วอแว

1072 Words
หลังจากกลับมาจากทานอาหารมื้อค่ำ ค่ำคืนที่แสนเงียบเหงา ผู้คนกำลังหลับใหล แต่ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่แสนจะสบายอบอุ่นบนที่นอนนุ่ม ผ้าห่มผืนใหญ่ แต่ชายหนุ่มกลับนอนไม่หลับ แขนแกร่งก่ายหน้าผากคิดถึงเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มกลุ่มนั้นพูดขู่ก่อนจะวิ่งหนีไป ขบคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน แม้จะเอาหล่อนหลีกไปอยู่ที่อื่นหลายวัน แต่เขาก็ยังไม่ปักใจว่าชายหนุ่มคนนั้นจะหยุดเรื่องที่เกิดขึ้นหรือเปล่า ตอนนี้สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มวัยสามสิบสอง เริ่มคิดหนัก กลัวที่สุดคือการจะมาแก้แค้นเอาคืนกับซอนด้า หญิงสาวที่เขาดูแล้วว่าหล่อนคงสู้แต่ปาก...           ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูตอนเช้าทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งหลับไปก่อนรุ่งสาง ลุกขึ้นด้วยความมึนเพลียจัดการคลายความง่วงมึนที่ยังหลงเหลืออยู่ ด้วยฝ่ามือแกร่งนวดไปตามต้นคอ ตบๆ ที่ศีรษะตัวเองสองสามที เพื่อคลายความเมื่อยขบเต็มที่           เป็นห่วงเรื่องคนอื่น หลับเกือบใกล้สว่าง... ต่อว่าตัวเองก่อนสะบัดผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียง สายตาจับจ้องที่ประตูด้านหน้า           “คุณคะ...คุณวิรุจกำลังรอทานข้าวอยู่” คนเคาะประตูอยู่ด้านนอก ส่งเสียงพูดผ่านประตูเข้ามา                 “ครับ...เดี๋ยวผมจะตามไป” เอ่ยบอกเพื่อให้อีกคนรู้ว่าเขาได้รับรู้แล้ว           ร่างแกร่งสาวเท้ายาวๆ เข้าห้องน้ำ โดยไม่ลืมที่จะหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่เข้าไปด้วย จัดการอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่นให้กับตัวเอง เมื่อเสร็จจากการอาบน้ำชายหนุ่มก็กลับมายืนจ้องมองตู้เสื้อผ้า และตัดสินใจเปิดมัน ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยน จำเป็นที่เขาจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะหากยังใส่ชุดเก่าของตัวเองมันคงดูไม่โสภาเท่าไหร่           เสื้อผ้าที่มีอยู่ในตู้บ่งบอกว่าเป็นของใหม่ทั้งหมด สภาพใหม่เอี่ยมและซักรีดเรียบร้อยพร้อมใช้  ชายหนุ่มรู้สึกพอใจกับการเตรียมพร้อมของเจ้าของบ้าน ตัดสินใจหยิบเสื้อและกางเกงที่อยู่ใกล้มือที่สุด สวมใส่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเช็กความเรียบร้อยหน้ากระจก ชุดเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีขาว กางเกงตัวหลวมใส่สบาย เมื่อเห็นว่าเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้ผู้ใหญ่รอนาน                      สายตาจับจ้องไปที่โต๊ะสี่เหลี่ยมทรงยาว ถ้วยจานวางเรียงไว้อย่างเรียบร้อย ชายสูงวัยเจ้าของบ้านนั่งยิ้มหน้าชื่นกว่าเมื่อวาน ส่งให้ชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามา “ขอโทษคุณวิรุจด้วยนะครับ ที่ทำให้รอนาน” เอ่ยบอกเสียงเรียบ พร้อมรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า “ไม่เป็นไร อีกคนช้ากว่าคุณอีก” สีหน้าไม่ได้ซีเรียส เมื่อเอ่ยถึงลูกสาวของตัวเอง ชายหนุ่มแค่ยิ้มรับในคำบอกกล่าว เมื่อช่วงค่ำหล่อนก็ไม่ได้ลงมาทานข้าว นี่ก็สายมากแล้ว หล่อนไม่หิวบ้างหรือไง... แอบถามด้วยความเป็นห่วงอีกคนกับตัวเอง ผู้สูงวัยเห็นใบหน้าคนหนุ่มวูบลง คงคิดว่าตัวเองเป็นเหตุให้ลูกสาวตนโกรธไม่ยอมลงมาทานข้าวล่ะสิ... “ไม่ต้องสนใจ คิดอะไรมากมายหรอก ทำแบบนี้ประจำเวลาไม่พอใจ...” พ่นลมหายใจหนักๆ “เดี๋ยวก็ลงมาเชื่อเหอะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยบอกน้ำเสียงหนักแน่น เพื่อให้อีกคนหายกังวล             แล้วก็จริงดังคาด “ใครบอกคะ...หนูนอนตื่นสายเท่านั้นเอง” เสียงเจื้อยแจ้วของแม่คุณหนูดังกระทบแก้วหู คำพูดของหล่อนเหมือนจะรู้ว่าที่ผ่านมาเมื่อกี้ ใครเอ่ยอะไรเกี่ยวกับหล่อนบ้าง สีหน้าและท่าทางของหล่อน ดูแล้วเหมือนหล่อนไม่ได้คิดอะไรมากมายกับเรื่องเมื่อคืน           อะไร หล่อนทำให้ทุกคนแปลกใจในอาการของหล่อนโดยเฉพาะชายหนุ่ม อ่านใจสาวสวยข้างๆไม่ออกจริงๆ!                      “มีแผนอะไรอีกล่ะซอนด้า” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม แววตาบอกความไม่มั่นใจในพฤติกรรมของลูกสาวเท่าไหร่นัก           “อื้อ...อาหารมื้อนี้อร่อยจังเลย” ไม่ตอบกลับฉีกยิ้มแล้วสนใจกับอาหารบนโต๊ะ เมื่อคืนงอนหนักไปหน่อย เลยไม่ลงมากินข้าว ตอนนี้ลาภปากอยู่ตรงหน้า ขอหม่ำก่อนละกัน...           ภาพที่บุตรสาวเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ทำเอาผู้เป็นพ่อยิ้มร่า แต่ยิ้มได้ไม่เท่าไหร่ เมื่อสายตาเห็นแผลจางๆ ช้ำเขียวตรงที่หล่อนกระแทกเมื่อคืน ใจของผู้เป็นพ่อวูบลง รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวแสบไปถึงปลายจมูก เจ็บหัวใจ เมื่อเห็นรอยบนหน้าผาก อยากจะเอามือไปสัมผัสรอยนั้น แต่ก็ชั่งใจเอาไว้ ไม่อยากแสดงการโอ๋ลูกจนดูน่าเกลียดเกินไป เพราะสิ่งที่เขาทำไป เขาก็ไม่อยากให้เป็นอย่างที่เห็นเลย...           แต่นั่นส่วนหนึ่ง ก็มาจากผลที่ลูกทำนิสัยไม่ดีออกมา...คิดปลอบใจตัวเอง           “ก็คงจะอร่อยจริง ๆ” ผู้เป็นพ่อพูดพลางยิ้มใบหน้ารู้สึกเบาขึ้น เมื่อเห็นอาการของลูกไม่มีคติกับเรื่องเมื่อคืน               “พ่อคะ” เสียงหวานแหลมเรียกผู้เป็นพ่อ แต่สายตาเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งตรงกันข้ามอีกฝั่ง            “ว่าไงจ๊ะ...?” ใบหน้าอวบอูมมองลูกสาว            “หนูมีผู้คุ้มกันแล้ว...” ยิ้มหวาน สายตาคมกริบ คนเห็นเริ่มเดาเหตุการณ์ข้างหน้า “ไม่ใช่สิ บอดี้การ์ดแล้ว หนูจะไปเที่ยวไหนก็ได้ใช่มั้ยคะคุณพ่อ” หล่อนพูดพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ชายหนุ่มที่นั่งถือช้อนคาอยู่กลางอากาศ เหมือนรอลุ้นคำพูดต่อไปของหล่อนเช่นกัน           นั่นไงว่าแล้ว...ผู้เป็นพ่อร้องก้องในใจ มองชายหนุ่มเหมือนกำลังขอร้องชายหนุ่ม ให้ช่วยทำตามคำพูดของลูกสาว            สีหน้าเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอะไร นั้นหมายความว่าเขาไม่ปฏิเสธ วิรุจจึงหันมาถามอีกคน ที่เป็นคนก่อประโยคมาทั้งหมด            “ว่าแล้ว ว่าลูกต้องพูดแบบนี้ แล้วลูกจะไปเที่ยวที่ไหน” แกล้งถามออกไป เพราะรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวตัวเองชอบไปที่ไหน            “พ่อไม่ต้องรู้หรอก ถึงยังไงพ่อก็มีคนรายงานอยู่แล้ว” สีหน้าหล่อนฉายแววตื่นเต้นดีใจ จนคนเป็นพ่อไม่อยากขัดใจ แต่อาการของหล่อนมันแสดงออกจนเกินงาม จนคนเป็นพ่อเริ่มกังวล            
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD