินก็เดินออกมาแล้ว…เช่นนั้นก็เดินมาหาข้าสิ จะยืนทื่อรออันใดกัน...หรือขานั้นใช้การมิได้ขึ้นมากะทันหันกันเล่า”  …เพล้ง! ...  กระบี่ในมือของหูเตี๋ยนถึงกับหลุดร่วง เมื่อเขาได้ฟังประโยคกำปั้นทุบโอ่งของ ‘เจ้าบ่าว’ กล่าวแก่ ‘เจ้าสาว’ เช่นนั้น ซึ่งก็มิทราบได้ว่าเจ้าสาวนั้นนางจะคิดหรือรู้สึกอันใดอยู่ เพราะเพียงได้ฟังนางก็ก้าวเท้าด้วยกิริยาสงบเรียบร้อยแล้วมาหยุดยื่นนิ่งอยู่กลางห้องโถง คล้ายกับนางเป็นตุ๊กตาไม้แกะสลักมากกว่าจะเป็นร่างกายของมนุษย์ผู้มีเลือดเนื้อและลมหายใจอย่างไรอย่างนั้น  ...รูปปั้นสลักกับก้อนหิน...สวรรค์ท่านจะทรงลงทัณฑ์คนสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้มิได้นะ!...  "เอิ่ม...ใต้เท้าอู๋...คือ...สินสอดนั้น"  เมื่ออู๋เหล่ยขยับกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตาของกู้หยวนจิ้งก็กลอกไปมาเพราะต้องการจะเห็นสินสอดก่อนที่น้องสาวของตนเองจะก้าวเท้าขึ้นรถม้าพ้นไปจากจวน  "เสี่ยวฝู...ตาชั่งที่ข้าสั่งเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่"  อู๋เหล่ยถามบ่าวชายคนสนิท โดยมิได้ละสายตาไปจากกายอวบอิ่มและใบหน้าที่ถูกพอกแป้งจนขาวซีด พอมันถูกตัดกับสีของชาดที่แตะแต้มริมฝีปากอิ่มเต็มแดงจัด ที่ซีดขาวจึงเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว วันนี้คือการรับตัวเจ้าสาวอย่างมิเต็มพิธี ผ้าคลุมหน้าจึงมิได้ถูกนำมาใช้ ถึงอาภรณ์จะเป็นสีแดง ทว่านี่ก็ยังมิใช่ชุดเจ้าสาวที่จะใช้สวมในวันจริงยังจวนของฝ่ายเจ้าบ่าว  ...ช่างดูคล้ายตุ๊กตาไม้แกะสลักในอารามหลวงเสียจริง...  ความคิดนี้มิใช่เพียงหูเตี๋ยนและเจ้าบ่าวเช่นอู๋เหล่ยเองเท่านั้น ทว่าเซี่ยเสิ่นจั๋วเขาก็รู้สึกเช่นนั้น นางช่างดูไร้ชีวิตชีวาจนน่าตระหนก สิ่งเดียวที่บอกว่านางคือมนุษย์ปกติเช่นพวกเขา ก็คงเป็นดวงตาเรียวรีรูปทรงเมล็ดของผล ซึ่งที่นานครั้งจะกะพริบหนึ่งครั้งเท่านั้น  ...หึ...ก้อนหินกับรูปปั้นแกะสลักในอารามซือไท่...สวรรค์ก็ช่างส่งเสริมคนทั้งสองให้มาคู่กันเสียจริง...ซึ่งความคิดเหล่านี้ของเหล่าหูและเหล่าจั๋วตรงกันราวกับนัด!  "จัดการนำมารอยังด้านหน้าประตูจวนเรียบร้อยแล้วขอรับใต้เท้า"  เฉียนฝูโค้งกายรายงาน  "เช่นนั้นก็คงต้องเชิญใต้เท้าไปรับสินสอดต่อหน้าชาวบ้านที่ด้านหน้าจวนเพื่อเป็นสักขีพยานว่าสินสอดจากเปิ่นกวน...อู๋เหล่ยแห่งหน่วยพยัคฆ์ดำนั้นมอบให้แก่เจ้าสาวคือเรื่องจริงหาใช่คำเล่าอ้าง...เชิญ..."  เซี่ยเสิ่นจั๋วมองสบตากับหูเตี๋ยนเริ่มเท่าทันความคิดของอู๋เหล่ยบ้างแล้ว เพราะในครั้งที่หมั้นหมายกับจ้าวอ้ายฉี หากนำมาเปรียบเทียบกับสินสอดในวันนี้ มูลค่าช่างแตกต่างกันถึงสิบเท่า! ...  ...เช่นนี้ก็ยังจะปากแข็งว่ามิได้คิดแก้แค้นอยู่อีกเจ้าก้อนหินพูดได้เอ๋ย...  ในขณะที่เสียงโดยรอบนั้นดังเอ็ดอึงไปด้วยคำแซ่ซ้องคนที่ถูกจับจูงขึ้นตาชั่ง จวบจนก้าวลงมายืนที่พื้น จากนั้นนางก็ยืนมองดูพี่ชายรับเอาสินสอดที่เป็นทองคำอร่ามเรืองรอง มองดูพี่สะใภ้ที่ยิ้มแย้มมากมายดูมีความสุข ทุกภาพนางรับรู้...รับรู้มันด้วยความปวดร้าวรานอย่างยิ่ง  ...ข้าก็เพียงแม่หมูตัวหนึ่งเท่านั้นสินะ...  แล้วภาพที่หมูถูกจับนำพวกมันมาขึ้นตาชั่งเพื่อรอขาย ภาพเป็ด...ภาพไก่...ภาพปลา...ยังตลาดในยามเช้าที่นางเคยไปช่วยบ่าวท้ายจวนจับจ่ายข้าวของ ก็ถาโถมเข้ามาไม่หยุด กู้เฝิงซีนางก้มลงมองนิ่งที่ปลายเท้าของตนเองก่อนที่มุมปาก หยักสวยจะยกโค้งขึ้นแช่มช้า...มันโค้งจนสูง...สูงจนคนโดยรอบที่กำลังสนใจเพียงการนับจำนวนทองคำในหีบใบใหญ่ประทับตราตัวอักษรคำว่า "อู๋" เด่นชัดเริ่มหันมามอง...จากหนึ่งคน...ก็สะกิดส่งต่อเป็นสอง...แล้วเสียงที่จ๊อกแจ็กจอแจก็ค่อย ๆ เบาลง...และเบาลง...จนมันนิ่งสนิท...  ...นางเซียน...นี่คือรอยยิ้มของนางเซียนสาวที่มากมีเมตตาลงมาเยือน เพื่อโปรดสรรพชีวิตยังโลกมนุษย์โดยแท้...  เป็นหูเตี๋ยนที่หันมาพบเข้ากับรอยยิ้มว่าที่อู๋ฮูหยินก่อนใครในกลุ่มที่ยืนรวมกัน แล้วคนต่อมาก็คือเซี่ยเสิ่นจั่ว จากนั้นจึงเป็นอู๋เหล่ยที่ยืนอยู่ใกล้นางที่สุด  "พระโพธิสัตว์"  แต่ผู้ที่กลืนคำซึ่งมิสมควรออกไปอย่างยิ่งในยามนี้ กลับเป็นเฉียนฝูเด็กหนุ่มวัย 18 หนาว บ่าวชายคนสนิทของใต้เท้าอู๋ว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังจะ...จะตกแต่งพระโพธิสัตว์ไปเป็นภรรยานั่นเอง!  เด็กหนุ่มนั้นอยากกรีดร้องหาเทียนตี้ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ทันว่า ต่อให้เป็นตี้จวินผู้อยู่สูงสุดในบรรดาเทพเซียนทั้งหลาย ก็สุดจะเอื้อมมือมาช่วยในเมื่อคนเช่นผู้เป็นนายของเขาเช่นใต้เท้าอู๋นั้นพึงใจคิดอยากได้ย่อมไม่มีผู้ใดสอดเท้ามาหาเรื่องลำบากเป็นแน่  ส่วนหูเตี๋ยนกับเซี่ยเสิ่นจั๋วนั้น พวกเขาถึงกับเร่งขยับออกไปห่างไกลจากสตรีซึ่งอยู่ในอาภรณ์สีแดงสดเสียเกือบสิบก้าว ก็...มิเถียงในยามกู้เฝิงซีนางโค้งรอยยิ้มนั้นงดงามจนแทบลืมหายใจ ทว่า...ความงามของนางมันสูงส่งและสะอาดบริสุทธิ์ จนคนบาปหนาเช่นพวกเขามิกล้ายืนใกล้  ...รู้สึกร้อนจนเหงื่อกาฬแตกซ่าน...ยิ้มเดียวพิฆาตคนบาปโดยแท้... 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD