ตอนที่ 12 หวังดีประสงค์ร้าย (1)

2138 Words
ดนุนัยและผู้ร่วมเดินทางอีกสามคนมาถึงสนามบินภูเก็ตช่วงแปดโมงครึ่ง ซึ่งภายในสนามบินในช่วงเวลาดังกล่าวค่อนข้างพลุกพล่านไปด้วยผู้โดยสาร เนื่องจากตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ จากนั้นภักดีเป็นคนไปรับกระเป๋าตรงจุดสายพานรับกระเป๋า ขณะที่ดนุนัยพร้อมกับอีกสองสาวรออยู่ที่จุดนั่งพัก กระทั่งเมื่อภักดีเข็นรถบรรจุสัมภาระเข้ามาหา ทั้งสี่คนก็พากันออกไปยังหน้าอาคารขึ้นรถลีมูซีนที่ทางสนามบินจอดเตรียมไว้รับผู้โดยสารเพื่อไปส่งยังจุดหมายปลายทาง เมื่อก้าวเข้ามาในรถแล้ว ดูเหมือนคนที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษคือสาวน้อยข้างกายของดนุนัย ชายหนุ่มหันไปมองร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่ตอนนี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่จะได้เห็นน้ำทะเลสีสวยด้วยความเอ็นดู ที่ผ่านมาหญิงสาว เคยไปเที่ยวทะเลหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าพูดถึงจังหวัดภูเก็ต เขาคิดว่านี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเหยียบแผ่นดินไข่มุกอันดามัน เนื่องจากที่ผ่านมาเวลาเธอจะไปไหน เขาต้องรับรู้ด้วยตลอด เลยรู้ว่าสาวน้อยยังไม่เคยมาที่นี่แน่ “พรุ่งนี้ก่อนกลับ ฉันจะขับรถพาเที่ยวรอบเมืองนะ” เขาบอกอย่างใจดี สาวน้อยรีบพยักหน้าขอบคุณเขา นั่งรถจากสนามบินไปโรงแรมใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงรีสอร์ตในเครือ เดอะวันบิลด์ ซึ่งเป็นรีสอร์ตของดนุนัยเอง ตอนนี้มีพนักงานมายืนต้อนรับพวกเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นพนักงานหญิงในชุดยูนิฟอร์มก็เดินนำดนุนัยและมาลินีไปยังด้านหลังของรีสอร์ตซึ่งเป็นห้องดีลักซ์ ถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่รู้ข่าวว่าประธานใหญ่แห่ง เดอะวันบิลด์ จะลงมาที่นี่ บริเวณโซนนี้ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว ที่สำคัญคือด้านหลังของห้องพักสามารถมองเห็นวิวทะเลเป็นอย่างดี ขณะที่ภักดีกับมณีรัตน์พักอยู่ฝั่งทางด้านหน้าของรีสอร์ต เป็นห้องติดกันซึ่งฝั่งนี้แม้จะมองไม่เห็นวิวทะเล แต่สามารถเห็นวิวภูเขาสลับซับซ้อน ทอดยาวออกไปเป็นแนวขุนเขาสวยงามไม่ต่างกัน ด้วยความที่ว่าการลงมาในภูเก็ตในครั้งนี้เพื่อมาทำงาน หลังจากเช็กอินเรียบร้อยแล้ว ดนุนัยก็เตรียมลงพื้นที่หน้างานในทันที ก่อนไปชายหนุ่มเข้าไปหาผู้ติดตามอีกคนที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไร ที่พาเธอมาด้วยก็แค่อยากให้เธอได้มาเที่ยวในวันหยุดก็เท่านั้น “ช่วงที่ฉันไปทำงาน มะลิจะออกไปเดินเล่นก็ได้นะ แต่อย่าไปเล่นน้ำทะเลคนเดียวล่ะ” ดนุนัยกำชับกับสาวน้อย จากนั้นหยิบบัตรจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้เธอ “ให้มะลิทำไมคะ?” มาลินีถามพลางมองบัตรสีทองที่ส่งมาจากเขา ไม่ได้เอื้อมมือไปรับ เพราะคิดว่าคงไม่ต้องใช้ ทว่าดนุนัยกลับคว้ามือเล็กขึ้นมาก่อนจะวางบัตรเครดิตใส่อุ้งมือเล็ก “เก็บไว้ใช้เผื่อต้องการซื้ออะไร” “แต่…” คนมองบัตรในมือเม้มกลีบปากอย่างเกรงใจ “ไม่ต้องมีแต่อะไรทั้งนั้น ที่นี่มีของขายเยอะ โดยเฉพาะพวกของกิน มีแต่น่ากิน ๆ ทั้งนั้น ลองเดินไปดูนะ” หาเรื่องกินมาล่อ จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องของสาวน้อย เพื่อเตรียมตัวลงไปดูพื้นที่โครงการก่อสร้างที่ลูกค้าโทรมาเร่ง มาลินีมองตามร่างหนาแล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ ทำไมคุณนิกของเธอถึงได้น่ารักและใจดีกับเธอแบบนี้นะ บุญคุณที่เขาและครอบครัวของเขาดูแลเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็กไม่รู้จะตอบแทนยังไงหมด เมื่อลับแผ่นหลังหนาของดนุนัยแล้ว มาลินีจัดการปิดประตูห้องไม่ได้ออกไปเดินเล่นแต่อย่างใด เธอรู้สึกอยากนอนพักเสียมากกว่า เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ซ้ำเมื่อเช้ายังต้องตื่นเช้าอีก ร่างเล็กเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแบบซิงเกิล คลุมทับด้วยผ้าปูสีขาวและมีผ้านวมพับไว้ปลายเตียงดูเรียบร้อย ทันทีที่แผ่นหลังถึงที่นอนนุ่ม ๆ เปลือกตาก็พลันปิดลงอย่างอัตโนมัติ กระทั่งตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว มาลินีขยับกายบิดขี้เกียจสองถึงสามครั้ง จากนั้นก็ลุกจากที่นอนไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นพร้อมเปลี่ยนชุดใหม่ เพื่อออกไปหาอะไรกินข้างนอก ร่างเล็กกลับออกมาจากห้องน้ำในเวลาต่อมา จัดการเปิดกระเป๋าเดินทางที่ตั้งอยู่ปลายเตียง นำเสื้อผ้าออกมาเก็บใส่ตู้เสื้อผ้า พอเก็บข้าวของเครื่องใช้เรียบร้อยแล้ว หมายจะออกจากห้องเพื่อไปหาอะไรกิน ทว่าจู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น หญิงสาวหยิบขึ้นมาดูเมื่อเห็นว่าเป็นมนรดาจึงกดรับสาย “ว่าไงแก?” ถามพลางเดินออกไปสำรวจชานระเบียงข้างห้องแทนการออกไปหาอะไรกิน คิดว่าคุยเสร็จแล้วค่อยออกไปก็ได้ เพราะเธอยังไม่หิวขนาดนั้น ในตอนนี้ตำแหน่งที่เธอยืนสามารถมองเห็นวิวชายหาดที่ทอดแนวยาวกว้างสุดลูกหูลูกตา หากทว่ายืนได้ครู่เดียว หญิงสาวต้องรีบกลับเข้ามาในร่ม เพราะทนแดดร้อนแรงช่วงเที่ยงไม่ไหว ก่อนจะมาทิ้งตัวลงบนที่นอนอีกครั้ง “ไม่มีอะไรหรอก แค่โทรมาคุยเล่นเฉย ๆ ว่างไหม?” ท้ายประโยคเหมือนมีความเกรงใจเพื่อนนิด ๆ “ว่าง ตอนนี้เราอยู่ที่ภูเก็ต” มาลินีกรอกน้ำเสียงหวาน แล้วก็ต้องรีบยกมือถือออกห่างริมหู เพราะเสียงอุทานของเพื่อนดังจนแก้วหูแทบแตก “ว่าไงนะ! แกไปภูเก็ตกับใคร เมื่อวันแกยังอยู่กรุงเทพ ฯ อยู่เลยนะ” “คุณนิกมาทำงานแล้วให้เรามาด้วยอะ” เมื่อเอ่ยถึงชื่อคนใจดี มาลินีอมยิ้มแก้มแทบปริ นอนยกเรียวน่องขยับไปมาในระหว่างคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอย่างมีความสุข “แบบนี้มีลุ้นนะแก เมื่อก่อนคุณนิกไม่เห็นจะพาแกไปไหนมาไหนด้วยเลย” “มีลุ้นอะไร?” คนที่นอนยิ้มอยู่บนเตียงถามออกไปทั้งที่เข้าใจความหมายของเพื่อนดีว่าหมายถึงอะไร หากแต่ในส่วนลึกของหัวใจมันกลับบอกว่า เขาแค่เอ็นดูเธอเท่านั้น เพราะดนุนัยมีภาวินีอยู่แล้ว เมื่อคิดถึงสิ่งนี้น้ำเสียงเศร้าลงจนเพื่อนต้องเอ่ยถาม “แกเป็นอะไร ทำไมเสียงอ่อยจัง” “เปล่าหรอก เราก็แค่คิดว่าคุณนิกคงไม่คิดอะไรกับเราหรอก เราเป็นใครแล้วเขาเป็นใคร” “นี่อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย คิดว่าตอนนี้แกก็ได้อยู่กับเขาไม่ใช่เหรอ ไม่แน่คุณนิกกับคุณภาวินีอาจจะไม่เป็นอะไรกันแล้วก็ได้ สี่ปีมานี้พวกเขาไม่ได้ไปมาหาสู่กันเลยนะ” “อือ ช่างเถอะเรามาคุยเรื่องอื่นต่อดีกว่า” มาลินีตัดบท เพราะไม่อยากให้บรรยากาศในการสนทนากร่อย “จ้ะ เมื่อคืนปาร์ตี้สนุกไหม เสียดายมากที่ไม่ได้ไปด้วยเพราะต้องไปเฝ้าป๊าที่โรงพยาบาลน่ะ” “ไม่เป็นไร แล้วป๊าเป็นไงบ้าง อาการดีขึ้นหรือยัง?” ความจริงตอนเย็นก่อนเลิกเรียน มาลินีเอ่ยชวนมนรดาไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของดนุนัยด้วย แต่เพื่อนปฏิเสธ บอกว่าต้องไปเฝ้าพ่อที่ผ่าตัดไส้ติ่งเมื่อสองวันก่อนที่โรงพยาบาล “ดีขึ้นแล้ว ไม่กี่วันก็คงกลับบ้านได้” “เออนี่เมื่อคืนนายภัทรก็มาด้วยนะ” มาลินีเล่าพลางยิ้มไปด้วยเมื่อนึกถึงเมื่อคืนในงานปาร์ตี้ แม้เธอจะไม่ได้เป็นแขกที่มาร่วมงานเหมือนคนอื่นเขา แต่เธอก็มีความสุขเพราะก็ได้กินของอร่อยเหมือนคนอื่น และที่สำคัญคือเธอก็ได้แต่งชุดสวย ๆ ด้วย “นั่นไงเราว่าแล้วไอ้ภัทรคงไม่พลาด ตกลงมันดื่มหนักป่ะ?” “ไม่นะ เพราะพี่นนท์ไม่ให้ดื่มอะ” เมื่อคืนตอนที่จิรายุจะส่งไวน์ให้ณภัทร เธอเห็นเพื่อนชายปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าเฮียนนท์สั่งห้ามเพราะขากลับเขาต้องเป็นขับรถ “สมน้ำหน้ามัน” มนรดาหัวเราะคิกก่อนจะถามถึงเพื่อนในกลุ่มอีกคน “แล้วไอ้เจมันรู้ป่ะว่าแกไปภูเก็ตกับคุณนิกน่ะ” คนที่นั่งอยู่บนโซฟานั่งเฝ้าคนป่วยถามคนปลายสายด้วยความอยากรู้ “ไม่น่าจะรู้นะ เราออกจากบ้านเมื่อเช้านายนั่นยังไม่ตื่นเลย” “โหนี่ถ้ามันรู้มันจะตามแกไปไหมเนี่ย” “ไม่หรอกจะตามมาทำไม” “นั่นสิ” มนรดารู้ตัวว่ากำลังจะพลั้งปากไปแล้วรีบปิดปากแน่น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย สองสาวยังเม้ามอยท์กันตามประสาอีกหลายเรื่อง ก่อนที่มนรดาจะเป็นฝ่ายขอกดวางสายก่อน เนื่องจากคุณหมอเจ้าของไข้เข้ามาตรวจดูอาการของบิดาในห้อง หลังจากที่เพื่อนรักกดวางสายแล้ว ยังไม่ทันที่มือถือยี่ห้อดังราคาย่อมเยาในมือถูกวางลงบนเตียง หากมันก็สั่นขึ้นอีกหน มาลินีกดรับสายทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใคร “ฮัลโหลค่ะ คุณนิกมีอะไรหรือเปล่าคะ?” “กินมื้อเที่ยงหรือยัง?” “ยังค่ะคุณนิก” “ฉันสั่งสปาเก็ตตี้ทะเลให้แล้ว เดี๋ยวสักพักพนักงานจะยกไปให้ที่ห้อง” ดนุนัยบอกอย่างใจดี คิดไว้อยู่แล้วว่าสาวน้อยของเขา คงจะนอนอุดอู้อยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกไปหาอะไรกิน เขาเลยโทรสั่งอาหารกับเชฟของรีสอร์ต มาลินียิ้มแป้นพร้อมกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณค่ะคุณนิก” ความจริงตั้งใจจะเดินไปหาอะไรกินในห้องอาหารของรีสอร์ตอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาสั่งมาให้แล้ว เธอจะได้ไม่ต้องออกไปกินข้างนอกอีก “อยากได้อะไรเพิ่มอีกไหม?” เสียงของดนุนัยนุ่มทุ้มยามเอ่ยถามเธอ จนคนฟังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ไม่แล้วค่ะ” “โอเคงั้นฉันกินข้าวต่อ เดี๋ยวกินเสร็จก็ต้องเคลียร์งาน กว่าจะกลับก็เกือบห้าโมง หรืออาจจะช้ากว่านั้น ถ้าหิวหาอะไรรองท้องไปก่อนนะ ไว้กลับไปถึงจะพาไปกินของอร่อย” “มะลิจะรอคุณนิกนะคะ” มาลินีบอกเสียงหวาน ทำให้คนที่นั่งกินข้าวอยู่อีกที่หนึ่งยิ้มบางราวกับมีความสุข แต่เมื่อหันไปเห็นสายตาของลูกน้องคนสนิททั้งสองมองตาไม่กะพริบ ดนุนัยตักอาหารกินข้าวต่อไม่สนใจต่อสายตาที่มองเขาราวกับแปลกใจที่เขาทำแบบนี้ เลขานุการสาวมองเจ้านายหนุ่มแล้วนึกขุ่นเคืองใจนัก นานเท่าไหร่แล้วที่ดนุนัยไม่ยิ้มแบบนี้ ตั้งแต่ที่เลิกรากับแฟนสาว ดนุนัยไม่เคยคบใครจริงจังเลย ผู้หญิงที่เขาควงอยู่มากสุดก็แค่หนึ่งเดือน ซึ่งหนึ่งเดือนนี้ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากแล้ว “เวลาคุยกับน้องมะลิบอสดูมีความสุขจังนะคะ” ออกปากเอ่ยแซวว่าผู้เป็นนายจะว่าอย่างไร แต่พอเห็นรอยยิ้มจุดแต้มบนมุมปากของเจ้านายหนุ่ม มือที่วางอยู่บนตักกำหมัดแน่น หล่อนต้องทำอะไรบางอย่างแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นหล่อนจะต้องเสียบอสไปให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างมาลินีเป็นแน่ ที่ผ่านมาหล่อนทำหน้าที่ดูแลและอยู่เคียงข้างบอสมาตลอด ดีใจมากแค่ไหนที่เขาไม่คบกับผู้หญิงคนไหนเป็นจริงเป็นจัง ในใจหวังอยู่ลึก ๆ ว่าการที่บอสหนุ่มไม่คบใครจริงจัง หล่อนก็อาจจะมีหวังบ้าง ตลอดระยะเวลาสี่ปีนี้ หล่อนเสียเงินกับการศัลยกรรมมาไม่น้อย และต้องเสียเงินไปกับการเข้าคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพ และเสียเงินไปกับเสื้อผ้าดี ๆ และพยายามแต่งตัวให้เหมือนกับอดีตแฟนสาวของเขา มันไม่ง่ายเลยที่หล่อนจะทำเรื่องนี้ หล่อนทั้งต้องอดทนและฝึกวินัยในตัวเอง เพื่อหวังว่าบอสจะได้หันมาสนใจเธอบ้าง แต่วันนี้หล่อนรู้แล้วว่าสิ่งที่ทำลงไปมันกำลังจะสูญเปล่า เพราะมีเด็กสาวที่ชื่อมาลินีคนนั้นเป็นตัวดับความฝันของหล่อน!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD