Sinful Passion ลับหลัง
INTRO
ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุและผลของมัน
เหตุผลของเขาทำให้เธอต้องเกลียด
เหตุผลของเธอทำให้เขาต้องจำ
เสียงเพลงและแสงสีจากหลอดไฟภายในคลับแห่งหนึ่งหรือที่เรียกกันว่า ‘Cub Zack’ Rule’ คลับชื่อดังที่มีนักท่องเที่ยวคนดังและคนมีฐานะถึงจะสามารถมานั่งที่นี่ได้ ตรงโซนวีไอพีผมที่กำลังนั่งคลอเคลียกับสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างกัน มือหนึ่งถือแก้วเหล้าใส่วิสกี้ผสมวอดก้าไปนิดหน่อยด้วยเพราะเหตุผลส่วนตัวที่ชอบกินเหล้าแบบนี้ สายตาของผมตวัดไปมองคนที่นั่งตรงข้ามกำลังจับจ้องมองผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย แต่ทว่าสีหน้าเนือยๆ ของมันก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจจำต้องผละจากหน้าอกหน้าใจของสาวน้อยที่ใหญ่เต็มเต้า
“มองหน้ากูเหมือนมีเรื่องจะถาม” กระดกแก้ววิสกี้กรอกผ่านลำคอพลางวางแก้วลงบนโต๊ะกระจกจนเกิดเสียงดังขึ้น “สงสัยอะไรให้ถามครับ”
“อือ” ตอบกลับมาแค่นี้ก็ตวัดขาไขว่ห้างและคีบบุหรี่เข้าปากเพื่อสูบเอานิโคตินเข้าปอด “ติดหญิง”
เลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้ามึนงง ถ้าพูดเอาจริงคือผมติดผู้หญิงทุกคนที่เข้าหาหรือพร้อมจะนอนกับผมทั้งนั้น ทว่าสิ่งที่ ‘รามเกียรติ์’ เพื่อนสนิทแสนเย็นชาของผมถามขึ้นนี่สิ มันคงไม่ได้หมายถึงผู้หญิงที่ผมควงด้วยใช่ไหม
“อะไรของมึงวะ ถามก็ถามไปเลยดิ!” ผมเบนสายตาไปมองร่างสูงที่นั่งทำหน้าหงุดหงิดใส่ไอ้ราม ‘ลี้เทียน’ เพื่อนของผมที่กวักมือเรียกหญิงสาวที่นัดแนะจะไปกินตับกันคืนนี้มานั่งข้างกัน
“อะไรของพวกมึงวะเนี่ย?” เพราะเริ่มจะไม่พอใจกับสิ่งที่พวกมันสงสัย ไอ้เทียนจึงเป็นฝ่ายถามผมเอง ก็ดีนะถ้าฟังไอ้รามผมคงต้องนั่งรอมันทั้งคืนกว่าจะเปิดปากพูดได้เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง
“เห็นช่วงนี้มึงติดสาว”
“สัด!” ด่าไอ้เทียนที่อมยิ้มออกมา “กูคนไม่ใช่หมา”
“เออ” มันยกยิ้มมุมปากก่อนจะเบ้ปากชี้หน้าผมทั้งที่มือก็ถือแก้วไวน์ไว้ด้วย “น้องที่มึงไปหาบ่อยๆ อะ เวลาอยู่กับพวกกูพอน้องโทรมาก็ไปหานี่ยังไงวะ?”
พอมันพูดผมก็ยิ่งมึนหนักเข้าไปอีก พลางใช้ความคิดอยู่สักพักผมก็เบิกตาขึ้นชี้หน้าพวกมันสองตัว “อ๋อ เจ้าเอย”
“หึ” ไอ้รามหัวเราะในลำคอก่อนจะหันไปคุยอะไรกับผู้หญิงของตัวเองต่อ
“ยังไงวะ ตัวจริงอ่อ”
“ตัวจริงเหี้ยไรล่ะ! คนนั้นกูนับเป็นน้อง ไม่นับเป็นผู้หญิงควง”
“น้องที่... ท้องติดกันงี้ปะ” ไอ้เทียนยังคงดึงดันให้ผมกับเจ้าเอยเป็นแบบนั้น จนผมหยิบหมอนที่พิงอยู่ปาใส่หน้ามันด้วยความเร็วชนิดที่ว่ามันต้องคว้าไว้ไม่ทัน แต่มันดันคว้าไว้ทันไงครับ “มึงโมโห กูว่าจริง”
“ไอ้เหี้ยเทียน”
“แล้วยังไง?” เป็นไอ้รามที่เอ่ยคำพูดเนือยๆ ของตัวเองขึ้น คนอย่างมันคือเนือยทุกอย่างแม้แต่หน้าตา การกระทำแต่ยกเว้นเรื่องบนเตียงนะที่ไม่ได้เนือยอย่างที่เป็นอยู่ “ตอบดิ”
“พวกมึงจะคาดคั้นอะไรกูวะ ก็บอกอยู่ว่าน้องๆ” ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะดันร่างที่อยู่ข้างกายออกห่าง พวกมันทำให้ผมอารมณ์เสียนะเนี่ยเอาจริง “เจ้าเอยเคยเป็นผู้หญิงที่กูอยากจะ...”
“เอา” อยากจะลุกขึ้นไปถีบปากไอ้เทียนนะเอาจริง แต่ผมก็ทำได้เพียงชูนิ้วกลางให้แทน
“ไม่ใช่” จะให้พูดยังไงดีวะ? คือเมื่อก่อนที่ไอ้วินเพื่อนในคลาสของผมอยากจะพาไปรู้จักกับเพื่อนแฟน ตอนนั้นคือเห็นเจ้าเอยก็มีความรู้สึกอยากจะจับกด แต่ไปๆ มาๆ ความรู้สึกนั้นมันก็หายไปเพราะเธอไม่เหมือนคนอื่นไง เธอไม่ได้ต้องการเข้าหาผมออกจะผลักไสด้วยซ้ำมันก็เลยกลายเป็นว่าผมไม่เคยคิดอยากจะมีเซ็กส์กับเธอ แต่รู้สึกว่าอยากจะรู้จักด้วยแค่นั้น “เจ้าเอยมีแฟนแล้ว”
“อ้าว อด” ไอ้เทียนส่าหน้าไปมาก่อนจะชูนิ้วทั้งสองข้างขึ้นทำเป็นรูปกากบาท “ลับหลังแฟนน้องเขา ก็เอาได้”
“กูไม่ใช่มึง”
“แต่ก็เคยทำ” ผมเบนสายตาไปมองไอ้รามที่ยักไหล่ก่อนจะซุกหน้าลงกับลำคอหญิงสาวข้างกายตัวเองจนผมเบ้ปาก
“มึงมากกว่าที่ทำ” พอผมพูดแบบนี้ไอ้รามก็หรี่สายตามองผมทั้งที่ริมฝีปากยังคงดูดดึงที่ลำคอของหญิงสาว “ลับหลังเมีย มึงก็ทำอยู่ตอนนี้”
“มึงพูดถูกไอ้ไฟ” รอยยิ้มของไอ้เทียนผุดขึ้นก่อนจะหยิบหมอนเขวี้ยงใส่ไอ้ราม “เมียมึงป่านนี้คงนอนร้องไห้อยู่แน่ๆ ที่ผัวมามั่วแบบนี้”
“เลิกพูด” ดูเหมือนเรื่องของเมียจะทำให้ไอ้รามรู้สึกหงุดหงิด “รำคาญ”
“ระวังเถอะ ปล่อยเมียแบบนี้หมาตัวอื่นคาบไปแดกจะรู้สึก” ผมยักคิ้วให้กับไอ้เทียนที่พูดได้ตรงใจผมมาก จนไอ้รามออกอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ในบรรดากลุ่มเรามีไอ้รามคนเดียวที่มีแฟนแล้วแถมยังคบกันนานจนผมรู้สึกสงสารแฟนมันด้วยซ้ำที่ต้องทนคบกับคนเจ้าชู้แบบมัน เพราะดูแล้วไอ้รามไม่หยุดง่ายๆ ด้วยนะเหมือนกับผมและไอ้เทียนเนี่ยล่ะ
“ใครจะกล้ากับรามเกียรติ์” คำพูดที่ออกแนวหยิ่งผยองทำให้ผมเบ้ปากก่อนจะเทวิสกี้ลงแก้ว พลางล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบบ้าง “ของกู ยุ่งก็เท่ากับตาย”
“ครับๆ คุณรามเกียรติ์” ไอ้เทียนลุกขึ้นก่อนจะโค้งศีรษะให้ไอ้ราม
“แต่มึงก็เกินไป” เป็นผมบ้างที่เอ่ยคำพูดขึ้นเรียกสายตาไอ้รามให้หันมามองกัน “มองเมียเป็นของตายแบบนั้น มันโอเคเหรอวะ?”
“เรื่องของกู” มันเป็นแบบนี้เสมอเวลาที่พวกผมพูดถึงเมียมัน สิ่งที่มันทำคือการปล่อยเลยตามเลยเหมือนกับว่าเมียคือของตายที่ไม่ว่ามันจะทำอะไรอยู่ ณ เวลานี้ เมียก็คือสิ่งเดียวที่มันจะมีเธออยู่เสมอทุกที่และทุกเวลา
“สงสารแอลฉิบหายที่มีผัวแบบมึง”
“สงสารตัวเองก่อนเถอะ” ผมยิ้มขำทันทีเมื่อมองมันทั้งสองคนเถียงกันไปมา แต่เอาจริงนะ ไอ้เทียนมันจะแพ้ไอ้รามเสมอเพราะด้วยความเนือยของมันเนี่ยล่ะ “ตกลงเจ้าเอยนี่ยังไง?”
หันมาเล่นงานผมต่อเพื่อตัดบทเรื่องของตัวเองไป ผมสูบบุหรี่ก่อนจะวาดวงแขนกอดหญิงสาวข้างกายที่คืนนี้คงหนีไม่พ้นได้เสพสมกับเธอแน่นอน
“ไม่ยังไง” ตอบกลับก่อนจะกระซิบที่ข้างใบหูบอกให้เธอไปรอผมที่รถปอร์เช่สีดำเลขทะเบียน ฟฟ xxxx จากนั้นผมก็มองบั้นท้ายที่นุ่มมือเดินจากไป “เจ้าเอยเป็นแฟนกับพี่ที่รู้จักของกู”
“อ๋อ” พอตอบกลับแบบนี้ไอ้เทียนก็ถึงบางอ้อ “พี่หินใช่มะ?”
“อือ มึงคิดว่ากูจะแย่งของพี่ตัวเองได้ลงหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่อะ เอาจริงกูก็ไม่กล้ากับพี่หิน... หุ่นหล่อล่ำขนาดนั้น” เพราะไอ้เทียนเองก็มักจะเอารถไปซ่อมที่อู่ของพี่หินบ่อยๆ จึงได้รู้จักกันผ่านผมเนี่ยล่ะ
“พี่หินคนดี” ผมสบตากับไอ้รามที่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าฉงนใจ อาจจะเพราะทุกคนรอบข้างที่รู้จักกับเขาจะรู้ว่าพี่หินเป็นคนดีจริงๆ ดีแบบพวกเลวๆ อย่างผมอายอะ
“เรารู้จักคนดีๆ อย่างพี่หิน ทำไมไม่ซึมซับความดีพี่เขามามั้งวะ?” ข้อนี้ไอ้เทียนสงสัยก่อนจะกอดอกทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองตั้งคำถาม “หรือพวกเราแม่งเลวเกิน”
“มีสิทธิ์”
จากนั้นพวกเราสามคนก็นั่งคุยกันสักพัก ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง แต่พรุ่งนี้เช้าก็ต้องเจอกันอยู่ดีเพราะเรียนมหาลัยเดียวกันแถมยังคณะเดียวกันอีกต่างหาก นี่อาจจะเป็นเพราะฟ้าบันดาลล่ะมั้งที่ให้คนเลวๆ อย่างพวกผมสามคนมาเจอกัน
บนเตียงนอนที่ยับยู่ยี่ ตามด้วยเครื่องแต่งกายที่สวมใส่อยู่กระจัดกระจายอยู่รอบห้อง ผมนอนหอบหายใจก่อนจะหันไปมองสบตากับหญิงสาวที่นอนอยู่ข้างกัน เมื่อฝ่ามือบอบบางกำลังเคลื่อนต่ำไปยังน้องชายของผมที่อ่อนแรงหลังจากที่จัดหนักจัดเต็มไปสองรอบ “เอาอีกนะคะพี่ไฟ”
“ไม่” ตอบกลับพลางลุกขึ้นนั่งก่อนจะยกมือเสยผมตัวเองขึ้น มองท่อนแขนของตัวเองซึ่งมีรอยสักไปถึงข้อศอกทั้งสองข้าง ไหนจะบนเรือนร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนี่อีกแทบจะไม่เหลือที่ให้เห็นเนื้อขาวๆ ของตัวเองเลย “ถุงหมดก็จบ”
“แต่ว่า...”
“ฉันไม่สดกับคนที่นอนด้วยครั้งคราว ชัดนะ” ลุกขึ้นยืนทั้งที่เปลือยเปล่าก่อนจะก้มลงเก็บเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมาสวมเพื่อเตรียมตัวกลับคอนโด
“งั้นพี่ไฟค้างกับจิ๊บนะ” ตวัดสายตาไปมองเธอที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ด้วยสีหน้าที่อ้อนวอนอย่างเห็นได้ชัด “นะคะ”