สามทุ่ม
ตรัยคุณที่กลับมาจากจีนได้สามวันกำลังขับรถเข้าซอยบ้าน เขามองร้านขนมที่คนคึกคักต่อแถวยาวอย่างสนใจ เห็นทุกวัน วันแรกก็นึกว่ามีมหกรรม วันนี้ดูคนซาน้อยที่สุด อาจเป็นเพราะว่าดึกแล้ว น่าสนใจ เขาจึงลองหาที่จอดรถและตั้งใจจะขอลองไปยืนดู บางทีอาจจะซื้อฝากคนที่บ้าน
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าแม่ค้าหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราคุ้นหูคุ้นตา พอแถวที่ยาวยิ่งร่นเข้าไปใกล้ ก็ยิ่งเห็นว่าเธอคือคนคุ้นเคย แต่ที่ต่างไปคือเธออ้วนขึ้น ตัวใหญ่ขึ้นมาก แต่แค่บริเวณเดียว
“รับอะไรดีคะ” แม่ค้ายังคงก้มทำออเดอร์ที่มีคนสั่งก่อนหน้านี้ ปกติก็จะมีคนงานชั่วคราวเป็นเด็กแถวบ้านนี่ล่ะมารับจ้างช่วย แต่ช่วงนี้ปลายภาคเรียนแล้วก็คงติดสอบกันเป็นส่วนใหญ่ จึงหายหน้าหายตาไปกันหมด
ตรัยคุณมองคนที่ยังคงน่ามองเสมอ เธออยู่ในชุดคลุมท้องสีน้ำตาล มีผ้ากันเปื้อนสีขาวสวมทับอยู่ด้านนอก ไรผมชื้นเหงื่อ ใบหน้ามันเล็กน้อย แต่ทุกอย่างกลับสะกดสายตาเขาเอาไว้
“รับอะไรดีคะ” เธอถามซ้ำพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองลูกค้าที่เงียบสนิท ไม้พายทาเนยในมือถึงกับหล่นลงไปชนถาดเสียงดังแกร๊ง
“นี่เธอท้องเหรอ” ตรัยคุณก็เพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ
“นี่คุณจะซื้อไหม” พนักงานแกร็บที่ยืนต่อคิวถามขึ้นมาเสียงเรียบ ปลายแถวเหลืออีกไม่เกินห้าคิว แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังเอาแต่ยืนจ้อง
“ซื้อสิ ผมเหมาทั้งหมด”
“เฮ้ย! โธ่...” คนอีกห้าคนถึงกับทำเสียงถอนหายใจอย่างไม่พอใจ
“ฉันไม่มีนโยบายให้เหมาค่ะ พวกพี่ส่งโพยได้เลยนะคะ” ดาหลาไม่สนใจคนที่ยังยืนนิ่ง เอื้อมมือออกไปรับโพยอีกห้าโพยมาเร่งทำตามออเดอร์
ภายในหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น มันแรงมากจนลูกก็คงรู้ และแกก็เลือกที่จะดิ้นขานรับความรู้สึกของแม่
“เธอท้องเหรอเดล” ตรัยคุณถามซ้ำราวกับไอ้งั่ง นี่เธอมีสามีระหว่างที่เลิกกับเขา หรือเด็กในท้องนี่คือ ‘ลูกของเรา’
“อ้าว...คุณ ไม่ซื้อก็หลบไปสิ” เจ้คิวที่สองต่อจากแกร็บร้อง บอก ตรัยคุณเปลี่ยนมายืนนิ่ง แล้วก็จ้องคนที่ตั้งใจขายของเหมือนไม่มีเขาอยู่บริเวณนั้น สักพักคิวก็เริ่มยาวขึ้นมาอีก จากสามทุ่มเวลาล่วงเลยไปถึงสี่ทุ่ม ในที่สุดก็ไม่มีใครมาเป็นลูกค้า พอดีกับที่ของพร่องไปจนเกือบหมด
“มาขายของคนเดียวเหรอ”
ดาหลาชะเง้อมองหาบิดา แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่วี่แวว เธอเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม ไม่ใช่เพราะไม่ได้ยิน แต่เพราะทิฐิในใจตัวเดียว
“นี่...”
เธอหันไปมองคนที่ชูแบงก์สีเทาห้าใบ ก่อนจะวางมันลงที่รถเข็น
“ค่าคุยกัน!”
“เก็บเงินของคุณไปค่ะ” เธอบอกเขาเสียงเรียบ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน กี่เดือน หรือกี่เรื่องราว พี่ตรัยก็ยังคงเป็นพี่ตรัยใจอำมหิต ฟาดหัวคนด้วยเงินคนเดิม
“ก็เธอไม่ตอบนี่ดาหลา เมื่อกลัวดอกพิกุลจะร่วงนัก นี่ไงค่าเปิดปากของเธอ!”
“ฉันไม่อยากคุยกับคุณ ไม่อยากรับเงินหรืออะไรก็แล้วแต่จากคุณ!”
ตรัยคุณมองคนที่กล้าอวดดี ปากเก่ง
“มองหาผัวเหรอ มันไม่มารับก็เลยอารมณ์ค้างอะไรแบบนี้หรือเปล่า”
ดาหลาถึงกับสะอึกกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็เลือกที่จะนิ่ง ไม่คิดโต้ตอบ เดี๋ยวคนแบบเขาก็จะเบื่อ และเลิกตอแยเธอไปเอง แล้วหันมาเตรียมตัวและก็เตรียมที่จะเข็นรถเข็นกลับบ้านน่าจะดีที่สุด ของไม่เยอะ คิดว่าน่าจะไหว แต่ถึงไม่ไหวเธอก็ต้องทำ
“นี่เธอจะเข็นรถไปคนเดียวแบบนี้เหรอ” ตอนนี้เขาเริ่มเป็นห่วงคนที่ท้องใหญ่แต่ก็ยังต้องทำงาน
ตรัยคุณมองคนที่ยังหยิ่งไม่ตอบอย่างรู้สึกโมโห แต่พอเหลือบมองท้องใหญ่ๆ นั่นความรู้สึกว่าควรจะโกรธก็เหมือนจะมลายหายไป
“คุณจะทำอะไรคะเนี่ย” ดาหลามองคนที่อยู่ดีๆ ก็ขยับมาอยู่ตรงตำแหน่งที่จะเข็นเสียเอง
ตรัยคุณไม่ได้ตอบ แต่พับแบงก์สีเทาห้าใบก่อนจะยัดมันลงไปในช่องซิปเก็บเงินที่หน้าผ้ากันเปื้อน
“คุณทำบ้าอะไรอีก” เธอพยายามหยุดมือคู่นั้น แต่เขาก็ดื้อรั้นจนยัดเงินทั้งหมดลงไปได้สำเร็จ
“ให้เงินอดีตคนเคยนอนคุยกัน มันคงไม่เรียกบ้าหรอกมั้ง!”
ปากเสีย เผด็จการ
ช่างสิ! อยากให้นักก็จะไม่คืนให้หรอก
“แล้วนี่คุณจะทำอะไรอีกคะ” ดาหลามองคนที่ขยับไปอยู่ในท่าเตรียมเข็นรถอีกครั้ง
“ไม่กลัวแท้งหรือไง!” เอาเถอะ ลูกใครก็ช่าง แต่มันก็ไม่ถูกต้องที่ผู้หญิงตัวแค่นี้ แถมยังท้องต้องมาทำงานหนักๆ ตามลำพัง
“ไม่ต้องมายุ่ง!” เธอพยายามจะขยับไปแย่งจะเข็นเอง
แล้วตอนมือสัมผัสกันก็เหมือนไฟช็อต ดาหลารีบผละออกห่าง โกรธความไม่รักดีที่เผลอไผลรู้สึกขึ้นมาทันทีภายในใจ โหยหาอ้อมแขน และฝ่ามือคู่นั้นอย่างหน้าไม่อาย
ตรงกันข้ามกับตรัยคุณที่ยิ้มแป้นทันทีที่เห็นแก้มแดงๆ นั่น
ถ้าไม่รู้สึกก็คงไม่เขินอาย ถ้าตัดใจจากกันได้ก็คงไม่ปั้นปึ่งอย่างที่แสดงออกมา
“คนปากเสีย!” เธอแกล้งพึมพำดังๆ ให้คนที่เอาแต่ยิ้มได้ยิน เขาจะมาจุ้นจ้านมาวุ่นวายกับเธอทำไมอีก
ไม่รู้เหรอว่าทำแบบนี้จะยิ่งทำให้เธอหวั่นไหว คิดเพ้อเจ้อไปไกลว่าเขามาหาเพราะตั้งใจจะมาง้องอน
“อันนี้...ขอนะ” ไม่ได้รอให้เจ้าของตอบ ก็หยิบขนมปังที่ถูกเก็บไว้ในถุงกระดาษสองชิ้นขึ้นมายัดใส่ปาก
บางทีเธออาจทำให้ใครคนอื่น แต่ตรัยคุณไม่สน ถ้าอยากได้อะไร เขาก็ต้องได้!