เด็กชายทองแท่ง เป็นลูกของพี่ชายของเขา ซึ่งพี่ ทองใบเสียชีวิตไปเมื่อสองปีที่แล้ว ส่วนแม่ของทองแท่งนั้น เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านม เธอจากลูกไปตั้งแต่ทองแท่งคลอดยังไม่ทันถึงปีด้วยซ้ำ
ทองแท้จึงรับหลานเป็นบุตรบุญธรรม เขาทั้งรักทั้งห่วงใย และเลี้ยงดูประหนึ่งว่า ทองแท่งเป็นลูกของเขาจริง ๆ
บ้านของกำนันทองแท้อยู่ในหมู่บ้านซึ่งอยู่ตีนเขา แต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่ เวลามีงานบุญ หรือมีมหรสพ เขาจึงต้องไปดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย
พื้นที่รับผิดชอบของกำนัน ตำบลคำคุยใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่อุทยานซึ่งมีพื้นที่ภูเขาด้วย ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนภูตั้งถิ่นฐานและปลูกบ้านเรือนอยู่มานานแล้ว พวกเขาอยู่มาก่อนที่ทางราชการจะประกาศให้เขตพื้นที่นี้เป็นอุทยานแห่งชาติเสียอีก
ทองแท้เหลือบตามองตัวเลขที่บอกเวลาหน้าคอนโซลรถ ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว เขาขับรถลงมาถึงตีนภูพอดี ชายหนุ่มชะลอความเร็วลงในตอนที่ลงเนินมาจนถึงทางเรียบ และขับต่อมาอีกร้อยเมตรก็ถึงศาลาริมทาง เขาเหยียบเบรกหยุดรถ เพราะตรงนี้เป็นสามแยก เขามองซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง
เมื่อมองจนแน่ใจว่าไม่มีรถคันอื่นบนถนน เขาจึงบังคับรถเลี้ยวซ้ายเพื่อจะเข้าสู่ถนนสายหลัก ทว่าหัวคิ้วเข้มก็ต้องย่นเข้าหากัน เมื่อแสงไฟจากรถสาดไปที่ศาลาริมทาง แล้วเขาได้เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในศาลา
กำนันทองแท้เหยียบเบรกเต็มตีน เขาจ้องมองสิ่งนั้นอย่างพิจารณา พอเห็นว่าเป็นคน แถมยังเป็นผู้หญิงอีกต่างหาก เขาจึงสบถออกมาอย่างหงุดหงิด
เพราะแถวนี้เป็นป่าทั้งสองข้างทาง มันอันตรายมาก ๆ กับการที่ผู้หญิงจะมานั่งคนเดียวแบบนี้
ร่างสูงที่ลงจากรถแล้วเดินตรงมายังศาลา ทำให้คนที่นั่งรอ เพื่อขอติดรถใครสักคน ข้ามภูไปอีกฟากมองอย่างระแวง แสงไฟจากรถที่สาดส่องมาจากเบื้องหลังของเขา ทำให้เกิดเงาด้านหน้า เธอจึงมองหน้าเขาไม่ชัดเจนเลย
พอเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงชายคาศาลา เหนือเดือนก็กอดกระเป๋าเป้เต็มอก เธอลุกขึ้นยืน มองซ้ายขวาหาทางหนีทีไล่
“ดึก ๆ ดื่น ๆ มาทำอะไรแถวนี้ หนีออกจากบ้านมาใช่มั้ย”
แสงไฟจากรถที่สาดเข้ามาในศาลา ทำให้กำนันทองแท้เห็นเธอได้ชัดเจน หญิงสาวตัวเล็ก ผิวขาว มัดผมหางม้า หน้าอ่อนอย่างกับเด็กนักเรียนมอปลาย เขาก็เลยคิดว่า เธออาจจะเป็นเด็กสาวใจแตกที่หนีออกจากบ้านมาก็ได้
ตอนแรกก็ตั้งท่าจะกระโจนหนี แต่พอถูกกล่าวหาว่าหนีออกจากบ้านมา คนที่อายุเลยวัยบรรลุนิติภาวะมาแล้ว 3 ปีก็หัวร้อนขึ้นมาทันใด
เหนือเดือนยืนประจันหน้ากับคนตัวสูง พลางคิดในใจว่า คนบ้าอะไรสูงอย่างกับเสาไฟฟ้า เธอสูงแค่อกเขาเองมั้ง
“ฉันโตแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว และฉันไม่ได้หนีออกจากบ้าน”
“งั้นก็หนีผัว”
เหนือเดือนอ้าปากค้าง เขากล้าดียังไง ถึงมากล่าวหาว่าเธอหนีผัว เธอยังไม่มีผัว และไม่เคยมี ร่างกายนี้ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่...อีกไม่นาน เธอจะต้องเอาร่างกายนี้ไปบำเรอกามเจ้าหนี้ พอวกมาคิดถึงเรื่องนี้ ใจดวงน้อยก็วูบโหวง
...ไม่ว่าทำอะไรอยู่ จะคิดเรื่องอะไรก็ช่าง สุดท้าย...มันก็มาจบที่เรื่องเธอต้องเอาตัวไปชดใช้หนี้ ขนาดอยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เธอก็ยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ดี
พอหญิงสาวเงียบ กำนันทองแท้จึงมองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ ตัวเล็กเท่าลูกหนูนา หน้าตาไร้พิษสงแบบนี้ คงไม่ใช่คนร้าย
“สรุปว่าจะไปไหน”
คำถามของเขาทำให้คนที่กำลังระทมทุกข์ใจดึงสติกลับมา เรื่องอะไรเธอจะบอกคนแปลกหน้า ก็เพราะคนแปลกหน้าไม่ใช่เหรอที่ทำให้เธอต้องมานั่งแกร่วอยู่ตรงนี้
หลังจากรถทัวร์มาถึงที่สถานีขนส่งของอำเภอ เหนือเดือนก็ลงจากรถ แล้วเดินหารถรับจ้าง แต่เธอดันซวย จ้างรถผิดคัน ไว้ใจผิดคน เพราะคิดว่าเป็นคนอำเภอเดียวกัน และเห็นเป็นคุณลุงน่าเชื่อถือ เธอจึงเหมารถมัน 300 บาท ให้พาเธอไปส่งที่บ้าน โดยเธอจ่ายเงินให้มันก่อนขึ้นรถ
แต่มันกลับมาส่งเธอที่ตีนภูที่อยู่คนละฟากกับหมู่บ้านของเธอ มันออกอุบายว่ารถเสีย ขอซ่อมรถก่อนแล้วจะขับขึ้นภูพาเธอไปส่งอีกฟาก มันให้เธอลงไปนั่งรอที่ศาลาริมทาง เธอก็ถือใจซื่อลงจากรถไปนั่งรอในศาลา
แต่เพียงแค่เธอหย่อนก้นลงบนม้านั่ง มันก็ขับรถหนี ทิ้งเธอให้นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ศาลานี่ตั้งแต่สองทุ่มแล้ว
โทรศัพท์ก็แบตหมด ติดต่อใครไม่ได้เลย รถผ่านทางก็ไม่มี เพราะพอมืดค่ำ คนบนภูก็ไม่ลงมา คนข้างล่างก็ไม่ขึ้นไป กลัวก็กลัว เหนื่อยก็เหนื่อย แต่เธอก็ยังนั่งรอ และภาวนาด้วยความหวัง
ตอนแรกที่เธอเห็นรถของเขา เธอก็ดีใจแหละ แต่ก็หวั่นใจอยู่นิด ๆ เธอจึงไม่วิ่งทะเล่อทะล่าออกไปหา ในขณะที่เธอสองจิตสองใจว่า จะลุกไปโบกรถเขาดีไหม เขาก็เป็นฝ่ายลงจากรถมาหาเธอเอง
“ว่าไง...จะไปไหน”