ร่างสมส่วนในชุดนักศึกษา สวมแว่นตา ผิวขาวอมชมพู ใบหน้าไร้เครื่องสำอาง สาวเท้าเข้าสู่ตัวบ้าน ได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่ว หญิงสาวชะงักเมื่อสาวใช้ในบ้าน เดินมาหาสีหน้าราวกับมีเรื่องหนักหนา ในอกมันสั่นสะท้าน และหวังให้สิ่งที่คิด ไม่เป็นจริง
“คุณนาคะ คุณท่านเชิญไปพบที่ห้องรับแขกค่ะ” สาวใช้นามเตยเอ่ยปาก ก่อนเข้าใกล้แล้วกระซิบ “คุณธนากรมาที่นี่พร้อมกับคุณพีค่ะ”
หญิงสาวชะงัก แค่ได้ยินชื่อ ทำเอาร่างกายมันสั่นเทา พยายามรั้งไว้ทุกวิถีทางแล้ว แต่คราวนี้กลับมาถึงที่ เธอควรทำอย่างไรดี
“ฉันรู้แล้วเตย เดี๋ยวฉันขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยตามไป”
“คงไมได้หรอกค่ะคุณหนู คุณท่านให้คุณไปตอนนี้เลย” เตยบอกเสียงเครียด
คนตัวเล็กเม้มริมฝีปาก สีหน้าเครียดขึ้นทันที แววตาหวาดหวั่น ตัดสินใจสาวเท้าไปยังห้องรับแขก ดวงตากลมโตสะท้อนภาพชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน กับชายอีกคน ที่อายุอานามมากน้อยกว่าพ่อไม่กี่ปี ชายกลางคนหันมาสบตา แล้วยิ้มอ่อนโยน
“สวัสดีค่ะคุณอา” เธอยกมือไหว้
“นามานั่งตรงนี้สิลูก” คนเป็นพ่อเอ่ยเรียก เธอยอมทำตาม หย่อนกายข้างบิดา
นิรนายิ้มกว้างมองบุตรสาว แล้วเลยไปยังชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอีกคน เหมาะสมกันเหลือเกิน หากได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน เงินทองที่มี มีหรือจะไปไหนเสีย ลูกสาวเธอกับว่าที่ลูกเขย สองคนเรียนเก่งทั้งคู่ ยิ่งสร้างความยินดีให้กับครอบครัวสองฝ่ายมากขึ้นอีก
นาฎสุรีย์เหลือบมอง เห็นสีหน้าแววตาราวกับไม่มีอะไร แต่เธอรู้ดี ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลา สาวไหนต่างมองเหลียวหลัง กลับแอบซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ ริมฝีปากอวบอิ่มนั้น ก็ช่างเจรจาถากถางเธอดีเสียเหลือเกิน เรือนร่างสมบูรณ์แบบนั้น ยิ่งสร้างความปั่นป่วนให้เธอ ผู้ชายคนนี้คอยรังแก เอาเปรียบเธอตลอดเวลา เกลียดจนแทบไม่อยากมองหน้า ถ้าหนีหายจากตรงนี้ได้คงดี
“พอดีอากับพ่อของหนูนา กำลังคุยเรื่องการหมั้นหมายของหนูกับพี่พีน่ะ”
คนฟังชะงัก ช้อนสายตามองอีกคน เห็นเขากระตุกยิ้มราวกับเยาะ คิดว่าเธออยากได้หนักหนาเหรอ ถ้าไม่ใช่พ่อกับแม่ เธอไม่มีวันมานั่งตรงนี้หรอก
“หนูว่า... หนู”
“แล้วแต่พ่อกับแม่เถอะครับ เพราะถึงยังไง หนูนาคงไม่ปฏิเสธ ผมเองก็คงปฏิเสธเหมือนกันไม่ได้ แล้วเราสองคนจะทำยังไงได้ล่ะครับ นอกจากยอมรับ!” เขาโพลงออกมา สีหน้าไร้อารมณ์
เธอตั้งใจปฏิเสธอยู่แล้ว ไม่ต้องการให้เขาถากถางไปมากกว่านี้ เธอเหนื่อยมากพอแล้ว กับเรื่องแบบนี้ โตจนอายุย่างยี่สิบสอง อยากมีความคิด มีชีวิตเป็นของตัวเอง
“แต่นาขอเวลาค่ะ!” หญิงสาวพูดแทรก แววตามุ่งมั่น
สีหน้าของบิดามารดาเธอ บ่งบอกถึงความผิดหวัง นาฎสุรีย์กัดฟันแน่น สบตากับว่าที่คู่หมั้นคู่หมาย เห็นเขายิ้มหยัน ยิ่งสร้างความไม่พอใจเพิ่มมากขึ้นอีก
“นากำลังฝึกงานใกล้จบแล้วไม่ใช่เหรอลูก” ธนากรย้อนถาม สีหน้าหนักใจ
“เราสองคนไม่ได้รักกัน พูดว่ากะ...” เธอชะงัก อยากเอ่ยคำว่าเกลียด ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าแววตาผู้ใหญ่กำลังจับจ้องมา เลยไม่กล้า
“ไม่ได้รักกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรักกันไม่ได้นี่ลูก” นิรนาบอก แล้วหันมองบุตรสาว
“ทำไมแม่ถึงคิดว่ามันง่ายล่ะคะ แม่คิดว่าพีรดลอยากแต่งงานกับนาหรือไงคะ!” นาฎสุรีย์ย้อนถาม ก่อนตวัดสายตามองไปยังเขา ที่นั่งทำเป็นไม่รู้ร้อนหนาว ราวกับว่าต้องการให้เธอเป็นคนเอ่ยปากเรื่องทั้งหมดเสียเอง
นิรนาเหลือบมอง พีรดลชะงัก กวาดมองผู้ใหญ่ทั้งสาม แล้วถอนหายใจออกมา
“ผมยังไงก็ได้ ไม่ติดปัญหาครับ” เขาจำต้องพูดคำนี้ออกมา เพราะไม่อยากโดนตัดเงินค่าขนมจากบิดา แค่หมั้นกัน เมื่อโตพอ เขาจะถอนหมั้นจากยัยนี้ก็ได้ พ่อคงมาบังคับอะไรไม่ได้อีก
ทว่าหญิงสาวกลับกัดฟันแน่น ชักสีหน้าไม่พอใจ เมื่อเห็นอีกฝ่าย เอาดีเข้าตัว แล้วทำให้เธอเหมือนเด็กไม่เชื่อฟัง กระนั้นแล้ว ตนก็ไม่มีวันหมั้นหมาย กับคนนิสัยเสียอย่างพีรดลเด็ดขาด
“แต่นาไม่หมั้น ไม่มีวันด้วย!” เธอตะโกนออกมา น้ำตาคลอ
พีรดลยักไหล่ “เห็นไหมครับ ปัญหาไม่ใช่ที่ผม”
“นายหุบปากไปเลย พีรดล!” นาฎสุรีย์ตวาดไปยังเขา ชายหนุ่มยิ้มหยัน ทำเอาคนมองควันออกหู
“หยุดนะยัยนา!” คนเป็นแม่ปราม น้ำเสียงสั่น