“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย” ฉันวิ่งด้วยความกลัวสุดขีด มีเงาดำ ๆ ไล่หลังฉันมา “ฮือ ๆ ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ยิ่งฉันพยายามตะโกนขอความช่วยเหลือมากเท่าไหร่เสียงของฉันก็เริ่มเบาบางลงทุกที
ฉันเริ่มหายใจไม่ออก มันเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกาย ก่อนจะมีอะไรบางอย่างโลดแล่นมาด้วยความเร็วและพุ่งชนฉันจนร่างกายกระเด็นกระดอนไปอย่างไร้ทิศทาง
“ช่วยด้วยย!” ฉันเปล่งเสียงสุดท้ายออกมาพร้อมสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจกลัวสุดขีด
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ” เสียงคุ้นหูเอ่ยถามพร้อมดึงฉันเข้าสู่อ้อมกอดที่แสนอบอุ่น
“ฮือ ๆ ไบรอันฉันกลัว”
“ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ตรงนี้จะไม่ทิ้งเธอไปไหน”
ฉันรับรู้ถึงความห่วงใยของเขา ทุกครั้งที่ฉันสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายไบรอันจะมากอดฉันไว้ เขาคอยปลอบใจฉันจนกว่าฉันจะหายหวาดกลัวและหยุดร้องไห้
“อึก!” ฉันยังคงสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้นเพราะยังตกใจกลัวไม่หาย แม้ไบรอันจะปากร้าย แต่เขาก็ไม่เคยพูดจาแดกดันในยามที่จิตใจของฉันมันดำดิ่ง
“เธอยังไม่ได้กินข้าวเหรอ?” ฉันส่ายหน้าให้เขาน้อย ๆ หลังจากที่ไบรอันออกไปจากห้อง ฉันเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนที่ฝันร้ายและร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขาบนโซฟาของห้องนั่งเล่นแล้ว “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันอุ่นข้าวต้มมาให้”
พูดจบ ไบรอันก็หยิบถุงข้าวของบางส่วนติดไม้ติดมือเข้าไปในครัวด้วย ส่วนข้าวของเครื่องใช้ที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกน่าจะของใช้ส่วนตัวที่ไบรอันซื้อมาให้ฉัน
ฉันมองตามหลังไบรอันด้วยความคิดมากมายในหัว ถ้าวันหนึ่งความทรงจำของฉันกลับมา ฉันสาบานกับตัวเองเลยว่าฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเขาเด็ดขาด
สองสัปดาห์ผ่านไป... ทุกอย่างก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย ฉันยังคงจำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม ส่วนไบรอันก็ออกไปข้างนอกอยู่ทุกวัน กว่าจะกลับถึงห้องก็ดึกดื่นทีเดียว เขามักจะกำชับฉันอยู่เสมอว่าให้อยู่แต่ในห้องไม่ให้ออกไปไหน ซึ่งฉันก็ทำตามที่เขาสั่งโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ
ตอนนี้ฉันกลับมาเดินได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้จักตัวเองมากขึ้นคือฉันสามารถวาดภาพได้อย่างชำนาญ ฉันจึงวาดภาพไปเรื่อยเปื่อยแก้เบื่อแก้เหงาและเผื่อมันจะทำให้ฉันจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองได้บ้าง
ฉันวาดตั้งแต่ทิวทัศน์นอกคอนโด มาจนถึงเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้ภายในคอนโดของไบรอัน แม้แต่รูปของไบรอันฉันก็วาด แต่มีภาพภาพหนึ่งที่ฉันวาดมันซ้ำแล้วซ้ำอีก ตลอดสองสัปดาห์ฉันวาดภาพนี้ถึงสี่ครั้งอย่างไม่รู้สาเหตุ ฉันมีความสุขในยามที่วาดมันออกมาแต่กลับรู้สึกเศร้าในยามที่ได้มองมันนาน ๆ มันคือภาพของผู้หญิงที่กำลังอุ้มท้อง
ไบรอันก็รับรู้ว่าฉันชอบวาดรูปในตอนที่เขาไม่อยู่ห้อง เขาไม่ได้ออกความเห็นอะไรเพียงแต่ซื้ออุปกรณ์วาดภาพมาให้ฉันเท่านั้น
“เธอเริ่มจำอะไรได้บ้างหรือยัง” ไบรอันเอ่ยถามในตอนที่ฉันวางชามบะหมี่สองชามลงบนโต๊ะ อาหารแช่แข็งสำเร็จรูปหมดพอดี มื้อนี้จึงได้ทานบะหมี่ไปก่อน ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับไบรอันก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธคำถามของเขา
“ฉันรู้เพิ่มมาหนึ่งอย่างคือฉันทำอาหารได้ห่วยแตกมาก ตอนแรกว่าจะทำข้าวผัดให้นายทานแต่ว่าทำกี่ครั้งก็ไม่ถูกปากตัวเองสักครั้ง กลัวจะไม่ถูกปากนายด้วยก็เลยจบอยู่ที่บะหมี่ร้อน ๆ สองชาม” ฉันพูดแล้วฉีกยิ้มกลบเกลื่อน
มันน่าอายไหมล่ะ อยู่กับเขาที่นี่มาสองสัปดาห์เพิ่งรู้ว่าตัวเองทำอาหารไม่เป็นก็ตอนที่อาหารแช่แข็งสำเร็จรูปหมดนี่แหละ
“ช่างเถอะ” ไบรอันพูดปัด ๆ พร้อมคีบเส้นบะหมี่ทานอย่างคนหิวโซ รู้สึกผิดจัง เขาคงหิวมากแต่กลับได้ทานแค่บะหมี่ธรรมดา ๆ หนึ่งชาม
“นายทำงานอะไรเหรอ เห็นนายเคยบอกว่าทำงานอิสระ”
“เรื่องส่วนตัวของฉันบางเรื่องเธอก็ไม่จำเป็นรู้นะ”
เหมือนถูกเขาด่าว่าสอดรู้สอดเห็นเลย แต่ฉันก็คงเป็นอย่างที่ไบรอันว่านั่นแหละ ฉันอยากรู้เรื่องของเขาบ้างแต่เขากลับไม่เคยเล่าอะไรให้ฉันฟังเลย นอกจากสั่งให้ฉันอยู่แต่ในห้องห้ามออกไปไหน เขาไม่ได้สนใจสีหน้าที่เหงาหงอยของฉันเลยด้วยซ้ำ ฉันจึงได้แต่นั่งทานบะหมี่ตรงหน้าเงียบ ๆ พลางแอบมองเสี้ยวใบหน้าหล่อ ๆ ของเขาเป็นระยะ ๆ ความรู้สึกประหลาดมากมายมันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาในจิตใจ มันทั้งรู้สึกดีและรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกัน
ฉันสลัดความคิดว่าบ้า ๆ ออกไปจากหัว ไบรอันทานบะหมี่หมดชามพอดี และเขากำลังยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
พรึ่บ!
“อ๊ะส์...ทะ...ทำอะไร” ไบรอันจับแขนฉันไพล่หลังในตอนที่ฉันกำลังจะเก็บถ้วยชามเพื่อจะเอาไปล้าง การกระทำของเขาทำให้ฉันเสียหลักจนเซไปนั่งบนตักแกร่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ฉันแค่อยากทดสอบเธอนิดหน่อย”
“ทะ...ทดสอบอะไร?”
“เอาไว้ค่อยคุยกัน ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อน ส่วนเธอจะทำอะไรก็ทำไปก่อน” พูดจบ เขาก็ปล่อยฉันออกจากพันธนาการ ฉันจึงรีบดีดตัวลุกขึ้นพร้อมเก็บถ้วยชามไปล้างด้วยท่าทางเคอะเขิน ส่วนไบรอันก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องนอนโดยไม่ได้หันมามองฉันด้วยซ้ำ
บ้าจริง! เมื่อสักครู่ฉันได้นั่งตักของไบรอันด้วย ทำตัวไม่ถูกเลย ตอนนี้หัวใจดวงน้อยของฉันมันเต้นแรงมาก
.
.
.
.
.
มาแล้วค๊าบ
แค่ได้นั่งตักก็เขินแล้วยัยนู๋
คอมเมนต์พูดคุยกันน๊า