ร่างสูงเดินกระวนกระวายใจอยู่ภายในห้องมาร่วมชั่วโมงแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่เธอกลับมาถึงบ้าน เป็นเพราะว่าคำเชิญชวนจากเบรินที่สลัดเท่าไหร่ก็ยังไม่หลุดออกไปจากสมองของเธอเสียที และเพราะตัวเองกำลังรู้สึกผิดกับคู่โซลเมทของเธอด้วย
ที่ฮันส์นั้นรู้สึกผิดก็เป็นเพราะตอนนี้เธอกำลังหวั่นไหวกับเบรินอย่างที่ไม่ควรจะเป็น อย่างน้อยการได้เจอกับคู่โซลเมทก่อนที่เธอจะไปรู้สึกหวั่นไหวกับใครคนอื่น ก็อาจจะทำให้เธอรู้สึกเบาใจกว่านี้ก็เป็นได้
“ฮันส์!”
“แม่!” ร่างสูงสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ ๆ ผู้เป็นมารดาของเธอก็ตะโกนเรียกเธอเสียดังลั่นห้องทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่แค่เพียงข้างหลังของเธอนี่เอง
“อะไรเล่า! แม่เรียกเราจนคอจะแตก มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ก็ไม่รู้” และคุณแม่ของเธอก็ยื่นถุงสูทให้
“แม่แค่เอาเสื้อที่เราจะไปงานมาให้”
“ขอบคุณค่ะ” ฮันส์หันหน้าไปหาคุณแม่ของเธอเพื่อรับเสื้อมาถือเอาไว้ในมือ และเตรียมตัวจะเดินเอามันไปวางยังที่ของมันแต่ก็ต้องชะงัก
“ฮันส์...”
“คะ?”
“แผลเป็นของลูกเข็มนาฬิกาขยับแล้วเหรอ?” เธอก้มหน้าลงไปมองที่ไหปลาร้าของตนเองและสบมองมารดาอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ
เนื่องจากเสื้อที่เธอสวมใส่เป็นเพียงเสื้อกล้ามสบาย ๆ เท่านั้น รอยแผลเป็นก็ไม่ได้อยู่ลึกลงไปมากจนสามารถมองเห็นได้แม้ว่าเธอจะยังสวมเสื้อกล้ามอยู่
“ลูกรู้ไหมว่าเข็มที่มันขยับไปอยู่ตรงเลขหนึ่งนั้น...มันมีความหมายว่าอะไร?”
ฮันส์ส่ายหัวให้กับผู้เป็นมารดา เพราะเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ได้สำคัญอะไร เธอจึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้กับแม่ของเธอฟัง ซึ่งเข็มนาฬิกามันชี้ไปอยู่ที่เลขหนึ่งตั้งนานแล้ว ตั้งแต่วันนั้นที่เธอรู้ตัวว่าได้พบกับคู่โซลเมทของเธอ
มารดารั้งร่างของเธอไป และเราทั้งสองก็นั่งลงอยู่บนเตียงด้วยกัน คุณแม่จ้องมองมาทางเธอด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบกรอบหน้าของเธอเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“แต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นมาบนร่างกายของเรา...มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่สำคัญนะจ๊ะลูกจ๋า” รอยยิ้มอบอุ่นจากผู้เป็นมารดา ทำให้คนติดแม่อย่างเธอถึงกับขยับเข้าไปโอบกอดเอาไว้อย่างสุดรัก
“ที่ลูกไม่ได้เล่าให้แม่ฟังถึงเรื่องเข็มนาฬิกา...เป็นเพราะลูกคิดว่ามันไม่สำคัญใช่ไหมจ๊ะ?”
“แม่...”
“ดูนี่สิ...แม่มีอะไรจะให้ดู” มารดาผละเธอออกพร้อมกับความไม่เข้าใจของตัวเธอเอง
เจ้าหล่อนถอดเสื้อที่สวมใส่อยู่ออกจนฮันส์ได้แต่มองอย่างตกตะลึง แม้คุณแม่ของเธอจะอายุเข้าเลขสี่แล้วแต่กาลเวลาก็ไม่อาจจะลดทอนความสวยของคุณแม่เธอได้เลย
“เห็นรอยแผลเป็นของแม่ไหมจ๊ะ?” เจ้าหล่อนหันหลังให้ก่อนจะปรากฏรอยแผลเป็นที่มีรูปหยดน้ำอยู่ด้านใน และเข็มของนาฬิกามันก็ไม่ได้ขยับไปไหน ยังคงอยู่ตรงที่เลขสิบสองไม่เหมือนกับของเธอที่ตอนนี้มันอยู่ที่เลขหนึ่ง
“ที่นาฬิกาของแม่ยังคงอยู่ที่เดิม...มันเป็นเพราะว่าแม่กับพ่อนั้นรักกัน จนกระทั่งแต่งงานกัน แล้วเกิดมีลูกที่เป็นหัวแก้วหัวแหวนของทั้งพ่อและแม่”
“…”
“เข็มของนาฬิกามันจะขยับไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวนกลับมาที่เลขสิบสองดังเดิมเหมือนกับที่ลูกได้พบเห็นก็จริงอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป...ก็คือความสัมพันธ์และความรักของพ่อและแม่ที่มีเพิ่มพูนมากขึ้นมาจนมันถึงขีดสุดและไม่มีทางจะไปต่อได้อีกแล้ว เข็มนาฬิกาที่อยู่บนอกของลูกและอยู่ที่เลขหนึ่งก็เปรียบเสมือนกับตัวของลูกที่ได้พบกับคู่โซลเมทของลูกและได้มีการสบตากันจนกระทั่งได้ยินเสียงของนาฬิกาที่ดังอยู่ในตัวของลูกไงล่ะจ๊ะ”
ฮันส์เข้าใจชัดเจน เข้าใจแจ่มแจ้งกับการบอกกล่าวของผู้มีพระคุณของเธอ ดวงตาของเธอลุกวาวประกายความตื่นเต้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง และมันกำลังทำให้เธออยากจะเจอคู่โซลเมทของเธอให้เร็วกว่านี้เสียแล้ว
“แล้วถ้ามันอยู่ที่เลขสองล่ะคะ? มันจะหมายความว่าอะไร?”
“ถ้าแม่บอกลูกทั้งหมดมันก็ไม่ตื่นเต้นสิจ๊ะลูกรัก...”
มือหนาของผู้เป็นมารดาเอื้อมมาบีบไหล่เอาไว้อย่างให้กำลังใจ
“หากวันหนึ่งลูกได้พบ ได้รักกับคู่โซลเมทของลูกจริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะดำเนินต่อไปในแบบของมัน ดังนั้นอย่าเป็นกังวลไปเลยนะจ๊ะลูกจ๋า”
คุณแม่ยิ้มให้กับเธออีกครั้งเพื่อให้กำลังใจ ซึ่งดวงตาที่เคยเป็นประกายวาววับของฮันส์ก็พลันกลับมาเศร้าหมองจนผู้เป็นแม่นั้นจับสังเกตได้
“มีอะไรที่ลูกไม่สบายใจหรือเปล่า?”
“แล้วถ้าเกิดว่าวันหนึ่งลูกเกิดไปรักคนอื่น...แล้วคนนั้นไม่ใช่คู่โซลเมทของเราล่ะคะ?” ฮันส์สบตามารดาของเธอด้วยความโศกเศร้า แต่มันกลับทำให้มารดาของเธอยิ่งยกยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
“อะไรกัน...ลูกแม่โตพอที่จะมีความรักแล้วงั้นเหรอ?”
“แม่ก็!” เธอเอ็ดเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนโตกว่าได้ไม่ยากเลย
“คู่โซลเมทของเรามีคนเดียวบนโลกก็จริงอยู่...แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะได้ครองรักกับคู่ของตัวเองหรอกนะจ๊ะ”
“…”
“คุณตากับคุณยายของลูกยังไม่ใช่คู่โซลเมทกันเลย แต่พวกท่านก็รักกันมาได้และอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของลมหายใจ”
ผู้เป็นแม่สั่งสอนลูกสาวแต่เพียงคนเดียวของเธอด้วยความใจเย็นเสมอ และนั่นมันทำให้อัลฟ่าที่ใคร ๆ ต่างก็ว่าก้าวร้าวนั้นตั้งใจฟังราวกับเธอเล่านิทานให้กับเด็กวัยแบเบาะฟังอย่างไรอย่างนั้น
“ลูกจะรักใครก็ได้บนโลกใบนี้ ไม่จำเป็นว่าเขาจะเป็นใคร หรือเป็นคู่โซลเมทของใคร หากวันหนึ่งลูกได้พบกับคู่ของลูก แล้วเขาคนนั้นมีคนรักอยู่แล้ว ลูกสามารถตัดสายใยสัมพันธ์ของคนทั้งสองได้ เพื่อให้คู่ของลูกได้อยู่กับคนที่เขารัก”
“…”
“เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าตอนนี้ลูกกำลังกังวลสิ่งใดอยู่ แม่ขอให้ลูกเลิกกังวลกับมันซะ และเดินหน้าต่อไปในปัจจุบันของลูกให้ดี...เดี๋ยวสินี่แม่ยังพูดไม่จบเลยนะ!”
“นี่กี่โมงแล้วแม่!” เสียงเอะอะโวยวายพร้อมกับท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวทำให้เธอเอ็ดออกมาเบา ๆ อย่างไม่จริงจังนัก พร้อมกับหันไปมองนาฬิกาตามคำถามของลูกสาวเธออย่างไม่เข้าใจ
“อีกครึ่งชั่วโมงจะ 1 ทุ่ม...”
“ตายแน่ ๆ สายแน่ ๆ เลย” นี่เป็นเสียงบ่นครั้งสุดท้ายที่เธอได้ยิน พร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏออกมาจากความเอ็นดูในลูกสาวของเธอจนล้นอก...
สักวันหนึ่งลูกจะเข้าใจมันทั้งหมด แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามเวลาของมันก็เพียงพอแล้ว...
ร่างสูงของอัลฟ่าบิดคันเร่งสุดชีวิตแม้ว่าที่บ้านของเธอจะไม่ได้ห่างจากโรงเรียนของเธอมากนัก แต่เพราะมันเลยเวลานัดของเบรินมามากกว่าสิบนาทีแล้ว และเธอก็กำลังรู้สึกกังวลว่าเจ้าหล่อนอาจจะไม่รอกัน
รถมอเตอร์ไซค์คันโปรดเลี้ยวเข้าไปยังเขตรั้วของโรงเรียน แต่โชคร้ายที่การจราจรค่อนข้างติดขัดเนื่องจากมีผู้คนมาร่วมงานกันล้นหลามทั้งยังพ่วงเอาคู่ของตนมากันด้วย แต่ในความโชคร้ายก็ย่อมมีความโชคดีที่รถของเธอคันเล็ก ฮันส์จึงขับเคลื่อนมันต่อไปได้แม้ว่ามันจะไม่ได้คล่องมือเหมือนกับตอนที่ถนนโล่งก็ตาม
ฮันส์จัดการจอดรถยังที่ของมันเมื่อมาถึงเป้าหมาย เธอส่องกระจกดูความเรียบร้อยของตนเองอีกครั้งและออกวิ่งไปข้างหน้าในทันที รอยยิ้มของเธอปรากฏเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนที่เธอนั้นตามหา คำบอกกล่าวจากปากของมารดาทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ควรจะปล่อยโอกาสที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเธอให้ล่องลอยจากไป อยู่กับปัจจุบันย่อมดีที่สุด
“เบริน...” ร่างสูงตะโกนเรียกคนที่อยู่ในชุดเดรสสีชมพูหวานเหมาะสมกับบุคลิกของคนตรงหน้า ซึ่งเจ้าหล่อนก็รีบหันหน้ามาสบมองกันทั้งยังยกยิ้มออกมาจนเต็มใบ
“ฮันส์…”
“ขอโทษที่เรามาสาย”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย” เจ้าหล่อนยกยิ้มออกมาอย่างน่ารัก ก่อนจะหันไปด้านข้างและสะกิดเรียกใครบางคนที่เธอนั้นไม่รู้จักเพราะยังไม่ได้เห็นหน้าของหล่อนเต็ม ๆ เลย
“ซัน...นี่ฮันส์นะเพื่อนของเรา” เบรินเอ่ยแนะนำเธอให้กับเพื่อนของเธอได้รู้จัก จังหวะที่เจ้าหล่อนหันมาเป็นจังหวะเดียวกับที่ฮันส์ก้มหัวเป็นเชิงสวัสดี
“สวัสดี เรา...”
ติ๊ก! ติ๊ก! ติ๊ก!
เสียงนาฬิการ้องดังขึ้นมาในร่างกายของเธอทำให้คนร่างสูงต้องเบิกตาโพล้งอย่างตื่นตระหนก แต่ใบหน้าของเจ้าหล่อนนิ่งเฉยไร้ซึ่งความรู้สึก ความหยิ่งทะนงแผ่ซ่านออกมาจากตัวจนคนสบมองทำตัวแทบไม่ถูก
ใบหน้าสวยหวานและดวงตาเฉี่ยวคมทำเอาคนสบมองราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงภวังค์ของความสวยงามนั้น หมวกที่เจ้าหล่อนสวมใส่แม้จะปิดบังใบหน้าก็มิอาจบดบังความสวยงามที่ส่องสว่างออกมาได้ มันเจิดจ้าราวกับดอกทานตะวันที่อ้ารับแสงอาทิตย์ และมันกำลังทำให้หัวใจของฮันส์นั้นสั่นไหวจวนจะทะลุออกมาจากอกข้างซ้าย
“…”
“อ่า...เราฮันส์นะ ยินดีที่ได้พบ” ฮันส์เอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อระงับอารมณ์ตื่นตระหนกของตนเองเอาไว้และพยายามจะทำตัวให้ปกติที่สุดเพื่อไม่ให้ดูเก้อเขินจนเกินไป
เธอก้มหน้าลงไปมองที่มือของตนเป็นจังหวะที่ซันเอื้อมมือมาจับมือของเธอเอาไว้เช่นกัน แสงที่ส่องสว่างกลายเป็นเลข 99 บนแขนของเธอนั้นมาพร้อมกับเสียงนาฬิกาที่ดังระรัวอยู่ในหัวใจของเธอจนฮันส์ไม่กล้าแม้แต้จะเงยหน้าขึ้นสบมอง
และเหตุนั้น...เธอจึงได้พบเลขบนข้อมือของเจ้าหล่อนที่ขยับขึ้นมาต่อหน้าต่อตาของเธอเป็นเลขเริ่มต้นที่ขึ้นด้วยเลข 1 เป็นอันบอกกล่าวว่าคู่โซลเมททั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งแล้วในวันนี้...
“ยินดีที่ได้รู้จัก...เป็นเธอนี่เองสินะ ฮันส์...”