“อ๋อ...เรื่องนั้นเองหรือ?” นางพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเดินออกจากตลาดไปอย่างเงียบ ๆ ไม่น่าแปลกใจถ้าคนที่รู้จักเหมยซิง และรู้เรื่องที่นางถูกโยนทิ้งในป่าช้า หากมาเห็นนางเดินใต้แสงตะวันกลางวันแสก ๆ เช่นนี้คงตกใจไม่น้อย
“ติงหยี่”
“มีอะไรรึพี่สาว”
“ป่าช้านั้นอยู่ไกลไหม?”
ติงหยี่หยุดเดินแล้วหันไปจ้องมองใบหน้าของเหมยซิง
“พี่แค่อยากเห็นว่าที่ตรงนั้นเป็นเช่นไร” นางยื่นมือไปโยกศีรษะน้องชายเล่น
“จะดีหรือ?”
“นี่กลางวันอยู่ ไม่เป็นอะไรหรอก”
นางแค่อยากเห็นสถานที่ที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างของเหมยซิง และได้เห็นว่าคนใจร้ายพวกนั้นโยนร่างนางทิ้งไว้เป็นสถานที่เช่นไร
ติงหยี่เห็นแววตาของพี่สาวแล้วก็ได้แค่พยักหน้ารับ เขาพาเดินออกนอกเส้นทางไปไม่นานนักก็เข้าสู่ป่ารกทึบ หากไม่เพราะทั้งสองขึ้นเขาหาของป่าเป็นประจำคงหวาดกลัวที่นี่ไม่น้อย
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าท่านพ่อพบพี่สาวที่ใด รู้แค่ว่าเป็นป่าช้าแห่งนี้”
เหมยซิงพยักหน้ารับแล้วยืนมองอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้เข้าไปลึกมากนัก แค่เพียงยืนอยู่ชายป่าก็ยังรู้สึกเยียบเย็นแม้จะเป็นยามบ่ายแล้วก็ตาม
คนแบบไหนกันถึงโหดร้ายถึงเพียงนี้ ลงโทษนางจนตายแล้วเอามาโยนทิ้งอย่างอนาถ หากพ่อบุญธรรมตามหานางช้าเกินไป ต่อในนางฟื้นขึ้นมาก็อาจถูกสัตว์ร้ายกัดแทะเนื้อแหว่งไปแล้วก็ได้
“โหดร้ายเหลือเกิน”
“ข้าไม่เชื่อว่าพี่สาวจะเป็นขโมย” ติงหยี่รีบพูดขึ้น “แม้พวกเราเคยเป็นขอทานแต่ไม่เคยขโมยของใคร พี่สาวถูกปรักปรำแน่นอน ข้าเชื่อว่าพี่สาวไม่ได้ทำอย่างที่พวกนั้นกล่าวหา”
“เอาเถิดอะไรที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยมันผ่านไป สู้เราเก็บแรงไว้ทำมาหากินของเราไม่ดีกว่ารึ”
นางยิ้มให้น้องชาย แต่ในใจอดคิดไม่ได้ว่า คนที่ทำร้ายเด็กสาวอายุสิบหกเป็นใครกัน และเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไรกันแน่ แต่เมื่อทุกคนคิดว่านางตายไปแล้ว ก็เท่ากับว่าเรื่องราวในครั้งนั้นถือว่าสิ้นสุดได้หรือไม่นะ
“กลับกันเถิด”
“ฮืม” ติงหยี่ยิ้มน้อย ๆ เขายิ้มไม่เก่ง แต่พูดน้อย เมื่อยิ้มแล้วดูเป็นเพียงเด็กชายคนหนึ่ง
เหมยซิงกำลังจะหมุนตัวกลับ คล้ายได้ยินเสียงร้องครางอยู่ไม่ไกลนัก เท้าของนางชะงัก และหันไปตามเสียงที่ได้ยิน
“พี่สาว” ติงหยี่เรียกเมื่อไม่เห็นว่าพี่สาวเดินตามออกมา
“รอเดี๋ยว” นางยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณให้เงียบก่อน อาจมีคนถูกทำร้ายแล้วเอามาทิ้งเหมือนนางก็ได้ ดวงตากลมกลอกไปมาเงี่ยหูฟังจนแน่ใจแล้วรีบก้าวยาว ๆ ไปหลังพุ่มไม้ที่อยู่ห่างจากนางราวยี่สิบก้าว
“พี่สาว” เพราะแบกของไว้เต็มหลัง เขาจึงก้าวตามพี่สาวได้ช้านัก เขาไม่ได้กลัวภูตผีแต่กลัวจะเป็นคนร้ายมากกว่า แต่เมื่อเดินไปทันแผ่นหลังของพี่สาว เขาเองก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น
“คนหรือผี...”
เหมยซิงไม่รอช้า รีบเข้าไปประคองร่างที่เปื้อนเลือดขึ้น เขาเป็นชายหนุ่มร่างผอมบาง เสื้อผ้าเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มไปแล้ว ใบหน้าก็มีรอยบอบช้ำเขียวเป็นจ้ำ นางพยายามจับตัวอย่างเบามือด้วยเกรงว่าจะถูกชิ้นส่วนในร่างกายที่แตกหัก กลับได้ยินเสียงครางออกมา
“คนซิ ยังหายใจอยู่”
เหมยซิงหันไปดุน้องชาย มือเรียวลูบคลำไปตามเนื้อตัว ลอบถอนหายใจเมื่อมั่นใจว่าไม่มีชิ้นส่วนใดหัก แต่ไม่พบบาดแผลที่ทำให้เลือดออกท่วมเสื้อผ้าเช่นนี้ คล้ายว่ามีคนเอาเสื้อผ้าชุ่มเลือดมาคลุมร่างนี้ไว้เพื่อซุกซ่อนชายผู้นี้ไว้
“แล้วจะทำอย่างไรดี”
“ต้องพาเขากลับไป”
“พากลับไป! ไปไหน!”
“บ้านเราซิ”
“จะพาไปอย่างไรเล่า”
“แบก!”
“พี่สาว! พี่จะแบกผู้ชายไม่ได้!” ติงหยี่ส่ายหน้ารัว พี่สาวยังไม่ได้แต่งงาน ขืนใครรู้เข้าคงไม่ได้ออกเรือนเป็นแน่
“ได้ซิ” เหมยซิงคิดแค่ช่วยคน “มาช่วยพี่หน่อย”
นางย่อตัวลงมุ่งมั่นเอาจริงว่าจะแบกชายผู้นี้ให้ได้ ติงหยี่จึงได้แต่ประคองชายที่หมดสติแต่หลุดปากครางอย่างเจ็บปวดตลอดเวลาให้เขาขึ้นหลังพี่สาว เขาตัวเล็กเกินไปไม่สามารถแบกชายผู้นี้ได้
เหมยซิงรวบรวมกำลัง ดีที่ตั้งแต่นางฟื้นมาก็ฝึกฝนออกกำลังกายอยู่เสมอ ร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงกว่าวันแรก ๆ ที่ฟื้นมามากนัก นางลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากแต่เมื่อทรงตัวได้ก็ออกก้าวเดิน เคยคิดว่าตัวเองผอมบางมากแล้ว ชายผู้นี้ผอมกว่านักน้ำหนักไม่มากเท่าที่คิด ใบหน้าของเขาพาดข้ามไหล่ลงมา ลมหายใจร้อนระอุดุจคนป่วยไข้ ส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวด
“อดทนหน่อยนะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป” เหมยซิงกระซิบบอก ราวกับน้ำเสียงของนางเข้าไปสู่อีกฝ่าย เสียงครางเงียบลงไปเหลือเพียงลมหายใจที่ยังสม่ำเสมออยู่
“รีบเดินเร็ว”
“อืม”
ติงหยี่ได้แต่พยักหน้ารับไม่คิดว่าพี่สาวจะมีแรงแบกผู้ชายขึ้นหลังได้อย่างนี้ แม้เห็นชัด ๆ ว่าพี่สาวยังคงเป็นเหมยซิงคนเดิมที่คอยดูแลเขาเขาและน้อง ๆ มาตลอด แต่ต้องยอมรับว่าหลังจากที่พี่สาวกลับจากป่าช้าก็เปลี่ยนไป
แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เขารู้สึกดียิ่งนัก.
ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ปลุกให้คนที่หมดสติตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ประสาทหูได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันอยู่ไม่ไกลนัก กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยคลุ้งในอากาศ ดวงที่ปิดสนิทมาหลายวันก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นดวงตากลมของเด็กหญิงตัวเล็กที่โน้มหน้าจ้องมองคนที่นอนอยู่
“พี่สาว!”
เสียงแหลมเล็กของเด็กน้อยดังขึ้นจนคนนอนต้องหลับตาไปอีกครั้ง รู้สึกเหมือนคนวิ่งออกไป และครู่ต่อมาเสียงหวานใสดังขึ้นแทนที่
“เหมยลี่ อย่าเสียดัง แล้วก็อย่าวิ่งด้วย ท่านพ่อยังนอนอยู่”
“แต่คนผู้นี้ลืมตาแล้ว”
“ลืมตาแล้ว?”
คนที่นอนอยู่ในห้องพยายามอีกคราในการลืมตาขึ้น คราวนี้สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กสาวมีเหงื่อเกาะพราว ดวงตาดำดุจนิลกระจ่างสุกใสจ้องมอง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้างเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้คนเห็นสบายตายิ่ง
“ฟื้นแล้วรึ”
‘ฟื้น’
ซุนเว่ยหมิน ทบทวนสิ่งที่ได้ยิน ที่นี่ที่ใดกัน เขาขยับปากจะส่งเสียงถาม แต่กลับมีเสียงครางครือในลำคอ เขาพยายามขยับตัวแต่ทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือเบิกตากว้าง และกลอกตาไปมามองสิ่งที่อยู่รอบข้างกาย
‘เกิดอะไรขึ้น ไฉนจึงขยับตัวไม่ได้เช่นนี้’
ชายหนุ่มถามตัวเองกลอกตาลงมองท่อนแขน คล้ายบังคับให้มันขยับ แต่กลับทำไม่ได้ รู้สึกเพียงมีแค่ปลายนิ้วกระดิกอย่างยากลำบาก จนเหงื่อไหล่ท่วมใบหน้า
เหมยซิงเห็นใบหน้าที่มีเหงื่อผุดขึ้นมา ซ้ำดวงตายังดูเคร่งเครียดผสานความตกใจ นางใช้ปลายแขนเสื้อซับเหงื่อให้เขาก่อนมองตามสายตาคู่นั่นที่มองแขนของตน เห็นเพียงปลายนิ้วที่กระดิกขึ้นลงเหมือนเคาะพื้นอยู่ นางจึงเลื่อนมือจากใบหน้าของเขาไปจับที่แขนแทน
“ขยับได้หรือไม่” เสียงหวานถามอย่างกังวล แต่กลับได้ยินเพียงเสียงครางครือในคอ นางก็หันไปสบตากับเขาแล้วขมวดคิ้วยุ่ง
‘หรือบาดเจ็บจนเป็นอัมพาตไปนะ’
เหมยซิงถามตัวเองแล้วพิจารณาจากท่าทางของเขา นางลองยกแขนของเขาขึ้นและปล่อยลง ท่อนแขนทิ้งตัวลงราวกับกิ่งไม้ร่วง นางสบตากับดวงตาที่มีแววตื่นตระหนกคู่นั้นแล้วหันไปบอกน้อง ๆ ที่รุมล้อมอยู่ให้ถอยห่างออกไปข้างนอกก่อน เมื่อในห้องโกโรโกโสไม่มีใครแล้ว นางจึงสูดลมหายใจลึกแล้วส่งยิ้มให้กำลังใจเขา
“ที่นี่ไม่ผู้อื่นแล้ว เจ้าตั้งใจฟังข้าดี ๆ นะ” นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเองประกอบคำพูด “เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ถ้าเข้าใจสิ่งที่หรือได้ยิน เจ้าพยักหน้าหนึ่งครั้งนะ”
แม้คำพูดของนางจะฟังขัดหู แต่ซุนเว่ยหมินจำเป็นต้องทำตาม เขาฝืนพยักหน้าได้หนึ่งครั้งก็เหงื่อซึมออกมาอีกระลอก
“ดี” นางพยักหน้ารับ “คราวนี้ลองเปล่งเสียงซิ อา....”
“....อ..อา...”
“ดี” นางยิ้มให้เขาเป็นของรางวัล “ข้าชื่อเหมยซิง เจ้าลองพูดชื่อตัวเองซิ”
“....อือ...อา...”
‘คนอะไรชื่ออืออา’