ตอนที่ 5

1706 Words
5 ข้าเป็นไข้จนคิดว่าอาจจะไม่รอดแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้รับการรักษาจนหายอย่าง...น่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก อ๋อ...ข้ายังเจอกับสัตว์ร้ายด้วย ถูกมันทำร้ายจนเกือบจะกลายเป็นคนพิการด้วยซ้ำ การเดินทางที่มันเต็มไปด้วยขวากหนามต่าง ๆ นานา ชนิดที่ว่าข้าก็สงสัยตัวเองเป็นยิ่งนัก ยังคงรอดชีวิตไปเป็นอนุภรรยาของคนผู้นั้นได้เยี่ยงไร ตนเองโชคดีหรือว่าเคราะห์กรรมยังมิหมด จึงต้องไปพบเจอกับความตายที่โดดเดี่ยวและน่าสะพรึงกลัว “มาคุมตัวข้าไปขึ้นเขียงนั่นเอง...ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ เพราะตัวข้าเองก็ไม่ได้มีข้าวของอันใดที่สำคัญที่จะลำบากท่านองครักษ์ต้องช่วยขน” ข้าเห็นท่านองครักษ์มองอย่างแปลกใจอยู่นะ จนเผลอหลุดปากออกไป “ข้าไม่ได้จะว่าหรอกนะ แต่ข้าว่านายของท่านน่ะ พลาดอย่างที่สุดที่มาขอให้ข้าไปเป็นอนุภรรยา” หรือว่าข้านั้นเข้าใจอันใดผิดพลาดไป แม้จะเป็นเพียงแค่อนุภรรยาก็ควรที่จะมีพิธีการบ้างไม่ใช่หรือ แต่เท่าที่ข้าจำได้และเห็น...ไม่มีข้อใดบ่งบอกให้ข้ารู้สึกได้ว่าตัวเองจะมีงานมงคลและไปเป็นอนุภรรยาผู้ใด “เพราะตัวข้า...เป็นบุตรที่บิดาเลี้ยงแบบทิ้งขว้าง เป็นบุตรที่ถูกบิดาลืมเลือน” ข้ากล่าวโดยไม่ทุกข์ไม่ร้อนใด ๆ อยู่เรือนตัวเองได้พบเจอบิดาก็เหมือนไม่ได้พบนั่นแหละ เพราะบิดาจำมิได้ด้วยซ้ำว่ามีข้าเป็นบุตรอีกคน ยังคิดว่าตัวข้านั้นเป็นบ่าวไพร่อยู่เลย เมื่อไปถึงที่แห่งนั้น ข้าก็ไม่ได้รับการยอมรับ เพราะเป็นอนุภรรยาที่ไร้พิธีการรองรับมิหนำซ้ำยังถูกผลักไสให้ไปอยู่ท้ายเรือน เป็นบุคคลที่ถูกลืมเลือนอย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนจะถูกลากให้มารับเคราะห์ ถูกใส่ร้ายจนแม้กระทั่งตายก็ยังไม่อาจล่วงรู้ว่าผู้ใดสั่งให้ตายและไม่ได้ทวงความยุติธรรมให้กับตนเอง ที่ครั้งนี้...ข้าจะไม่ยอมเป็นเช่นนั้นอีกแล้ว! ข้าลุกขึ้นเดินไปยังเตียงที่อาศัยนอนมาหลายสิบปี หยิบเอากล่องไม้ขนาดเล็กมาถือไว้และเดินนำบุรุษที่บอกว่าเป็นองครักษ์มาคุ้มครอง...ควบคุมตัวนะถูกแล้ว คงจะกลัวว่าข้าจะถูกสังหารเสียระหว่างการเดินทาง หรือไม่ก็คงจะกลัวข้าหนีไปนั่นเอง ฮึ! ถ้าข้าทำได้ ข้าทำไปนานแล้ว ไม่รอให้ถึงวันนี้หรอกนะ “ถ้าข้าจะยังพอมีพื้นที่ความจำในสมองอยู่บ้าง...พิธีมงคลตามกำหนดที่แจ้งมา ยังอีกเกือบจะเดือนไม่ใช่หรือท่าน หรือว่าข้าเข้าใจอันใดผิดไป” หากก็เหมือนกับว่าข้าถามก้อนหิน...ไร้คำตอบจากคนที่เดินตามมา ข้าก็เลยเลือกไม่สนใจ หันไปส่งยิ้มให้กับเหล่าบ่าวไพร่ที่ชะเง้อคอมองมายังข้าด้วยสายตา...สมเพชเวทนา แหม...ข้าดีใจนักที่พวกท่านมาส่งข้าเยี่ยงนี้!     มาถึงห้องโถงที่ตอนนี้ข้าเห็นฮูหยินสี่อิงเหม่ยนั่งเป็นประธานและมีสี่ซูเจียวยืนทำหน้าง้ำหน้างออยู่ด้านหลังของนาง ใบหน้าที่ควรจะแย้มยิ้มเพราะตัวข้าจะต้องไปจากเรือนแห่งนี้กลับบึ้งตึง อีกทั้งในดวงตาของสี่ซูเจียวก็เต็มไปด้วยโทสะ อา...นางโกรธเคืองข้าด้วยเรื่องอันใดกันเล่า ข้าว่าตอนนี้ข้าไม่ได้กวนโทสะของนางแล้วนะและไม่ได้มาเสนอหน้าที่จะทำให้นางโกรธเคืองอันใดเลยด้วย ข้าเลิกคิ้วมองไปยังเสี่ยวฝานที่ยืนแอบอยู่ที่ประตูของบ้าน “คุณชายหนิงเหอมิลืมข้าวของอันใดอีกแล้วใช่ไหมขอรับ” หือ...นั่นใครอีกล่ะ   แล้วข้าก็สังเกตเห็น นอกจากฮูหยินอิงเหม่ยกับสี่ซูเจียวแล้วก็ยังมีบุรุษอีกสี่คนอยู่ในห้องนี้ด้วย...ทุกคนล้วนแล้วแต่สวมใส่อาภรณ์สีดำมิดชิดและมีหน้ากากสีดำปกปิดใบหน้า จะยกเว้นก็เพียงแค่บุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งที่คงจะเป็นหัวหน้า แม้เขาจะสวมอาภรณ์สีดำแต่หน้ากากที่ปกปิดใบหน้ากลับเป็นสีเงินซึ่งมีลวดลายแปลกตา ที่เมื่อข้าได้สบสายตาด้วย...กายของข้าก็สั่นสะท้านหนาวยะเยือก รู้สึกเหมือนกับว่ารายรอบกายมันมืดมัวหม่น อึดอัดจนหายใจติดขัดขึ้นมาทันทีทันใด น่ากลัว! “ก็ไม่...แล้วนะ” ข้ารวบรวมความกล้าตอบกลับไปเสียงค่อนข้างจะสั่นไหว ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นรู้ว่าข้ากลัว นัยน์ดวงตาเขาถึงได้จุดประกายคล้ายจะพึงพอใจและชอบใจ ฮึ! อดีตข้าเคยปล่อยให้ความกลัวครอบงำจนปล่อยให้ชีวิตต้องพบกับจุดจบมาแล้ว หากครานี้...แม้ข้าจะกลัวสักเพียงใด ข้าก็จะตั้งหน้าสู้ “แม้ว่าข้าสมควรจะมีทรัพย์สินติดกายไป แต่การเดินทางที่ยาวไกล โจรผู้ร้ายชุกชุม ข้าเลยคิดว่า...ไม่ควรพาข้าวของอันใดติดกายไปด้วยจะดีกว่า” เผื่อว่าอยู่ที่นั่นแล้วมันเกิดเหตุร้ายที่คาดไม่ถึง ข้าจะได้หนีอย่างทันท่วงทีโดยไม่ต้องห่วงข้าวของนอกกาย “ข้าวของเจ้า ข้าให้คนจัดเตรียมให้แล้ว” หือ...ข้ามองฮูหยินสี่อิงเหม่ยอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ยังคิดว่าฟังผิดไปด้วยซ้ำ แต่พอเห็นใบหน้าบึ้งตึงของสี่ซูเจียวแล้วก็เข้าใจ “ขอบคุณขอรับฮูหยิน” ข้าโค้งคำนับเป็นการของคุณสี่ฮูหยินในความเมตตาปรานีที่นางมอบให้ ดูเหมือนว่านางอยากจะพูดอะไรกับข้าอยู่นะ แต่...ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากฟังท่านเอ่ยทวงบุญคุณที่ข้าจำไม่ได้ว่าท่านมี “ถ้าเช่นนั้นเราก็ออกเดินทางกันได้แล้วใช่ไหม” อา...ข้าลืมไปว่ายังไม่ถามเสี่ยวฝานเลยนี่นา ข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ครบถ้วนหรือไม่ “เจ้าจะกล่าวกับสี่ฮูหยินก่อนเดินทางหรือไม่” ข้าฉีกยิ้มจนปากกว้าง หากนัยน์ตากลับเฉยชาขณะทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น “ข้าน้อยสี่หนิงเหอ ขอขอบพระคุณฮูหยินและคุณหนูใหญ่ที่ให้การดูแลมาตลอดหลายปี ข้ามิมีอันใดจะตอบแทนท่านทั้งสอง คงทำได้เพียงแค่...” ข้าโขกศีรษะลงกับพื้นสามครั้ง “คำนับท่านเป็นการขอบคุณเท่านั้น” ข้าเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเหลือบมองไปแล้วเห็นใบหน้าสี่ฮูหยินเกือบจะเป็นสีเขียวสีเหลืองด้วยโมโหที่ข้าตัดทางนาง ก็แหม...จะเหตุผลอันใดก็ตามที่ทำให้ข้าต้องไปเป็นอนุภรรยาของชายผู้นั้น ข้ามิสนใจและคิดหาคำตอบได้ แต่ผลประโยชน์อันมหาศาลก็ตกอยู่ที่ตระกูลสี่ ตัวนางและบุตรของนางนี่น่า ซึ่งข้า...มิยอมหรอก ส่งข้าไปตายครั้งหนึ่งแล้วยังจะคิดหาผลประโยชน์จากข้าอีก อันนี้ข้ายอมมิได้นะ อยากได้ก็จงหาทางเอาเองเถอะ! ข้าว่า...ข้าได้ยินเสียงหัวเราะรู้เท่าทันจากเขาผู้นั้น...ที่มีหน้ากากเงินปกปิดใบหน้าอยู่นะ ข้าเลิกคิ้วขึ้นมอง อยากจะถาม ท่านชื่อเรียงเสียงใดแล้วหัวเราะอันใดข้า แต่...ขี้เกียจล่ะและอยากรีบเดินทางออกจากที่นี่ด้วย ข้าตื่นเต้นจะแย่แล้ว อยากรีบออกไปจากเรือนนี้ อยากเร่งทำสินค้า อยากเร่งทำมาค้าขายด้วย “ถ้าเช่นนั้นก็ออกเดินทางได้แล้ว” อา...ใช่ ข้าคาดเดาไม่ผิดจริง ๆ นั่นแหละ ท่านผู้นั้นเป็นหัวหน้าจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่อะไร ที่ข้าสังเกต เพราะถ้าหากระหว่างการเดินทางเกิดอันใดขึ้น ข้าจะได้เข้าหาคนที่ควรจะต้องเก่งที่สุด เพื่อจะได้ปกป้องข้ามิให้ได้รับอันตรายไง...ข้าคิดถูกใช่ไหมล่ะ ข้ารู้ว่าเสี่ยวฝานมิใช่คนไม่รับผิดชอบ หากแต่มันมีคนคอยกลั่นแกล้งไง ของมักหายไปอย่างไร้ร่องรอยและหาคนทำมิได้ ข้าเดินไปหาเสี่ยวฝานเพื่อไต่ถาม หากข้ายังไม่ทันจะได้ทำก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะท่านหัวหน้าองครักษ์จับแขนข้าแล้วลาก...ใช่ เขาลากให้เดินตามไปโดยไม่สนใจเลยว่าข้าจะเดินตามมิทัน “เดี๋ยวสิท่าน” ข้าประท้วง แต่ท่านหัวหน้าองครักษ์ก็ยังคงมิฟัง ยังคงลากให้ข้าเดินตามไปอย่างรวดเร็ว “สายแล้ว เราต้องรีบเดินทาง” “ก็ใช่ไง ข้ารู้ แต่ข้า...” หากข้ายังมิทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ข้าก็ต้องหยุดยืนตัวแข็งทื่อ เพราะเมื่อข้าผ่านประตูเข้าเรือนก็ได้เห็นว่าตรงหน้ามีม้าสีดำตัวใหญ่นับรวมก็เท่ากับคนในชุดสีดำพอดี ข้าเหลียวมองไปจนทั่วแต่ก็มิเห็นรถม้าขนาดสามคนนั่งที่มารับข้า ไหนรถม้าที่มารับข้าล่ะ? อยากบอกนะว่าจะให้ข้าขี่ม้าไป...ข้าเคยขี่ม้าเสียที่ไหนกันเล่า หากข้าก็ยังมิทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด สองเอวก็ถูกท่านหัวหน้าองครักษ์ที่ข้ามิคิดจะถามชื่อแซ่จับเอาไว้แล้วยกข้าขึ้นไปนั่งและท่านหัวหน้าองครักษ์ก็รีบกระโดดตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เสี่ยวฝานเองก็นั่งตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างอยู่กับหนึ่งในองครักษ์เช่นกัน “ท่าน!” ข้าหลับตาปี๋ ส่งเสียงดังลั่นด้วยความหวาดกลัวขณะจับแผงคอม้าเอาไว้แน่นเพราะกลัวจะตกลงไป “ข้าวของที่สี่ฮูหยินเตรียมไว้ให้เจ้า ข้าให้คนขนล่วงหน้าไปก่อนแล้ว...ไป!” ท่านพูดอันใดข้ามิรู้ความ...ข้าบอกท่านได้เพียงแค่ว่า ข้ากลัว!!!!!! ข้ามิเห็นสิ่งใด เพราะข้ากลัวจนต้องหลับตา หากหูได้ยินเสียงลมหวีดหวิวที่ดังมา ฮื่อ...ข้าจะมีชีวิตรอดหรือไม่! 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD