เพลินวานเดินยิ้มออกมา “บ้า… เมืองไทยออกจะกว้าง เราไม่มีทางเจอกันแน่” หญิงสาวเดินห่างออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งลับสายตาของชายหนุ่ม ในจังหวะที่กระเป๋าของเขาก็เลื่อนออกมาพอดี ชายหนุ่มรีบยกกระเป๋าของตัวเองออกจากสายพานและตามออกมาอย่างเร็ว
“เฮ้! ไอ้เพลิน! ทางนี้!” ป่านฝันตะโกนเรียกเพื่อนสาวทันทีที่เพลินวานเดินออกมาจากเกตขาเข้า เพลินวานทำหน้าบอกบุญไม่รับเดินมาหาเพื่อน ป่านฝันโผเข้ากอดเพื่อนอย่างดีใจจากนั้นทั้งคู่ก็ผละออกจากกัน
“แกไม่ดีใจหรือวะ! ที่ได้กลับบ้าน ดูสิ! แกหน้าหงิกเป็นตูดลิงอย่างนี้” ช่อแก้วทักขึ้นมาบ้าง ดูท่าทางว่าเพื่อนสาวไม่ยินดียินร้ายที่เพื่อนทั้งสองพร้อมใจกันมารับเธอ ทั้งที่จากเมืองไทยไปนานหลายปี
“ขอโทษ! ฉันเหนื่อย พวกแกก็รู้ว่าเวลาอยู่บนเครื่องฉันจะนอนไม่หลับ นั่งมาสิบกว่าชั่วโมง...เหนื่อยเป็นบ้า”
“นี่ไม่ได้งีบหลับสักนิดเลยเหรอ” ป่านฝันถามอย่างห่วงใย พลางหมุนตัวเพื่อนสาวมองอย่างสำรวจ “แกผอมไปนะเพลิน”
“อือ… งานในครัวมันหนักน่ะ”
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ ฉันดีใจมากที่แกยอมกลับมาสักที ไปอยู่ที่โน่นตั้งหลายปีพวกฉันคิดถึงมาก” ป่านฝันดึงเพลินวานมากอด
“ฉันก็คิดถึงพวกแกมากนะ”
“นี่พวกแกจะยืนคุยกันอีกนานไหมเนี่ย ฉันยืนจนจะรากงอกอยู่แล้ว เกรงใจคนที่ต้องยืนทำงานบ้างเดินไปคุยกันไปได้มั้ยล่ะ ไปถึงรถแล้วค่อยคุยกันต่อได้ หรือไม่ก็เปิดโรงแรมนอนคุยกันสักสามคืนฉันก็ไม่ว่า” ช่อแก้วเหน็บแนมเพื่อนสาว
ป่านฝันหันมาส่งค้อนให้ช่อแก้วอย่างหมั่นไส้ “ก็นานๆ จะได้เจอกันที”
“ฉันมีเรื่องเม้าท์มอยกับพวกแกมากมายเลย เย็นนี้ไปกินข้าวที่ร้านนะ น้ารตีจะเลี้ยงต้อนรับฉันน่ะ แล้วเราไปเปิดโรงแรมนอนคุยกันสามวันสามคืนอย่างที่ยัยช่อว่าก็ดี แต่มีข้อแม้ว่าห้ามใครก็ตามพกสามีไปด้วย” เพลินวานบอกอย่างรู้ทัน
ช่อแก้วตบไหล่ของเพื่อนสาวอย่างหยอกเย้า “พวกหาสามีไม่ได้แล้วก็มักจะพาลแบบนี้แหละ”
“เธอว่าใคร” สองสาวประสานเสียงพร้อมกัน หันไปเอาเรื่องคนพูด ช่อแก้วแม้จะเป็นสาวมาดทอมบอย แต่เธอกลับได้แต่งงาน ในขณะที่เพื่อนสาวทั้งสองคนยังไม่มีแฟน
“ขี้แพ้ชวนตีเพราะสู้สาวเกือบหล่อไม่ได้งั้นสิ” ช่อแก้วบอกขำๆ สมัยเรียนเธอชอบตัดผมสั้นจนเพื่อนร่วมรุ่นคิดว่าเป็นสาวประเภทฉิ่งฉาบ นึกถึงใบหน้าของเพื่อนแต่ละคนตอนเธอกับว่าที่สามีแจกการ์ดแต่งงานแล้วก็กดขำไม่ได้
“ฉันยังจำวันที่แกบอกว่าจะแต่งงานได้ดี ยัยเพลินแทบจะบินกลับมาดูตัวเจ้าบ่าวเพราะไม่เชื่อ” ป่านฝันบอก
สามสาวหัวเราะออกมาพร้อมกันเมื่อนึกถึงวันนั้น ทั้ง 3 แข่งกันเล่าและเดินออกจากอาคารผู้โดยสารไปด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุข เวลาและระยะห่างไม่สามารถลบเลือนความเป็นเพื่อนของพวกเธอได้ ภาพบรรยากาศเหมือนเดิมตอนอยู่มัธยมปลายกลับมาอีกครั้ง
คนเดินตามหลังอมยิ้มตาม เขาเก็บข้อมูลของเธอไว้ได้อย่างดี “ชื่อเพลินวานงั้นเหรอ ก็เข้ากันกับภูริชดีนะ เพลิน & ภู”
ต้นไม้เขียวชอุ่มยังล้อมรอบบริเวณบ้านที่เธอเคยอยู่ แม้ว่าจะจากไปนานหลายปี จนกรุงเทพฯ ที่ในความรู้สึกกลายเป็นป่าคอนกรีตแทบมองไม่เห็นต้นไม้ตามสองข้างทางที่รถแล่นผ่านเฉกเช่นเมื่อหลายปีก่อน แต่บ้านหลังนี้ยังคงความรู้สึกอบอุ่นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เพลินวานแยกย้ายกับป่านฝันตั้งแต่อยู่ที่สนามบินเพราะเธอให้เหตุผลว่าอยากพักผ่อน แต่ให้ช่อแก้วแวะมาส่งที่บ้านเพราะเป็นทางผ่าน จากความตั้งใจแรกเพลินวานไม่ได้บอกใครถึงเรื่องกำหนดกลับเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและเธอก็ไม่อยากให้ทุกคนต้องลำบากไปรับเธอที่สนามบิน
แต่พอเพื่อนสาวทราบข่าวก็บีบบังคับให้เธอบอกเที่ยวบินในการเดินทาง และพวกเธอก็เป็นเพียงสองคนที่ได้รู้กำหนดเดินทางของเธอ มารตีเพียงรู้ว่าเพลินวานจะเดินทางมาถึงในวันนี้เท่านั้น แต่นางก็รออย่างใจจดใจจ่อและกำชับว่าจะต้องเลี้ยงต้อนรับเธอในเย็นวันที่กลับมาถึง
สิ่งที่มารตีปฏิบัติกับเธอเป็นความอบอุ่นใจที่เพลินวานรับรู้ได้ถึงความรักและความห่วงใยที่นางมีให้เธอเสมอ
หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเข้ามาในบ้านที่เธออยู่มาตั้งแต่มัธยมต้น ทุกส่วนของบ้านไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของเธอ ต้นกาสะลองที่เธอเคยปลูกยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ตอนนี้มันเติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาและมีดอกขาวโพลนร่วงหล่นเต็มพื้นสนาม
หญิงสาวถอดรองเท้าและค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปในบ้าน ในจังหวะที่คนในบ้านมองเห็นเธอพอดีและวิ่งออกมารับด้วยความคิดถึง
“เพลิน...” คนในบ้านกางมือต้อนรับเธอ ไออุ่นที่เธอโหยหาและคิดถึงมาตลอดหลายปี
“สวัสดีค่ะน้ารตี สบายดีหรือเปล่าคะ เพลินคิดถึงร้าน… คิดถึงน้ารตีที่สุด” เพลินวานยกมือไหว้และโผเข้ากอดอย่างดีใจ
มารตีเป็นเพื่อนรักของมารดาและเป็นคนที่ดูแลเธอมาตลอดตั้งแต่เรียนมัธยม หลังจากที่เธอย้ายจากแม่ฮ่องสอนเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ สายตาของเพลินวานเหลือบไปเห็นมารดาและน้องชายที่เดินออกมาสมทบ
“คุณแม่! ตาเพลิง!” หญิงสาวละอ้อมแขนออกจากมารตีและโผเข้ากอดมารดาทันที ด้วยความคิดถึงเช่นกัน ไม่คิดว่าจะได้เจอมารดากับน้องชายที่นี่เพราะเธอตั้งใจจะไปเซอร์ไพรส์หลังจากกลับมาถึงแล้ว
เพลินวานไม่วายยืดคอยาวสอดส่ายสายตามองหาร่างท้วมของใครอีกคน คนที่เธออยากให้มาร่วมแสดงความยินดีกับเธอมากที่สุด ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้
“เซอร์ไพรส์ครับพี่เพลิน”
เพลินวานผละจากอ้อมกอดของมารดาตบไหล่ทักน้องชายเบาๆ ในตอนที่เธอจากไป เขายังเป็นเด็กมัธยมต้นหัวเกรียนอยู่เลย
เพลินวานส่งค้อนให้น้องชายอย่างหมั่นไส้ “เป็นอย่างไรบ้างเรา หลอกพี่อีกจนได้นะ เมื่อวานตอนเฟสไทม์คุยกันเพลิงยังบอกว่างานยุ่งเพราะติดงานประจำจังหวัดอยู่เลย”
“ก็ใครอยากให้พี่เพลินหลอกก่อนล่ะ จะกลับมาก็ไม่ยอมบอกใครเลย ดีที่พี่ช่อหลุดปากบอกผมก็รีบตีตั๋วเครื่องบินมาเลย”
ชายหนุ่มเอาแขน “มากอดหน่อย”
หญิงสาวเดินเข้าไปกอดน้องชาย คนตัวใหญ่กอดรัดเธอแน่นและโยกตัวไปมา “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ อ้อมกอดของคนที่บ้านจะอบอุ่นสำหรับพี่เสมอ”
เพลินวานปล่อยโฮกับแผงอกน้องชาย ไม่คิดว่านักปกครองหนุ่มอย่างเขาจะจี้จุดความรู้สึกของเธอได้อย่างเฉียบขาดตรงเป้าบ่อน้ำตา
“มันเป็นน้ำตาของความดีใจใช่มั้ย” ชายหนุ่มเย้า
หญิงสาวผละออกจากอกของน้องชาย เงยหน้าขึ้นสำรวจเขาอย่างเต็มตา เขาเป็นทุกความภาคภูมิของวงศ์ตระกูล
“พี่ต้องเรียกเราว่าคุณปลัดสินะ ตัวจริงหล่อและดูดีกว่าในเฟสไทม์เยอะเลย” เพลินวานยิ้มให้น้องชายอย่างภูมิใจ
เพลิงยืดอกอย่างภูมิใจ มั่นใจในความหล่อของตัวเองเต็มร้อย “แหม… ไม่ต้องชมขนาดนั้นหรอกพี่เพลิน ถึงผมจะหล่อเหมือนพระเอกเกาหลี แต่ของฝากก็ต้องมีเหมือนเดิม”
“นี่มาเพราะต้องการจะทวงของฝากอย่างเดียวใช่ไหม”
“เปล่า…” ปลัดเพลิงลากเอียงยาวและเอ่ยชมพี่สาว “พี่เองก็สวยขึ้นเป็นกองเลยนะ ไม่ใช่แม่สาวผมสั้นเสมอหูคนเดิมแล้ว” ปลัดเพลิงกระแซะไหล่พี่สาวเย้าแหย่
“กองมันใช้เรียกขยะนะยะ ขนาดชมยังไม่อยากรับเลย”
เพลิงหัวเราะขำเมื่อเห็นพี่สาวส่งค้อนตอบกลับ เขาแแกล้งยืดคอมองด้านหลังพี่สาวเหมือนมองหาใครสักคน
“แล้วพี่พาลูกเขยตาน้ำข้าวหัวแดงกลับมาฝากแม่กับน้ารตีหรือเปล่าฮะ”
เพลินวานบิดต้นแขนน้องชายอย่างหมั่นไส้ “ไม่ต้องมาพูดเลย คนอย่างพี่… จะไปมีใครสนใจที่ไหนกันละ ตอนไปก็ผมสั้นเสมอหูขนาดนั้น แล้วที่โน่นพี่ก็มัวแต่เรียนแล้วก็มุ่งทำงาน จะเอาเวลาที่ไหนมามองหาหนุ่มๆ ละ ฮึ!”