ตอนที่ 1
“แน่ใจนะพี่บัว จะเอาอย่างนี้จริงๆ น่ะ” หนึ่งในสองร่างที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่ถามขึ้นเสียงสั่น
“ฮื่อ...แกจะถามอะไรนักหนาวะไอ้เก่ง ถามมาหลายรอบแล้วนะ”
คนที่ถูกเรียกว่าพี่บัวตอบกลับไปอย่างรำคาญขณะสอดส่ายสายตามองไปท่ามกลางบรรยากาศมืดมิดของราตรีกาล ที่ทำให้เห็นตัวบ้านเป็นเงาสลัวๆ เหมือนกับมีชีวิต อันเป็นผลมาจากต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอยู่รายรอบปลิวไสวไปกับสายลมที่พัดแรง
“ก็ฉันกลัวนี่พี่ ถ้าเราถูกจับได้ขึ้นมา...แม่ตีฉันหลังลายแน่”
“ไม่มีใครอยู่สักคน แล้วหมาตัวไหนมันจะมาจับเรากันฮึ! ใครใช้ให้แกพูดอะไรเป็นลางไม่ดีแบบนี้ ประเดี๋ยวก็ป้าดเข้าให้หรอก”
“ฉันกลัวนี่พี่ ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมาละก็...” เจ้าตัวปัญหายังคงพูดต่อ จนบัวหรือบุษกรจำต้องหันไปตักเตือน
“อย่าป๊อดไปหน่อยเลยไอ้เก่ง ไม่มีใครอยู่สักหน่อย ไม่มีใครจะมาจับฉันกับแกแน่”
บุษกรพูดออกไปทั้งที่ตนเองก็กลัวมิใช่น้อย หากแต่จะให้ความกลัวทำให้สิ่งที่คิดไว้หยุดชะงักไป ก็เห็นจะทำไม่ได้ มีคนข้างหลังรอความหวังจากเธออยู่ วินาทีนี้เงินคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเธอ เพราะจะเอาไปช่วยคนที่รักที่สุด
หญิงสาวยื่นมือที่เย็นจัดไปจับราวรั้วเหล็กเอาไว้จนแน่น พยายามห้อยโหนร่างกายเล็กบางเข้าไปภายในบ้านด้วยความรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ แต่เพราะไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ก็เกือบจะทำให้เธอพลัดตกลงไป
“จะเอาแบบนี้จริงเหรอพี่บัว ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา...คุกนะพี่” เก่งยังคงถามด้วยความหวาดกลัว มือเล็กกระด่างกระดำยื่นไปดึงรั้งเสื้อตัวโคร่งของบุษกร ถึงแม้จะเป็นคนมือเร็ว แต่เขาก็หยิบฉวยเฉพาะของพ่อกับแม่เท่านั้น ไม่เคยคิดที่จะไปขโมยของที่บ้านของคนอื่นอย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้
บุษกรอารมณ์เสีย เกือบจะหันไปด่าอยู่แล้ว แต่ก็เผอิญนึกได้ว่าอยู่ที่ไหน ก็เลยทำเพียงแค่หันไปตีหน้ายักษ์ใส่เก่ง ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างแผ่วเบา คนยิ่งรีบๆ อยู่ เก่งก็ยิ่งจะทำให้ชักช้า ดีไม่ดีมีคนมาเห็นเข้า เดี๋ยวก็ได้เข้าซังเตเอาเข้าจริง ๆ นะสิ
“เออซิวะ แกก็รู้ พี่จำเป็นต้องใช้เงินด่วน ต้องทำแบบนี้แหละถึงจะได้เงินเร็ว ๆ อย่างที่ต้องการ” บุษกรตอบกลับและดึงเอามือเล็กของเก่งออกจากตัวเสื้อ
“ไม่ต้องกลัว พี่ดูลู่ทางมาดีแล้ว ที่นี่ไม่มีใครอยู่เลย หรือถ้าจะมากันจริง ก็คงไม่ใช่ตอนนี้...หรอก”
บุษกรเอ่ยเสียงเบาก่อนจะรีบพาตัวเองไปซ่อนที่หลังต้นไม้ใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอริอ่านทำเรื่องผิดกฎหมาย ด้วยต้องการสิ่งของที่ไม่ว่าจะอะไรก็ได้ สิ่งที่สามารถนำไปแลกเป็นเงินเพื่อนำไปยื้อชีวิตของคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้อยู่ด้วยให้นานที่สุด
“เออ...ถ้าแกกลัวมากนัก ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ แกก็รีบหนีไปเลย ไม่ต้องรอ ฉันเอาตัวรอดได้”
บุษกรให้สั่งความเด็กชายที่คลานตามมาหลบด้วย ร่างบอบบางในชุดเสื้อเชิ้ตลายหมากรุกตัวใหญ่และกางเกงยีนเก่า ๆ ขาดกะรุ่งกะริ่ง สวมหมวกแก๊ปสีดำสนิทดึงมาปกปิดใบหน้าที่ทาด้วยขี้เถ้าผสมดินให้ยิ่งขะมุกขะมอมมากยิ่งกว่าที่เคยเป็น ถ้ามองเผิน ๆ แล้วคนอื่นจะคิดว่าเธอเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่ยังโตไม่เต็มที่ แต่คนที่อยู่ด้วยกันเท่านั้นแหละที่จะรู้ว่าภายใต้เสื้อผ้าหลวมโคร่งนี้คือหญิงสาววัยสะคราญ
บุษกรจะอายุครบยี่สิบปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว แต่เธอไม่สนใจงานเลี้ยงฉลองวันเกิดอะไรเลย สนใจเพียงว่าจะทำยังไง ถึงจะดึงเอาชีวิตแม่พรพรรณ ผู้หญิงที่สำคัญที่สุดเพียงคนเดียวให้มีชีวิตอยู่กับเธอให้นานที่สุด
‘แม่จ๋า...อดทนรอบัวหน่อยนะ บัวจะหาเงินไปรักษาแม่ให้หายให้เร็วที่สุด’
บุษกรบอกกับใจตนเอง นับตั้งแต่จำความได้ เธอมีแต่แม่พรพรรณที่คอยเฝ้าดู อบรมและสอนสั่ง ส่วนพ่อแท้ ๆ บุษกรยิ้มหยัน พ่อที่เธอไม่เคยจะเห็นหน้า นำพาแต่ความเจ็บปวดที่ฝังรากลึก คนที่ทำให้เธอถูกล้อ ถูกเรียกว่าเด็กไม่มีพ่อ ต้องแอบร้องไห้ตั้งหลายครั้งเพราะผู้ชายไร้ความรับผิดชอบคนนั้น
บุษกรยอมรับว่าทุกครั้งที่มีใครเอ่ยถึงพ่อ ใจของเธอเหมือนกับมีถูกบีบคั้นจนอึดอัดและเจ็บปวด แม้ปากจะตอบไปว่าไม่...ไม่ได้อยากพบเจอผู้ชายใจร้ายคนนั้น แต่ก็รู้ดีว่าในส่วนลึกของหัวใจ ยังไงก็ยังโหยหาและต้องการอ้อมอกของผู้เป็นพ่ออยู่เสมอ
“คิดเรื่องพ่ออยู่อีกแล้วใช่ไหมบัว”
“เปล่านี่คะ บัวไม่คิดถึงคนใจดำแบบนั้นหรอก”
“พูดอย่างนี้อีกแล้วนะบัว แม่บอกแล้วใช่ไหม พ่อจะต้องมีเหตุผลของพ่อ หนูเป็นลูกไม่ควรคิดไม่ดีกับพ่อ มันไม่ดี รู้ไหม”
“แต่มันเป็นเรื่องจริงนี่ค่ะ ผู้ชายคนนั้นใจร้ายมาก ทอดทิ้งไม่ดูดำดูดี ปล่อยให้แม่ถูกรังแก ทำให้อับอายจนแทบไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะกลัวสายตาคนรอบข้างที่มองมาอย่างสมเพศและดูถูกเหยียดหยาม” บุษกรพูดด้วยความอึดอัดคับแค้นใจ เพราะยังทำใจไม่ได้กับความใจร้ายของพ่อที่มีต่อแม่แท้ ๆ ของเธอ
“ไม่พูดแบบนั้นนะบัว พ่อต้องมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้น”
“เหตุผลของคนเห็นแก่ตัวนะสิคะ” บุษกรยังเถียงไปด้วยความเจ็บใจ ได้ฟังเรื่องของแม่ผู้ให้กำเนิดทีไร ใจเธอก็ร้อนรุ่มและเคียดแค้น เจ็บปวดแทนแม่ผู้ให้กำเนิด ยังดีว่ามีอ้อมแขนของผู้หญิงอีกคน ถึงจะไม่ใช่คนร่วมสายเลือดเดียวกัน แต่ก็รักและเป็นห่วงเธอมากคนที่ได้ชื่อว่าพ่อเสียอีก
“ผู้ชายคนนั้นทำให้แม่เจ็บปวด บัวไม่มีวันยอมรับเขาเด็ดขาด”
น้ำตาแห่งความเจ็บปวดของแม่ที่พรั่งพรูยามเมื่อถูกเธอรบเร้าถามถึงผู้เป็นพ่อ ทำให้ลูกคนนี้รู้สึกผิดเสมอมา ไหนจะถ้อยคำจากปากแม่พรพรรณซึ่งเป็นเพื่อนกับแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ คนที่รับรู้และคอยฟังปัญหา อยู่เคียงข้างยามทุกข์ใจ คอยเอาใจช่วยคนที่ถูกบีบคั้นจนแปรเปลี่ยนความรักที่เคยมีกลับกลายเป็นความเฉยชาและเจ็บปวด
“ถ้าเขายังมีความเป็นลูกผู้ชายพอ ดูแลเมียตัวเองไม่ให้มารังควานคนอื่น แม่คงยังมีชีวิตอยู่”
น้ำตาบุษกรเอ่อล้นคลอเบ้าเมื่อนึกถึงผู้เป็นมารดาที่ได้สามีที่ทำตัวเหมือนไม้หลักปักขี้เลนโอนเอนไปมา ตอนอยู่กับแม่ของเธอก็บอกว่ารักและจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่ผู้เป็นแม่หาให้ แต่พอเจอตัวจริงกับคำพูดหวานหูก็ผิดคำสัญญาโดยทันที แถมยังเป็นคนเห็นแก่ตัว ยังมาขอร้องให้แม่อยู่ในบ้าน...มองดูสามียกย่องเชิดชูผู้หญิงคนอื่น แต่ตัวเองคือผู้อาศัยที่ถูกขับไล่ไม่เว้นแต่ละวัน
“บัว!”
“ยังไงบัวก็ไม่ให้อภัยผู้ชายคนนั้นแน่ค่ะแม่พรพรรณ” บุษกรพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
พรพรรณได้แต่ส่ายศีรษะอย่างระอาใจกับคำพูดของบุตรสาวบุญธรรม ก่อนจะหนักใจเมื่อได้ยินอีกคำที่ดังมาจากปากสาวน้อย
“ถ้ามีโอกาส บัวจะเอาคืนผู้ชายใจร้ายและยายหมาบ้าที่มาอาละวาดทำให้แม่อยู่ไม่เป็นสุข” แค่ผู้ชายคนเดียว ถึงกับตามราวีผู้หญิงอีกคนแทบจะทุกวัน เรียกตัวเองว่าผู้ดี แต่คำพูดเหมือนกับไพร่กลางถนน ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งแทบจะหนีตายเพราะทนอับอายไม่ไหว
แม่พาร่างกายอ่อนระโหยโรยแรง น้ำตาไหลนองหน้ามาขอความช่วยเหลือจากแม่พรพรรณที่ไม่อยากรับภาระสักเท่าไหร่เพราะตัวเองกำลังจะแต่งงานกับข้าราชการหนุ่มอนาคตไกล แต่พอได้ฟังเหตุผลว่าถูกแม่สามีรังเกียจ สามีก็อ่อนแอไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง อะไร ๆ ก็แล้วแต่แม่...แม่ตลอด ที่สำคัญคือรู้ว่าเพื่อนท้องอยู่ ก็เลยสงสารให้ที่อยู่ที่กิน คอยดูแลและปลอบใจ รับฟังปัญหาที่มีอย่างเข้าอกเข้าใจ