บทนำ

3376 Words
บทนำ วันที่แปด เดือนสิบ รัชศกเหออี้ที่สี่ มันเป็นค่ำคืนเดือนมืดที่หนาวเย็น คนทุกหมู่เหล่าในแว่นแคว้นสมควรนอนอุ่นอยู่เรือนพักหลังต้องปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนเองมาทั้งวัน หากแต่วังหลวงอันงดงามและเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย บัดนี้กลับโกลาหลไปด้วยเหล่าทหารและข้าราชบริพารที่ต่างมุ่งหน้าไปยังตำหนักใหญ่เว่ยหยาง "ไฟไหม้! ไฟไหม้!! พวกทหารรีบดับไฟเร็วเข้า!!!" เสียงตะโกนของขันทีสักคนดังก้อง หน่วยดับเพลิงประจำวังหลวงรีบขนน้ำและเครื่องมือดับไฟมาช่วยกันดับเพลิงเป็นการด่วน ในขณะที่เปลวไฟลุกลามกลืนกินตำหนักทั้งหลังจนตอนนี้ดูไม่ต่างจากกองอัคคีขนาดมหึมาบนพื้นดิน มันส่งไอร้อนบาดผิวออกมาจนไม่มีใครเข้าใกล้ได้ แสงไฟเจิดจ้าอาบย้อมท้องนภาให้กลายเป็นสีแดงฉาน สายลมพัดหายโหมให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกขั้น ท่ามกลางกลุ่มทหารและข้ารับใช้ที่วิ่งวุ่นวายดุจแมลงวันไร้หัว สตรีในอาภรณ์เรียบง่ายแต่แฝงความหรูหราได้ประคองท้องโตถลาเข้ามาด้านใน มีนางกำนัลสองคนช่วยกันพยุงด้วยท่าทางอกสั่นขวัญแขวน หญิงสาวนางนั้นจ้องมองภาพตำหนักใหญ่ในทะเลเพลิงอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบบริเวณอยู่นาน แต่กลับไม่พบคนที่อยากจะเห็น "ฝ่าบาท..." นางอ้าปากเอ่ยเสียงแผ่ว ท่าทางว้าวุ่นร้อนใจ สีหน้าทวีความเสียขวัญ มือเรียวบางพลันคว้าทหารในชุดองครักษ์ที่วิ่งผ่านมาไว้และถามเสียงดัง "ฝ่าบาทเล่า ฝ่าบาทอยู่ที่ใด พวกเจ้าช่วยฝ่าบาทออกมาแล้วใช่หรือไม่!" คำถามนั้นราวกับอสนีบาตฟ้าลงมากลางลานทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับนิ่ง สายตาหลายคู่มองกันไปกันมาคล้ายกำลังตั้งคำถามใส่กัน หญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็หน้าถอดสี จังหวะเดียวกันนั้นก็มีชายชราในชุดขันทีระดับสูงมีรอยไฟไหม้หลายรอยวิ่งฝ่าฝูงคนมาคุกเข่าร้องไห้ข้างเท้านาง "กราบทูลลี่เฟย ไฟไหม้เกิดขณะกำลังเปลี่ยนกะเวรจึงไม่มีใครทราบ พวกกระหม่อมไร้ความสามารถมิอาจฝ่าเปลวไฟเข้าไปช่วยฝ่าบาทออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ" ลี่เฟย...จางอวี๋ซินฟังแล้วก็นิ่งอึ้ง ก่อนจะเริ่มส่ายหน้าช้าๆ อย่างไม่ยอมรับ "ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้ ฝ่าบาท!" นางกรีดร้องพร้อมสะบัดตัวออกจากนางกำนัลคนสนิทแล้ววิ่งทางตำหนักใหญ่ แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกนางกำนัลคนสนิทคว้าตัวไว้ เฉียวกงกงยังกอดขามิให้นางขยับเขยื้อนได้อีก "มิได้นะเพคะ พระสนม พระองค์ทรงพระครรภ์อยู่นะเพคะ" "ไม่! ฝ่าบาทยังอยู่ข้างใน ข้าต้องช่วยพระองค์ หากข้าไม่มีพระองค์จะอยู่ต่อได้อย่างไร ปล่อยให้ข้าไปช่วยฝ่าบาท" จางอวี๋ซินร้องไห้สุดเสียงอย่างน่าเวทนา นางพยายามดิ้นสุดกำลังเพื่อจะไปช่วยสามีที่รักให้ได้ "ข้าบอกว่าให้ปล่อย! ฝ่าบาทอยู่ข้างในนั้นนะ" "พระสนมสงบพระสติก่อนเพคะ ในครรภ์ของพระองค์มีทายาทของฝ่าบาทอยู่นะเพคะ หากพระองค์เป็นอะไรไปจะทำให้ฝ่าบาทเสียใจนะเพคะ" นางกำนัลร้องเตือนสติ จางอวี๋ซินกลับยิ่งดิ้นแรงขึ้นจนหลุดจากพันธนาการมนุษย์ สองเท้าก้าวว่องไวจนใกล้จะถึงบันไดหน้าตำหนักอยู่ร่อมร่อ ฉับพลันสายลมกลับเปลี่ยนทิศพัดโหมมาหานางกะทันหัน รูปร่างของมันดูราวกับอสรพิษที่ทะยานมาฉกกัดนาง แต่ก่อนที่หญิงสาวจะถูกเปลวเพลิงทำอันตรายใดๆ ก็มีมือข้างหนึ่งกระชากตัวนางถอยออกไปได้ทันเวลา "นี่พระองค์จะทำอะไร!" จางอวี๋ซินเงยหน้าตามเสียงขึ้นไปพบชายหนุ่มสวมใส่ชุดขึ้นนางสีม่วงบ่งชัดว่าเป็นขุนนางระดับสูง ใบหน้าคมสันเต็มไปด้วยเหงื่อ ลมหายใจก็ยังหอบบอกชัดว่าเขารีบวิ่งมาเช่นกัน กระนั้นนางก็มิได้สนใจมาก รีบคว้าแขนอีกฝ่ายอ้อนวอนทันใด "ใต้เท้าโอวหยางช่วยฝ่าบาทด้วย ฝ่าบาทยังอยู่ข้างใน" โอวหยางลู่เหวยเงยหน้ามองกองเพลิงที่โหมไหม้ร้อนแรงจนผิวคนยังแทบละลาย "พระสนมโปรดหักห้ามพระทัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ" "ไม่นะ ไม่ๆ ท่านต้องไม่พูดเช่นนี้ ฝ่าบาทยังไม่ตาย รีบช่วยออกมา" จางอวี๋ซินเขย่าแขนเขาอย่างแรง เมื่อเห็นเขาไม่ขยับก็ตั้งท่าจะวิ่งเข้ากองไฟเองอีกครั้ง เดือดร้อนโอวหยางลู่เหวยต้องใช้กำลังลากนางออกมาให้ไกล โดยไม่สนใจเลยว่าหญิงมีครรภ์นางนี้จะดิ้นแรงแค่ไหน จวบจนพ้นระยะเพลิงพิโรธแล้วจึงส่งให้นางกำนัลคนสนิท ส่วนตัวเองคุกเข่าคำนับให้นางเต็มพิธีการ "พระสนมโปรดตั้งสติ กระหม่อมมิใช่มิอยากช่วย แต่ยามนี่สายเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ และกระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทคงมิปรารถนาให้พระสนมเข้าไปในกองเพลิงเช่นกัน" เขาเว้นช่วงเพื่อเงยหน้าสบตากับจางอวี๋ซินอย่างจริงจัง ก่อนจะรีบพูดต่อด้วยเสียงที่ดังกว่าเมื่อเห็นสตรีตรงหน้ากำลังจะอ้าปาก "ในพระครรภ์ของพระองค์มีสายเลือดมังกรอยู่ เป็นทายาทที่ฝ่าบาททรงรอคอยมาตลอดนับแต่ ทรงประชวร หากพระองค์กับพระโอรสเป็นอันใดขึ้นมา ฝ่าบาทจะพอพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงปรารถนาให้พระองค์กับพระโอรสมีชีวิตที่ดีและปลอดภัย พระสนมจะทำให้ฝ่าบาทผิดหวังหรือพ่ะย่ะค่ะ!" แต่ละคำที่โอวหยางลู่เหวยกล่าวมิต่างอันใดจากฆ้อนที่ทุบหัวใจของจางอวี๋ซินครั้งเล่าจนมันแหลกสลาย หญิงสาวจับจ้องไฟที่โหมตำหนักใหญ่ขณะทรุดลงนั่งภายใต้การประคับประคองของพวกนางกำนัล ใบหน้าอาบน้ำตาแห่งความเสียใจและสิ้นหวังที่สุดในชีวิตหลังตระหนักได้ว่าต้องแยกจากสามีที่รักชั่วนิรันดร์ "ไม่...เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดสวรรค์จึงอยุติธรรมเช่นนี้! ฝ่าบาททรงสัญญาว่าจะครองคู่กับหม่อมฉันชั่วชีวิตมิใช่หรือ เหตุใดจึงทิ้งหม่อมฉันไปเช่นนี้ ฝ่าบาททรงสัญญาว่าจะอบรมลูกด้วยกันกับหม่อมฉัน แล้วเหตุใดพระองค์จึงจากไปก่อนเล่า แล้วเช่นนี้หม่อมฉันกับลูกจะอยู่กันอย่างไร ฝ่าบาททรงทิ้งหม่อมฉันกับลูกได้อย่างไร ฝ่าบาท...ฝ่าบาท..." จางอวี๋ซินร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด นางคร่ำครวญถามเข้าไปในกองเพลิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเสียงแหบแห้ง กลับมิอาจเรียกสามีที่รักยิ่งกลับมาได้ บรรดาผู้เห็นเหตุการณ์ต่างพากันเศร้าใจและร่วมร่ำไห้ไปกับนาง แม้แต่พวกนางสนมที่เดิมทีเคยฟาดฟันแย่งชิงความโปรดปรานจากจักรพรรดิ เมื่อได้เห็นภาพหญิงสาวที่อ่อนแอราวดอกไห่ถัง ที่ถูกขยี้จนบอบช้ำกรีดร้องอย่างเศร้าโศกจนหมดสติไปยังอดเวทนามิได้เช่นกัน -------------- ละครฉากใหญ่ที่ทุกคนล้วนร่ำไห้โศกสลด กลับมีอีกหนึ่งคนที่เยาะหยัน ภายในห้องบรรทมของตำหนักใหญ่ จักรพรรดิตี้หลง...หรือนามจริงก็คือ 'โอวหยางหมิงหลิง' กำลังกระเสือกกระสนไปตามพื้นที่ร้อนฉ่า มุ่งหน้าไปทางประตูด้านในที่ไฟยังลามไม่ถึง ดวงตาที่พร่าเลือนจับจ้องอยู่ตรงนั้น คิดแต่เพียงว่าต้องไปให้ถึงตรงนั้นจึงจะรอดตาย "ฝ่าบาท...ช่วยฝ่าบาท..." โสตประสาทได้ยินเสียงหวานดังโหยไห้ เขาจำได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ยามแรกนั้นเขาก็ใจเต้นแรงอย่างยินดีที่ได้ยินเสียงนาง ทว่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดไฟไหม้ หัวใจของเขาก็ดำมืดไปด้วยความแค้นจนแทบกระอักเสือด "ร้องไปสิ นางหญิงชั่วร้าย แสดงละครเข้าไป!" พระสุรเสียงแหบพร่าเอ่ยด่าแผ่วเบา ฟันของเขาขบแน่นจนได้ยินเสียงแตกอยู่ข้างใน รสเลือดซึมขึ้นมาจากลำคอแล้วกระจายไปทั่วปาก ดวงตาแดงฉานจากความเคืองแค้น "เจ้าเก่งมากที่ทำลายข้าจนเป็นแบบนี้ พิการ ไร้ความรู้สึก เพลิงไหม้หนนี้ข้าไม่เชื่อหรอกว่าไม่ใช่เจ้า สักวันเถอะ...สักวันเจ้าจะต้องไม่ตายดี อะไรที่พวกเจ้าไม่ดีไว้กับข้า กับลูก พวกเจ้าต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม จางอวี๋ซิน โอวหยางลู่เหวย ข้าขอสาปแช่งพวกเจ้า...!" เพียงสิ้นน้ำคำ กระแสลมที่พัดมาตามช่องทางเดินก็โหมขึ้น เปลวเพลิงที่ลุกโชนพลันบิดกายหมุนเป็นเกลียวแล้วแตกกระจายไปทั่วห้อง ไอร้อนรุนแรงจนโอวหยางหมิงหลินรู้สึกเหมือนภายในของตนกำลังจะสุกในไม่ช้า เขาหมดแรงที่จะคลานต่อ ทำได้เพียงนอนอยู่ตรงนั้น พร้อมคิดถึงเรื่องราวมากมายในหัว คิดถึงอดีตที่เปี่ยมด้วยสีสันของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง...ที่เลือกรักคนผิดจนก้าวมาสู่ทางตัน อดีตที่ถูกอาบย้อมไปด้วยเลือด...และเกียรติยศที่ไม่สมควรได้ ถูกแล้ว...บัลลังก์นี้เขาแย่งมาจากคนอื่น...ยามแรกตั้งใจะมอบให้คนอื่นเพื่อแลกกับรางวัลโง่ๆ ที่เขาเคยคิดว่าสวยงามอย่างยิ่ง...ทว่ามันก็ตกมาถึงเขา...แล้วก็ถูกหญิงโฉดชายชั่วคู่นั้นร่วมมือกันแย่งชิงต่อไปอย่างน่าไม่อาย เขามันโง่...โง่เหลือเกินที่ไม่เคยคิดเลยว่าคนข้างหมอนที่คิดว่ารักตนเองจะคบชู้สู่ชาย และหลอกลวงเอาทุกสรรพสิ่งไปจนสิ้น...หลอกแม้กระทั่งเลือดเนื้อเชื้อไข เพราะเขามันโง่จึงถูกหลอกลวง! "หึ...หึๆ หึๆ..." โอวหยางหมิงหลิงนึกถึงภาพหวานชื่นของตัวเองกับจางอวี๋ซินในอดีตแล้วก็หัวเราะออกมา ภาพที่เคยสวยงามกลับกลายเป็นละครปาหี่อันน่าขัน ทั้งย้ำเตือนว่าความรู้สึกของเขามันก็แค่เศษธุลีในสายตาของนาง เพราะให้นางมากไป...เชื่อใจมากไปจึงต้องเป็นเช่นนี้! ตายอยู่ที่นี่ เป็นผีเฝ้าตำหนักที่เขาบังอาจแย่งมาจากคนอื่น โครม! เสียงไม้ที่สร้างเป็นตำหนักโอฬารพังถล่มแทรกแซงเสียงเพลิงไหม้เป็นระยะ สายลมก็ยิ่งพัดแรงขึ้นจนภายในห้องร้อนระอุดังเตาเผา โอวหยางหมิงหลิงหลับตาลงเตรียมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เขายังไม่อยากตาย...แต่ร่างกายที่ทรุดโทรมกลับมิอาจเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว "ฝ่าบาท..." ร่างสูงในชุดมังกรที่เริ่มไหม้ไฟช้าๆ กระตุกเล็กน้อยจากเสียงเรียกนั้น เสียงนั้นแตกต่างจากจางอวี๋ซินยิ่งนัก เสียงนี้แม้จะค่อนข้างแผ่วเบา ทว่ากลับหวานและกังวานใสดั่งเสียงกังสดาน เป็นใครกันที่ส่งเสียงเรียกเขา ยังมีใครคอยเรียกหาเขาอีกหรือ "ฝ่าบาท...ฝ่า...โอวหยางหมิงหลิง!" ดวงตาหงส์สีเข้มเบิ่งโพล่งเมื่อน้ำหนักบางอย่างทับลงมาบนแผ่นหลังเบาลง สิ่งที่อยู่ในครรลองคืออาภรณ์ของนางกำนัลที่มีรอยเปื้อนฝุ่นและรอยไหม้ นางกำลังนั่งคุกเข่าข้างๆ พลางประคองตัวเขาขึ้นมาช้าๆ ครั้นเมื่อเขาช้อนสายตาขึ้นด้านบนก็พบกับดวงหน้าเล็กๆ ที่ซูบผอมของหญิงสาวเชื้อสายชนเผ่านอกด่าน เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เห็นนางอีกครั้ง "เจ้า...ฉู่ซู่อิ๋ง..." "ดีจริงที่ข้ามาทัน" อีกฝ่ายถอนใจหนักๆ หนหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นมองเพดานที่กำลังไฟเผาเพื่อประเมินสถานการณ์ "เจ้ามา..." "เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะ เราไปจากที่นี่กันก่อนเถิด" หญิงสาวไม่พูดเปล่ายังคว้าแขนจักรพรรดิหนุ่มขึ้นพาดไหล่แล้วออกแรงยก อาจเพราะเขาหนักไปสำหรับฉู่ซู่อิ๋ง หรือไม่ก็เพราะนางผอมลงเป็นเหตุให้เรี่ยวแรงถดถอย หญิงสาวต้องออกแรงถึงสองครั้งกว่าจะพยุงร่างอ่อนเปลี้ยของเขาขึ้นมาได้ ก่อนจะลากพาออกไปจากห้องด้วยกัน "ข้าแอบลอบเข้ามาจากทางลับท้ายตำหนัก ตรงนั้นไม่มีคน ไฟยังไม่แรงมากด้วย ข้าจะพาท่านออกไป คนข้างข้ารออยู่แล้ว..." โอวหยางหมิงหลิงไม่ได้ฟังที่ฉู่ซู่อิ๋งพูดเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มกำลังจ้องมองหญิงสาวเขม็ง บอกไม่ถูกเลยว่าตนเองควรจะรู้สึกอย่างไร ความตกใจ ตื่นตระหนักและสับสนปะปนกันอยู่ในใจเขาจนแทบแยกไม่ออก จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้มีชั่วพริบตาหนึ่งที่เขาคิดว่าอาจจะมีใครสักคนเข้ามาช่วยเหลือ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่มาจะเป็นฉู่ซู่อิ๋ง... เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะนางคือภรรยาเอกที่เขาทอดทิ้งไปแล้วน่ะสิ! ครองราชย์มาสี่ปี เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่านางยังมีตัวตนอยู่! ทำไมกัน...เขากับนางต่างเย็นชาต่อกันมาโดยตลอด ตัวเขายิ่งทำเสมือนไม่มีอีกฝ่ายดำรงอยู่ในชีวิตมาก่อนเลยด้วยซ้ำ นางสมควรจะชิงชังเขา เฉกเช่นเดียวกับที่เขาชิงชังต่อนางสิ แต่...เพราะเหตุใด...นางจึงมาอยู่ที่นี่... "ฟังข้าอยู่หรือไม่..." ฉู่ซู่อิ๋งเห็นชายหนุ่มไม่พูดอะไรก็หันมาถาม ครั้นเห็นสีหน้าแตกตื่นของเขาก็ยิ้มบางราวกับจะปลอบโยน "ท่านอย่าได้กังวล คนของข้าไว้ใจได้แน่นอน เสียดายที่พวกเขาตัวใหญ่เกินไปจึงลอดช่องลับไม่ได้ ข้าจึงต้องทิ้งพวกเขาไว้ให้ช่วยกันขยายช่องทางก่อนแล้วมาคนเดียว พอเราไปถึงช่องลับนั้นน่าจะกว้างพอให้ท่านลอดออกไปได้แล้วล่ะ” "เจ้า..." ไม่รู้เป็นเพราะรอยยิ้มของนางหรืออย่างไร จู่ๆ โอวหยางหมิงหลิงก็ไม่พอใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มสะบัดตัวโดยแรงทำให้นางเสียหลักจนเกือบล้มไปด้วยกัน "อ๊ะ! อย่าขยับสิ ล้มขึ้นมาจะอันตรายเอานะ!" ฉู่ซู่อิ๋งยังมีหน้ามาดุราวกับคนที่พยุงมิใช่กษัตริย์ แต่เป็นสามีที่ทำตัวเหลวไหลเท่านั้น "เจ้าสิอย่าขยับ ปล่อยข้าด้วย เอามือสกปรกของเจ้าออกไป อย่ามาทำให้ข้าแปดเปื้อน...แค่กๆ !" โอวหยางหมิงหลิงดิ้นอยู่ครู่หนึ่งพอเห็นว่าไม่หลุด เขาจึงเปลี่ยนมาด่าทอนางแทน ใครจะรู้ว่าพูดได้ไม่เท่าไรก็สูดไอควันเข้าไปจนสำลัก ส่วนฝ่ายที่โดนด่า ช่วงแรกยังตกใจอยู่บ้าง ทว่าครู่เดียวก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าเข้าใจและ...ไร้ความสลด "ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบข้า ทว่าอดทนอีกนิดเถอะ หมิงหลิง ข้าอุตส่าห์มาแล้ว แค่กๆ ให้ข้าได้ทำหน้าที่...แค่กๆ " ไอควันกับความร้อนที่พวยพุ่งทำให้ฉู่ซู่อิ๋งสำลักเช่นกัน กระนั้นนางก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากคนในอ้อมแขน ตรงข้ามกลับรีบเร่งฝีเท้าลากคนตัวใหญ่ออกไปจนถึงทางเดินด้านนอก เส้นทางที่เคยงดงามด้วยประตูและเสาไม้สลัก บัดนี้กลับดูไม่ต่างจากช่องทางไฟที่พร้อมทำลายทุกสรรพสิ่ง แสงไฟแดงฉานมองไม่เห็นปลายทางด้วยซ้ำ "ทำหน้าที่อะไร...ข้าไม่ต้อง....ระวัง!" ไม่ง่ายเลยกว่าโอวหยางหมิงหลิงจะรวบรวมเสียงกลับมาได้ แทนที่จะได้บริภาษสตรีคนนี้สมใจ มันก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องเตือนอันตื่นตระหนก เมื่อจู่ๆ เพดานโถงทางเดินก็แตกหักแล้วถล่มลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว จักรพรรดิหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง เขารู้สึกว่าตัวเองออกแรงผลักฉู่ซู่อิ๋งออกไปครั้งหนึ่ง แต่กลับมีแรงสะท้อนกลับมาทำให้เขาล้มลงกับพื้น แล้วก็มีน้ำหนัก มหาศาลทุ่มทับลงมาบนตัว มีเสียงไม้กระแทกพื้นดังกระหึ่มข้างๆ หู ตามมาด้วยความร้อนที่ลามเลียใบหน้า มันแสบมากเสียจนเขาแทบลืมตาไม่ขึ้น "อึ๊...อึก..." เสียงครางแผ่วขึ้นข้างๆ หู ทำให้โอวหยางหมิงหลิงลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง คานไม้ที่มีไฟท่วมเป็นสิ่งแรกที่เขาเห็น ตามด้วยกลุ่มเส้นผมที่โดนสะเก็ดไฟจนเริ่มมีควันโชย ใบหน้าหวานเปื้อนเขม่าควันแนบอยู่ใกล้ๆ มีรอยเลือดเล็กๆ ไหลรินลงมาตามผิวที่ร้อนแดงนั้นช้าๆ ที่แท้ร่างของภรรยาก็ซ้อนทับอยู่บนตัวเขา "ฉู่...ซู่อิ๋ง...!" เขาเค้นเสียงออกมาเบาๆ ขณะที่นางส่งเสียงครางอีกครา โอวหยางหมิงหลิงรู้สึกว่าตัวนางกำลังขยับ แต่คานกลับมีน้ำหนักมากเสียจนนางเคลื่อนมันออกไปไม่ได้ "แย่...จริง...อีกนิด..เอง..." โอวหยางหมิงได้ยินนางพึมพำขาดๆ หายๆ ทั้งที่รอบด้านร้อนฉ่าเหมือนกับนรก เขาก็ยังรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่แผ่วเบายิ่งของนางอย่างชัดเจน ความกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนพลันเกาะกุมจิตใจ เขายังไม่อยากตาย...ไม่อยากให้นางตายด้วยเช่นกัน! ความรู้สึกนั้นผลักให้เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามดันคานไม้อาบไฟด้านบนออกไป น่าเสียดายที่มันไม่ขยับสักนิด "หยุดเถอะ...ท่าน...ทำไม่...ได้...หรอก" นางเตือนเขาพลางพ่นหายใจออกมาอีกเฮือก "เรา..." "หุบปาก...เจ้ามัน...รนหา...ที่...เสนอหน้า!" โอวหยางหมิงหลิงไม่วายด่านาง ในใจปั่นป่วนไปหมด มันมีแต่คำถามว่านางเสนอหน้ามารนหาที่กับเขาทำไม จะมาทำหน้าที่อะไร ตายกับเขาอย่างนั้นหรือ!? ชายหนุ่มเอาแต่คิดโดยไม่รู้สักนิดว่ามีหยาดน้ำเล็กๆ หยดลงจากหางตาลงไปยังจอนผม ฉู่ซู่อิ๋งอยู่ในท่านอนคว่ำทับอยู่บนตัวสามีมองเห็นอย่างชัดเจน หญิงสาวเผยรอยยิ้มบาง พลางขยับมือข้างที่เป็นอิสระปัดป่ายขึ้นมาลูบใบหน้าสามีที่สิบกว่าปีมานี้ไม่เคยพูดจาดีๆ กันเลยสักครั้งเบาๆ "อย่ากลัวเลย..." นางปลอบเสียงแผ่ว ใบหน้าคมคายเอียงมาหา น่าเสียดายที่ท่วงท่าไม่อำนวย ต่างฝ่ายต่างเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของกันและกัน ในมุมของโอวหยางหมิงหลิงเห็นรอยยิ้มของนางชัดเจนที่สุด "อย่า...กังวล...ไป...เลย...ความตาย...ไม่น่ากลัว...หรอก...อย่างน้อย...ก็มีข้าร่วมทาง..." โอวหยางหมิงหลิงอยากพูดเหลือเกินว่าใครจะไปกับนางกัน แต่เลือดที่ซึมออกมาจากริมฝีปากสวยได้รูปกลับอุดทุกคำของเขาเอาไว้ น้ำตาไหลลงมาอีกหยดอย่างห้ามไม่อยู่ นางกำลังจะตาย ผู้หญิงที่เขาชิงชังที่สุดกลับมาช่วยเขา...ปกป้องเขา...และกำลังจะตายพร้อมกับเขา! "ประ...เดี๋ยว...ทุกอย่าง...ก็สงบ...ข้า...สัญ...ญา...ข้าจะตาม...ไป...ขอโทษ...นะ..." "ช้าก่อน...เจ้าพูดอะไร..." โอวหยางหมิงหลิงได้ยินนางพึมพำแบบไม่ประติดประต่อนัก เขาพยายามจะเอียงหูฟัง ทว่าอุปสรรครอบด้านกลับมีมากเกินไป "ข้า...จะไป...ไม่...โกหก...ขอบคุณ...เพราะ...ท่าน...ข้า..." "เจ้า...ซู่อิ๋ง! ตอบ!...เจ้า...พูด...อะไร...ขอโทษ...อะไร...ขอบคุณ...อะไร...ซู่อิ๋ง...พูดสิ...ซู่..." โอวหยางหมิงหลิงตะโกนเรียกสตรีบนร่างสุดเสียง ทำแม้กระทั่งใช้แขนข้างที่พอขยับไหวมาจับนางเพื่อคาดคั้น ยามนั้นเขาไม่แยแสแล้วว่าไฟจะร้อนเพียงใด คิดแต่เพียงว่าต้องทำให้นางพูดคุยกับตนเองต่อไปเท่านั้น ทว่าจวบจนชั่วพริบตาที่สติสัมปชัญญะถูกความมืดมิดเข้าครอบงำ เขาก็มิอาจเค้นคำตอบใดจากนางได้อีกเลย...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD