แสงสีขาวสว่างจ้าเข้ามาในม่านตาทันทีที่ฉันรู้สึกตัวและลืมตาตื่น ฉันรีบข่มตาหลับลงเมื่อเริ่มรู้สึกแสบดวงตาจนพร่ามัว ก่อนจะค่อย ๆ เปิดเปลือกตาออกอย่างช้า ๆ
ฉันรู้สึกงุนงงว่าตัวเองมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วที่นี่ที่ไหน?
ฉันมองเห็นเป็นห้องสี่เหลี่ยมสีขาวมัว ๆ ก่อนรายละเอียดภายในห้องจะค่อย ๆ ชัดขึ้น ฉันเห็นคนสองคนกำลังยืนคุยกัน เสียงของพวกเขามันดังอู้อี้อยู่ในหูและมันก็ค่อย ๆ ดังชัดขึ้น
“เธอฟื้นแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยพูดพร้อมเดินมาหาฉันโดยเร็ว
“คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ”
“หิวน้ำ” ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ก่อนที่จะมีหลอดเล็ก ๆ มาสัมผัสที่ปาก ฉันจึงดูดน้ำดื่มเล็กน้อยพอให้ชุ่มคอ “ฉันอยู่ที่ไหน?”
“ที่นี่โรงพยาบาล คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ” เขาตอบโต้กลับมาก่อนจะเอาอุปกรณ์บางอย่างมาตรวจเช็กร่างกายของฉัน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหมอ
สมองของฉันค่อย ๆ ประมวลผลจนสามารถมองเห็นและรับรู้ทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้น แขนข้างหนึ่งของฉันถูกใส่เฝือก หลังมือถูกเจาะด้วยสายน้ำเกลือ และยังมีผู้ชายอีกคนยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ หมอที่ตรวจร่างกายของฉัน
“คนไข้ชื่ออะไรครับ”
“ฉัน...ฉันชื่อ?” นั่นสิ...ฉันชื่ออะไร ฉันเป็นใคร พอพยายามจะนึก ความรู้สึกเจ็บแปล๊บก็จี๊ดเข้ามาในซีกสมองอย่างรุนแรง มันเจ็บมากเจ็บจนต้องร้องไห้ออกมาดื้อ ๆ”ไม่รู้... ฮือ ๆ ฉันไม่รู้ ฉันเป็นใคร ฮือ ๆ”
“แย่ล่ะ เธอน่าจะความจำเสื่อม” คนเป็นหมอพูด ฉันเองก็พยายามนึกแต่ยิ่งนึกเท่าไหร่มันก็รู้สึกเจ็บปวดที่ซีกสมองเหลือเกิน
“เธอเป็นแบบนี้แล้วจะเอายังไงต่อไอ้หมอ แท้งลูกแล้วยังความจำเสื่อมอีก” ไบรอันเดินมาทุบโต๊ะทำงานของเพื่อนหมอ หลังจากที่เขาเดินไปเดินมาอยู่พักใหญ่ ๆ
สองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ไบรอันเจอผู้หญิงท้องแก่วิ่งมากลางถนนและเกิดอุบัติเหตุรถชน รถคู่กรณีกลัวความผิดจึงรีบขับรถหลบหนีไป เขาที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงรีบชะลอรถและลงไปช่วยเหลือเธอ เห็นว่าชีพจรยังทำงานอยู่จึงรีบพาเธอส่งโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด
หลังจากนั้นไบรอันก็กลับไปยังที่เกิดอุบัติเหตุจึงเห็นว่ารอยคราบเลือดของเธอได้หายไปแล้ว ราวกับว่ามีคนมาจัดการเก็บกวาดมันออกไป เขาขับรถดูรอบ ๆ บริเวณใกล้เคียง ทุกอย่างก็ดูปกติดี สิ่งที่เขาสงสัยคือเธอวิ่งหนีอะไรมา เพราะร่างกายของเธอมีรอยเขียวช้ำที่เกิดจากการตบตีอย่างรุนแรงก่อนถูกรถชน
“คงต้องพึ่งพลังโซเชียล” คนเป็นหมอพูด และนั่นคือทางเลือกที่เขาเสนอให้ตั้งแต่วันแรกที่เธอถูกนำตัวเข้ามารักษา แต่ไบรอันกลับบอกว่ารอให้เธอฟื้นก่อน และให้เหตุผลว่าเธอถูกทำร้ายมา กลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัย
“ไม่ได้นะไอ้หมอ มึงก็รู้ว่าเธอถูกทำร้ายมากูกลัวเธอจะตายก่อนเจอญาติ”
“แต่ปล่อยไว้แบบนี้เราก็ไม่มีทางรู้อยู่ดีว่าเธอเป็นใคร แล้วจะติดต่อญาติของเธอได้ยังไง เธอไม่มีอะไรติดตัวมาเลยนอกจากสร้อยรูปผึ้ง”
“แล้วความทรงจําของเธอจะกลับมาเมื่อไหร่”
“กูให้คำตอบเรื่องนั้นไม่ได้ ความทรงจำจะกลับมาเร็วหรือช้าต้องมีอะไรมากระตุ้น”
“สร้อยไง มันอาจจะช่วยได้”
สร้อยรูปผึ้ง ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับมันจัง ราวกับว่าเห็นมันอยู่ทุกวันจนชินตา คุณหมอและเพื่อนของเขาบอกว่าสร้อยเส้นนี้เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ติดตัวฉันมา
“ฉันคุ้นเคยกับมันนะคะ แต่ฉันก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองเป็นใคร”
“งั้นเอาอย่างนี้ เธอใช้ชื่อผึ้งไปก่อน” คนที่ไม่ใช่หมอเป็นคนพูด
“ผึ้ง...ฉันคุ้นชื่อนี้มากมันอาจจะเป็นชื่อจริง ๆ ของฉัน ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันเหรอคะ ทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่”
“คนไข้ประสบอุบัติเหตุนะครับ ตอนนี้ทางโรงพยาบาลยังไม่สามารถติดต่อญาติของคนไข้ได้ ตัวคนไข้เองก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ คงต้องอยู่พักฟื้นตามอาการไปก่อน ระหว่างนี้คนไข้ก็พยายามนึกนะครับว่าตัวเองเป็นใครแล้วชื่ออะไร”
“แล้วถ้าฉันนึกไม่ออกล่ะคะหมอ” ฉันนึกกังวลจึงพูดออกมาแบบนั้น เพราะทุกครั้งที่ฉันพยายามนึกว่าตัวเองเป็นใครฉันก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ซีกสมอง
“คนไข้ไม่ต้องกังวลนะครับ ยังนึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร หมอจะพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับคนไข้”
“เดี๋ยวฉันจะมาช่วยดูแลเธออีกแรง”
“คุณเป็นใครคะ เรารู้จักกันหรือเปล่า” ฉันหันไปถามอีกคนที่ไม่ใช่หมอ
“ฉันชื่อไบรอัน เป็นคนที่พาเธอมาส่งที่โรงพยาบาล พอดีคนที่ขับรถชนเธอมันหนีไป แต่ไม่ต้องห่วงฉันแจ้งความไว้แล้ว ระหว่างนี้ก็คงต้องตามคดีให้เธอด้วย”
ฉันมองพวกเขาทั้งสองคนด้วยความซาบซึ้งใจ ฉันติดหนี้บุญคุณของพวกเขา
สองสัปดาห์ต่อมา...
“นายลำบากหรือเปล่าที่ต้องมาดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำให้ฉันทุกวัน” ฉันถามเขาด้วยคำถามเดิมทุกครั้งที่เขามาป้อนข้าวป้อนน้ำให้ เขามีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาช่วยเหลือฉันทั้งที่เราไม่รู้จักกัน เพียงแค่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันงั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็คือคนที่ใจบุญและมีความเมตตาสุด ๆ แต่ทว่า...
“อยากได้ความจริงที่จุกอกหรืออยากได้คำโกหกที่น่าฟังล่ะ”
นั้นไง...ไบรอันพูดแบบนี้กับฉันอีกแล้ว เขาก็เหมือนจะใจดีนะ แต่ว่าเขาก็ปากร้ายด้วย
“ไม่อยากคุยกับนายแล้ว” ฉันพูดแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น ตอนนี้อาการบาดเจ็บของฉันเริ่มหายดีแล้ว กระดูกที่ราวจากอุบัติเหตุก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เหลือแต่ความทรงจําของฉันที่ไม่มีวี่แววจะกลับมา มีแต่ฝันร้ายซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่ตามหลอกหลอนฉันไม่หยุดหย่อน ฉันไม่แน่ใจว่ามันคือความฝันที่จิตปรุงแต่งหรือความทรงจำสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่
“ฉันกับไอ้หมอลงความเห็นกันว่าจะให้เธอไปอยู่กับฉันก่อน”
ไบรอันพูดพร้อมยื่นแก้วน้ำกับยามาให้ฉัน ซึ่งฉันก็รับมันมาทานอย่างไม่เรื่องมาก สิ่งที่ทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วคือทำไมฉันจะต้องไปอยู่กับไบรอัน ฉันยังคิดไม่ตกเขาก็ให้คำตอบฉันในประโยคถัดมา “ไอ้หมอมันไม่มีเวลาว่าง ตารางเวรมันแน่นทุกวัน ส่วนฉันทำงานอิสระพอจะแบ่งเวลามาดูแลเธอได้บ้าง”
“ทำไมนายถึงช่วยเหลือฉันขนาดนี้” ไบรอันมองหน้าฉันนิ่ง ๆ ก่อนที่จะหันเก็บถ้วยข้าวต้มและแก้วน้ำเปล่าไปไว้อีกมุม ฉันก็จ้องมองเขาชนิดที่ตาไม่กะพริบ หวังจะกดดันให้เขาตอบคำถามของฉัน จนในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จ
“ก็ช่วยมาตั้งแต่แรกแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด”
นั่นคือคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินจากปากของไบรอันมา เพราะปกติแล้วเขามีแต่จะพูดห้วน ๆ แดกดันเสียมากกว่า
“ขอบคุณนายมากนะที่ไม่ทิ้งฉัน ขอบคุณนายมากจริง ๆ” ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงช่างดีกับฉันเหลือเกิน ฉันอยากจะขอบคุณเขาวันละหลาย ๆ ครั้ง หนี้บุญคุณครั้งนี้ชดใช้ยังไงก็ไม่หมด
.
.
.
.
.
มาแล้วค๊าบ
ฝากไบรอันระเอกคนใหม่ด้วยงับ
คอมเมนต์พูดคุยกันน๊า