ณ บ้านไม้หลังขนาดกลางในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย ได้มีกลุ่มชายในเครื่องแบบ 4-5 คนกำลังสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน
“ผู้กองดื่มน้อยไปแล้วครับ เอานี่ครับผมรินให้” จ่าแสนลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชารินเหล้าที่ชาวบ้านหมักเองให้ผู้กองหนุ่มได้ดื่ม
“ขอบคุณมากจ่าแสน แต่ผมพอแล้วดีกว่า พวกจ่าตามสบายเลย” เสียงของผู้กองหนุ่มตอบปฏิเสธเพราะวันนี้เขาดื่มไปหลายแก้วแล้ว ด้วยความที่ไม่ใช่คนชอบดื่มจึงไม่สามารถฝืนทนดื่มต่อไปได้อีก แม้ว่าเหล้าที่ชาวบ้านหมักดองเองจะรสชาติถูกปากก็ตาม
“โธ่... ผู้กองปราบอีกแก้วเถอะครับ” จ่าแสนยังคะยั้นคะยอไม่เลิก คนที่ร่วมวงด้วยก็รบเร้าผู้กองหนุ่มด้วยเช่นกัน แต่ผู้กองหนุ่มที่เป็นเจ้านายของพวกเขาก็ยังคงปฏิเสธอยู่ดี
“พอแล้วจริง ๆ ครับ ตามสบายเลยผมขอตัวก่อน อ้อ! อย่าดื่มกันจนเมาล่ะ อย่าลืมนะที่เรามาที่นี่เป็นเพราะอะไร”
“รับทราบครับผู้กอง” เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาตอบรับคำผู้กองหนุ่มก็เดินแยกจากไปอีกทาง เขาไม่ได้เข้าบ้านไปนอนพัก แต่มายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แทน
สายตาของผู้กองหนุ่มเหม่อมองออกไปไกล แม้ว่าตอนนี้ตะวันจะลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ว่าความสวยงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นมาก็สามารถดึงดูดสายตาให้มองได้เสมอ สายตาของผู้กองหนุ่มมองกลุ่มใบไม้พลิ้วไหวตามแรงลม แม้ในเวลากลางคืนจะมืดมิดทว่ากลับมีแสงดาวกับแสงของพระจันทร์สาดส่องสามารถมองเห็นได้ลาง ๆ
ผู้กองหนุ่มคนนี้คือ ร้อยเอกปราบดา จิตรดานนท์ หรือ
ผู้กองปราบ ที่ใครหลายคนเรียกกัน นายทหารหนุ่มหน่วยเหยี่ยวเพลิงแห่งกองทัพพิเศษมีหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันแนวตะเข็บชายแดนไทยพม่า
ก่อนหน้านี้ได้เป็นหนึ่งในส่วนร่วมของการจับกุมแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติร่วมกับผู้กองเพลิงเพื่อนของเขา ถึงจะอยู่คนละหน่วยงานแต่ว่ามีหน้าที่คล้ายคลึงกันจึงได้ร่วมงานกันในหลาย ๆ ครั้ง
ทว่าครั้งนี้ที่ผู้กองปราบมาที่หมู่บ้านที่บอกได้ว่าห่างไกลความเจริญของแท้เพียงคนเดียวเพราะมีเหตุผล เนื่องจากหน่วยของเขาได้รับการร้องขอให้มาช่วยเหลือเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ป่าไม้ในพื้นที่เพื่อป้องกันการค้าไม้เถื่อนข้ามประเทศและจัดการกับบุคคลที่ลักลอบตัดไม้โดยเฉพาะ
อย่างที่บอกเขาคือทหารปราบปรามพิเศษที่มีหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันแนวตะเข็บชายแดน เมื่อได้รับรายงานว่ามีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและค้าไม่เถื่อนโดยผ่านการขนส่งโดยใช้เส้นทางตะเข็บชายแดน เขาซึ่งมีหน้าที่ตรงนี้โดยตรงจึงได้ลงมาตรวจสอบและสืบหาต้นตอด้วยตนเอง
ส่วนผู้กองเพลิงเพื่อนสนิทของเขาแม้จะมีหน้าที่คล้ายคลึงกัน ทว่าเพิ่งแต่งงานกับภรรยาคนสวยไป จึงได้ทำการลาพักร้อนพาภรรยาสาวไปฮันนีมูนเรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนจะจากไปเพื่อนของเขายังบอกว่า
‘หากมีอะไรให้ช่วยสามารถติดต่อได้เสมอ’
สำหรับผู้กองปราบแล้วแค่ขาดเพื่อนต่างสังกัดในการร่วมงานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะครั้งนี้เขาแค่มาตรวจสอบและหาต้นตอคน
บงการเท่านั้น หากต้องมีการจับกุมหรือมีเหตุการณ์ก่อให้เกิดการปะทะกันที่รุนแรงในอนาคตค่อยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนต่างสังกัดคนนี้ก็ยังไม่สาย เพราะปกติเขาและผู้กองเพลิงก็แค่ทำงานร่วมกันเฉพาะงานใหญ่ที่ไม่สามารถปิดภารกิจด้วยการนำทีมเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว
แค่คิดว่าตอนนี้เพื่อนของเขากำลังมีความสุขกับภรรยา ผู้กองปราบก็ยิ้มออกมา ก่อนจะรู้สึกอิจฉาเล็ก ๆ ที่ตัวเองยังไม่มีคนรักอย่างเพื่อนก็เท่านั้น
สายตาคมที่มองไกลออกไปยังภูเขาที่อยู่เบื้องหน้าด้วยแววตานิ่งสงบ ซึ่งบริเวณดังกล่าวถูกคาดการณ์จากเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ป่าไม้ว่าน่าจะมีการลักลอบตัดไม้หายากและไม้หวงห้ามขึ้น
ผู้กองปราบถอนหายใจครุ่นคิด คาดว่าอีกไม่เกินสองถึงสามวันเขาคงได้เข้าไปเยือนพื้นที่นั้น เพื่อตรวจสอบว่ามีการลักลอบตัดไม้จริงหรือเปล่า และถ้ามีใครกันแน่ที่เป็นผู้บงการ เรื่องนี้เขาต้องหาหลักฐานและความจริงออกมาให้ได้ แต่ตอนนี้เขาต้องไปพักผ่อนก่อน เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ประชุมปรึกษาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องและวางแผนการเข้าพื้นที่อีกครั้ง
เช้าวันต่อมาผู้กองปราบตื่นขึ้นมารับแสงอาทิตย์ยามเช้าด้วยใบหน้าที่สดใส ก่อนจะออกกำลังกายยามเช้าเบา ๆ เพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าพร้อมสำหรับวันนี้ เสร็จแล้วจึงไปอาบน้ำและมาทานข้าว รอเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ป่าไม้เข้ามาหา
ผู้กองปราบรอไม่นาน เพียงแปดโมงเช้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็มาที่บ้านที่ให้พวกเขาพัก ที่ตอนนี้กำลังเริ่มการประชุมกันอย่างจริงจัง ประกอบด้วยผู้กองปราบ จ่าแสน และทหารในหน่วยเหยี่ยวเพลิงอีกสามคน เจ้าหน้าที่ป่าไม้อีกสามคน รวมทั้งสิ้นเจ็ดคน
“คุณจะบอกว่าเถ้าแก่ฮวงเจ้าของปางไม้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบตัดไม้นี้” ผู้กองปราบเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
ส่วนเถ้าแก่ฮวงที่ถูกพูดถึงรวมทั้งกำลังจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย คือ
เถ้าแก่เจ้าของปางไม้ตีตรา ที่เป็นปางไม้ที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอนี้
“เรื่องนี้ยังไม่แน่ชัดครับผู้กองพวกเราแค่สงสัยกันเท่านั้น จริง ๆ เรื่องนี้พวกเราเคยส่งเรื่องให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมป่าไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีการส่งคนมาตรวจสอบ พวกเราจึงได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยของผู้กองอย่างลับ ๆ”
คนพูดคือคมสันหัวหน้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่เป็นฝ่ายติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้กองปราบนั่นเอง เพราะเรื่องนี้เขาเคยดำเนินเรื่องไปหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีอะไรคืบหน้า จึงต้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยทหารพิเศษแบบนี้
“ใช่แล้วครับผู้กอง ก่อนหน้าที่เราจะติดต่อกับผู้กอง เราได้ลองตรวจสอบสัมปทานป่าไม้ของเถ้าแก่ฮวงอย่างลับ ๆ และพบว่าเถ้าแก่ฮวงล้ำเขตสัมปทานของตัวเองขึ้นมา ซึ่งเป็นการรุกล้ำพื้นที่ป่า แต่พวกเราไม่สามารถเอาผิดเถ้าแก่ฮวงได้เลย เหมือนมีคนคอยให้ความช่วยเหลือ
เถ้าแก่ฮวงตลอดเวลา” เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ชื่ออินพูด
“ใช่ครับ เพราะแบบนี้หัวหน้าคมจึงต้องติดต่อผู้กอง และขอร้องให้
ผู้กองมาพื้นที่นี้แบบคนธรรมดา” เจ้าหน้าที่อีกคนที่ชื่ออ่ำพูดเสริมขึ้นมา
ผู้กองปราบพยักหน้ารับพร้อมทั้งขบคิดตามคำพูดที่คนทั้งสามพูดออกมาด้วย เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนเขาก็พบว่าเรื่องนี้มันแปลก แปลกตั้งแต่เจ้าหน้าที่คมสันแจ้งเรื่องไปยังคนระดับสูงที่มีอำนาจในการจัดการตรวจสอบเรื่องนี้ได้ แต่กลับไม่มีใครลงมาตรวจสอบเลยสักคน ไหนจะสัมปทานที่เถ้าแก่ฮวงถือครองอีก ดูท่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
“เอาละ ผมจะลองปลอมตัวเข้าไปสืบเรื่องนี้ดู”
“ผู้กองระวังตัวด้วย เถ้าแก่ฮวงฉลาดและเจ้าเล่ห์มาก เถ้าแก่คนนี้ไม่ใช่คนดีนักชาวบ้านในหมู่บ้านรู้กันดี” เจ้าหน้าที่คมสันเอ่ยเตือนผู้กองหนุ่มอย่างจริงใจ
“ขอบคุณมากหัวหน้าคม แต่ไม่ว่าจะยังไงผมก็ต้องเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ระหว่างนี้พวกคุณก็ระวังตัวด้วย ที่สำคัญอย่าทำอะไรผิดสังเกตและให้ทำเหมือนว่าพวกคุณเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว”
ผู้กองปราบพูดออกมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั้งสามคนก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“อีกเรื่องครับผู้กองที่ผมเคยแจ้งไป”
“เรื่องเส้นทางข้ามประเทศตรงตะเข็บชายแดนใช่ไหม”
“ครับ ก่อนที่ผู้กองจะมาผมได้ไปตรวจสอบอีกครั้งและพบว่าครั้งนี้ไม่ใช่เพียงทางโล่งเตียนและมีรอยเท้าธรรมดาเหมือนทุกที เพราะครั้งนี้ผมพบว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากอยู่ตรงเส้นทางนั้นด้วย อาวุธปืนครบมือทั้งยังกำลังเจรจาบางอย่าง แต่ผมไม่รู้ว่าอะไรเพราะกลัวพวกมันจะจับได้จึงรีบหนีออกมาก่อน”
“ทำถูกแล้วล่ะหัวหน้าคม เอาละขอบคุณมากสำหรับข้อมูล จากนี้ผมจัดการเอง ถ้ามีอะไรให้ช่วยผมจะบอกอีกที พวกคุณกลับได้แล้วล่ะก่อนที่จะมีใครสงสัย”
“ครับ กลับก่อนผู้กอง”
คล้อยหลังเจ้าหน้าที่ทั้งสาม ผู้กองปราบกำลังคิดหาวิธีลอบเข้าไปยังสัมปทานป่าไม้ของเถ้าแก่ฮวงรวมถึงปางไม้ตีตราของเถ้าแก่ด้วย เมื่อคิดว่ามีหนทางเป็นไปได้จึงเริ่มวางแผนกับทหารที่มาทำงานด้วยกันทันที