บทที่2. แปลกที่

1424 Words
การอยู่ในโลกนี้ทำให้พันดาวต้องปรับตัวเป็นเหมยซิง  นางไม่รู้ว่าที่ที่อยู่นี่เรียกว่าอะไร ยุคไหน แต่ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกาย และชื่อเรียกขาน ทำให้นางคิดถึงหนังจีนกำลังภายใน  แรก ๆ นางคิดไปว่าตัวเองหลุดมาในโลกนิยายที่ตัวเองแสดงอยู่  แต่รายละเอียดชื่อเมืองต่าง ๆ นั้น ไม่ตรงกัน  ประวัติศาตร์จีนโบราณอะไรนั่น นางยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่             แม้คิดหาวิธีกลับไปโลกเดิม แต่ในเมื่อยังเป็น ‘เหมยซิง’ ในโลกนี้ นางจำเป็นต้องดูแลเด็ก ๆ ทั้งสี่และพ่อบุญธรรม พวกเด็ก ๆ เองเห็นนางตื่นฟื้นจากความตาย  แม้จำอะไรไม่ได้แต่ก็ไม่ซักถาม อะไรที่นางไม่รู้ทุกคนก็ช่วยสอน อาจเพราะความยากจน และผ่านสงครามมาทำให้พวกเขาเติบโตเกินวัยไปแล้ว  เด็กผู้ชายพานางเดินขึ้นเขา สอนให้นางเก็บฟืน และผักป่า ระยะนี้พ่อบุญธรรมร่างกายไม่แข็งแรงจึงไม่ได้ขึ้นเขาล่าสัตว์ป่ามาเป็นอาหาร  หลังจากผ่านสงครามไปเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาที่ละน้อย ร่างกายของเหมยซิงผ่ายผอมจนน่าร้องไห้  พันดาวโอดครวญในอก บังเอิญเห็นคันธนูเก่า ๆ แล้วอยากลองล่าสัตว์ด้วยตนเอง  นางเคยฝึกการใช้ธนูมาก่อน การยิงธนูทำได้ค่อนข้างดี แต่ร่างกายของเด็กสาวผอมแห้งผู้นี้แทบไม่มีแรงง้าวสายธนู   รวมถึงการยืดหยุ่นตัวด้วย  นางเคยตีลังกาม้วนตัวได้สบาย ๆ แต่พอมาอยู่ในร่างเหมยซิงที่น่าสงสารกลับทำอะไรไม่ได้ตามใจคิด    เอาเถิด ระหว่างที่นางคิดวิธีกลับไปโลกเดิมก็ต้องหาวิธีใช้ชีวิตในร่างนี้  นางตื่นเช้า หุงหาอาหารทำกับข้าวอย่างง่าย ๆ ระหว่างนี้อาศัยช่วงที่เด็ก ๆ ยังไม่ตื่นยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายฝึกซ้อมให้ร่างกายเข้าที่เข้าทาง  เพียงครึ่งเดือนนางปรับตัวเข้ากับสถานที่แห่งนี้ได้   นางหาไม้ไผ่ขนาดพอดีมือเอาไว้เป็นไม้พลองฝึกซ้อมป้องกันตัวเอง  เมื่อครั้งที่ยังเป็น ‘พันดาว’ นางชอบใช้ไม้พลองมากที่สุด  เคยเป็นนักกีฬาระดับเหรียญทองแดงมาแล้ว    แม้เด็ก ๆ ดูแปลกใจที่จู่ ๆ เหมยซิงผู้อ่อนแอลุกขึ้นมาจับไม้ไผ่แกว่งไปมา แต่ไม่ได้ถามอะไร  ช่างเป็นน้องที่เชื่อฟังพี่เสียจริง  ทำให้พันดาวหรือเหมยซิงรักเด็ก ๆ เหล่านี้มากยิ่งขึ้น ติงเชาที่นอนป่วยบนฟูกเก่า ๆ มองการเคลื่อนไหวผ่านช่องหน้าต่างเห็นเหมยซิงควงไม้ไผ่ลำนั้นอย่างคล่องแคล่วแล้ว  ก็ประหลาดใจนัก  เขาเห็นความแตกต่างของเหมยซิงหลังจากฟื้นจาก.... ชายหนุ่มวัยสี่สิบถอนหายใจอย่างปวดร้าว ไม่คิดว่าลูกสาวบุญธรรมจะกตัญญูถึงเพียงนี้  ยอมไปทำงานเป็นหญิงรับใช้เพื่อหาเงินมาเลี้ยงน้อง ๆ  เขาย่อมรู้ว่าการทำงานเป็นบ่าวไพร่มิใช่เรื่องสบาย อาจถูกกดขี่จากผู้อื่นได้  เขาหวังให้นางใช้ชีวิตเรียบง่าย เขาทำได้เพียงแค่สอนหาของป่านำไปขายเลี้ยงชีพ  เหมยซิงของเขามองโลกงดงามเกินไป  นางถูกทำร้ายหนักหนาเพียงใดหนอ  จึงอยู่ในสภาพนั้น  เขาไม่เชื่อสุดจิตสุดใจว่าลูกรักจะเป็นขโมยได้  ยังไม่ทันมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง นางถูกหามทิ้งในป่าช้าอย่างอนาถ   ยามนั้นเขาคิดเพียงขอได้เห็นหน้าลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย  ได้ฝังนางอย่างสงบ แต่นางกลับฟื้นขึ้นมา  ดวงตาของนางจ้องมองเขาราวกับจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองก่อนหมดสติไปอีกครั้ง เขาที่ขาพิการต้องแบกร่างเบาหวิวของลูกสาวขึ้นหลังกลับมาที่กระท่อมหลังน้อย  โชคดีที่พวกเขาอาศัยอยู่ตีนเขาห่างไกลในเมือง  ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเหมยซิงอีก  เขาเองกลับเป็นฝ่ายลังเลที่จะไปทวงความยุติธรรมดีหรือไม่  แต่เห็นนางฟื้นอีกครั้ง และจำอะไรไม่ได้ เขาจึงล้มเลิกไป ติงเชาเห็นความห่างเหินของเหมยซิงกับตนก็อดถอนหายใจไม่ได้  แต่อย่างไรนางก็เป็นหญิง และเป็นเพียงลูกบุญธรรมที่เขาเก็บมาเลี้ยง  สนิทสนมเกินไปย่อมไม่ดี แต่กระนั้นเหมยซิงก็ยังดีกับน้อง ๆ ทุกคน “ท่านพ่อตื่นหรือยังเจ้าคะ”  เหมยซิงโผล่หน้าเข้ามาถาม  นางพูดจาเลียนแบบเหมยลี่  เพราะมีประสบการณ์จากการเป็นนักแสดงมา เลยพูดจาทำนองนี้ได้เพียงแค่นางฝึกเล็กน้อยก็คุ้นชินแล้ว “ตื่นแล้ว” “ข้าต้มโจ๊กไว้แล้ว ท่านลุกขึ้นมากินสักนิดเถิด”  นางเข้าไปประคองพ่อบุญธรรมให้ลุกขึ้นนั่ง  เสียดายที่นางไม่รู้เรื่องสมุนไพรอะไรนัก  แต่หลังจากฟื้นมาในร่างเหมยซิงได้ครบเดือน  นางชินกับสภาพร่างกายนี้แล้ว  คิดว่าถึงเวลาที่ต้องขึ้นเขาสำรวจดูอะไร ๆ บ้าง   หากจะต้องใช้ชีวิตในโลกนี้ก็คงต้องหาหนทางใช้ชีวิตแบบโบราณเสียหน่อย เด็ก ๆ ต้องกินอาหารให้เต็มท้อง พื้นที่หลังผ่านสงครามมากำลังฟื้นตัว นางคงจะพอหาอะไรมาเพาะปลูก  นางมีแรงงานเป็นเด็กชายสามคน ส่วนน้องเล็กให้คอยดูแลปรนนิบัติพ่อบุญธรรมไปก็แล้วกัน “ท่านพ่อ ข้าอยากขอยืมอุปกรณ์ล่าสัตว์ของท่าน” “หือ? เจ้าใช้เป็นหรือไร”  ติงเชาอดถามกลับไม่ได้ “แค่เอาไว้ป้องกันตัว”  นางหมายถึงมีดพร้าไม่ได้หมายถึงธนูเก่า อันนั้น  นางชำนาญไม้พลองมากกว่า แม้ชีวิตของพันดาว ใช้ไม้พลองเป็นเครื่องมือการแสดง แต่ในโลกของเหมยซิง นางคงจะได้ใช้มันป้องกันตัว  แถวนี้ไม่เคยได้ยินเรื่องสัตว์ร้ายมานานแล้ว  เขาจึงวางใจให้ลูกสาวคนโตเข้าป่า “เอาติงหยี่ ไปด้วยกันซิ” “ไม่ดีกว่า ข้าอยากไปตามลำพัง”   ความจริงนางอยากหาที่ฝึกฝนร่างกายด้วย ศิลปะการต่อสู้ที่ลุงทองดีสอนมา หากไม่ฝึกฝนอยู่เสมอ นางกลัวว่าตนเองจะลืมแม่ไม้หมัดมวยที่เรียนมาเสียหมด   ไม่รู้ว่าคนที่นี่มี วรยุทธแบบในภาพยนตร์จีนกำลังภายในที่เคยดูมาหรือเปล่านะ “แต่...” “ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ” เหมยซิงหัวเราะร่า “คนที่เคยถูกทิ้งในป่าช้าอย่างข้าคงไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก”.  หัดเข้าป่าล่าสัตว์อยู่รวมสัปดาห์  เหมยซิงได้กระต่ายป่าตัวอวบมาเป็นอาหารให้น้อง ๆ เด็ก ๆ ตื่นเต้นกันมาก  นางเองได้รับการสั่งสอนจากติงเชา  แม้พ่อบุญธรรมนอนป่วยอยู่บนที่นอนเสียส่วนใหญ่ แต่เมื่อพยุงตัวลุกขึ้นได้ก็สอนนางใช้เครื่องมือล่าสัตว์  เอาธนูออกมาซ่อมแซมให้นางได้ฝึกใช้  เพราะร่างกายที่ฝึกฝนออกกำลังกายสม่ำเสมอทำให้เรี่ยวแรงกลับคืน แรก ๆ นางกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องฆ่าสัตว์ที่จับมา  นางไม่ใช่พวกไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ไม่เคยออกล่าและฆ่าเองเช่นนี้  อยู่อีกโลกแค่กำเงินไปจ่ายตลาด มีทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว ปลา หรือไก่ให้เลือกกินได้สารพัด  แต่ต้องทำเพื่อปากท้อง นางเริ่มทำใจได้   นางเก็บเห็ดลงมาจากเขาให้พ่อบุญธรรมช่วยดูว่าชนิดไหนกินได้บ้าง โชคดีที่บรรดาน้องชายถนัดเรื่องจับปลา พวกเขาสอนนางให้จับปลาในธารน้ำไม่ไกลนัก             พันดาวหรือเหมยซิงเริ่มคุ้นชินกับชีวิตใหม่นี้ แม้ไร้เทคโนโลยีที่คุ้นเคย แต่เมื่อปรับตัวได้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว  แต่กระนั้นเงินก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญอยู่ดี  นางยังไม่รู้ว่าจะหาเงินได้อย่างไร จะหาของป่าไปขาย ตัวเองไม่ค่อยรู้จักอะไรดีนัก อาจต้องรอให้พ่อบุญธรรมแข็งแรงกว่านี้จะได้สอนนางได้มากขึ้น  ในโลกที่จากมาพันดาวเคยออกค่ายอาสาหลายครั้ง  รวมทั้งงานในกองถ่ายก็ไม่ได้สบายนัก หลายครั้งที่ออกกองถ่ายต่างจังหวัดก็ยังคิดอยู่ว่าคล้ายกับโลกใบนี้มากนัก   
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD