ศศิประภาพอรู้เรื่องของที่ศาสตราวุธปรับเงินสุริวิภากับเพื่อนๆ ของเธอก็ดุลูกชายเป็นการใหญ่ ที่ทำเกินกว่าเหตุ
“ผมไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุเลยนะครับแม่ ก็ผู้หญิงคนนั้นเขาเสนอขึ้นมาเองว่าจะขอจ่ายค่าปรับ” ศาสตราวุธบอกมารดา เขาก็พอรู้ว่าเธอนั้นแค่พูดไปอย่างนั้น แต่ก็อยากให้บทเรียนบ้าง
“ให้ตายสิลูกชายฉัน ถ้าผู้หญิงบอกอะไร มันไม่ได้หมายความว่าต้องการสิ่งนั้นเสมอไป” ศศิประภาบอกลูกชายเสียงเครียดแล้วกุมขมับเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเขาให้เข้าใจ
“แล้วทำไมไม่พูดตรงๆ ล่ะครับ ต้องให้ตีความหมาย ใครจะไปรู้ ต้นไม้ยังแสดงอาการบอกเลยว่าต้องการให้ดูแลอย่างไร แต่กับคนนี่เข้าใจยากเหลือเกิน” ศาสตราวุธบ่นออกมา เขารู้ดีว่าคำพูดของผู้หญิงนั้นต้องตีความ และมันเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากมีใครเข้ามาวุ่นวายในชีวิตเขา เพราะเขาขี้เกียจตีความหมายเหล่านั้น
“ไม่รู้ล่ะ วุธต้องหาสะใภ้ให้แม่ภายในปีนี้ เลือกเอาหนูวิกับหนูน้ำชาคนใดคนหนึ่ง” ศศิประภาบอก
“ผมยังไม่พร้อมครับ เพราะยังรู้จักกันได้ไม่นาน จะให้แต่งงานเร็วๆ นี้คงไม่ได้” ศาสตราวุธบอก เขาไม่พร้อมจะให้ใครเข้ามาในชีวิตในตอนนี้
แต่ถ้าให้ต้องเลือกจริงๆ ระหว่างรติชากับสุริวิภา อย่างไรเขาก็ต้องเลือกรติชาอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อยก็รู้จักนานกว่าสุริวิภา และเธอก็ไม่ทำลายต้นไม้ที่เขารักเหมือนกับสุริวิภาและเพื่อนๆ
*********************
ศศิประภายังไม่หยุดที่จะจัดการเรื่องลูกสะใภ้คนเล็ก เธอโทรหาแม่เลี้ยงกานดาเพื่อถามถึงรติชา ในตอนบ่ายวันนั้น
“ไม่เห็นหนูน้ำชามาที่ไร่เลย ไม่ทราบว่าเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ศศิประภาถามแล้วยิ้มรอคำตอบ
“น้ำชาติดงานที่ไร่ค่ะ แล้วพ่อเลี้ยงก็เริ่มออกอาการหวงลูกสาว บอกว่าเป็นผู้หญิงอย่าไปหาผู้ชายเองมันดูไม่งาม” แม่เลี้ยงกานดาบอก ทั้งที่จริงๆ แล้วพ่อเลี้ยงโสภณไม่ได้พูดอะไร เป็นนัยบอกให้ศศิประภารู้ว่าศาสตราวุธควรเป็นฝ่ายมาหารติชาบ้าง
“งั้นวันอาทิตย์นี้ขอรบกวนด้วยนะคะ จะได้ไปทำความรู้จักและดูตัวกันอย่างเป็นทางการกันเสียที เผลอๆ ถ้าเด็กๆ เขาไม่ขัดอะไร เราอาจจะได้พูดเรื่องแต่งงานไปด้วยเลย” ศศิประภาบอกพลางหัวเราะเบาๆ อย่างพอใจ แม่เลี้ยงกานดาเองก็หัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจเช่นกัน
“ได้ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ” แม่เลี้ยงกานดารับปาก
“ค่ะ แล้วเจอกัน” ศศิประภาพูดแล้ววางสายไป
ศาสตราวุธได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก เมื่อมารดาจะพาไปหารติชาที่บ้านเพื่อสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น เขายังไม่พร้อมจะมีใครในตอนนี้ โดยเฉพาะไม่พร้อมในเรื่องการแต่งงาน
เขานั่งคิดอย่างเป็นกังวลที่ระเบียงหน้าบ้าน มองบรรดาไม้ประดับที่เขาหวงแหนแล้วเรียกคนสวนมาคุยด้วย สอนการรดน้ำต้นไม้อย่างละเอียดทุกขั้นตอน แล้วตัดสินใจที่จะหนีไปพักใจที่บ้านของพี่ชายเพื่อเลี่ยงการดูตัวอย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้
ศาสตราวุธใช้จังหวะที่มารดาเผลอขนกระเป๋าขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที เขาคิดว่าพอถึงที่แล้วจึงจะโทรบอกมารดา แล้วหาเหตุผลอะไรสักอย่างเป็นข้ออ้าง เพราะเธอไม่รู้ว่าเขาแอบฟังเธอคุยโทรศัพท์ การที่เขาหนีไปก่อนคงไม่ทำให้เธอโกรธมากนัก
*********************
ศาสตราวุธขับรถออกจากบ้านในช่วงบ่าย จึงแวะพักที่โรงแรมก่อนและเดินทางใหม่ในตอนเช้า เพราะตอนนี้เริ่มมืดแล้ว เขาไม่ชอบขับรถในเวลากลางคืนเพราะเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก
ศาสตราวุธโทรหามารดาเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาออกจากบ้านมาแล้ว
“วุธอยู่ไหนลูก รีบมาเร็วเข้า ตั้งโต๊ะจะเสร็จแล้ว และแม่ก็มีเรื่องอยากคุยด้วย” ศศิประภาบอกลูกชาย
“แม่ครับ ขอโทษนะครับที่ลืมบอก พอดีว่าผมโทรคุยกับเพื่อนเรื่องการแปรรูปชาเอาไว้ เลยลงมาดูชนิดของชา และวิธีการแปรรูปที่กรุงเทพ ผมรีบมากจนลืมบอกแม่ไปเลย อย่างไรถ้าพรุ่งนี้ถึงแล้วจะโทรบอกนะครับ รักแม่นะครับ” ศาสตราวุธบอกมารดาโดยไม่ให้โอกาสเธอพูดแทรกเขาแล้วรีบวางสายไป เพราะกลัวมารดาจับได้ว่าเขาโกหก
ศศิประภากำมือแน่นด้วยความโมโห เธอเลี้ยงศาสตราวุธมาตั้งแต่เด็กมีหรือจะไม่รู้ว่าเวลาที่เขาโกหกนั้นจะพูดเร็วและพูดมากกว่าปกติ เขาคงรู้เรื่องที่เธอจะพาเขาไปแนะนำตัวกับอีกไร่ เลยชิงหนีไปแบบนี้
“ลูกคนนี้นึกว่าจะหัวอ่อน ที่ไหนได้ ไม่ต่างกับพี่ชายเลย” ศศิประภาบ่นอย่างโมโหที่ศาสตราวุธกำลังจะทำให้เธอเสียหน้า
ศศิประภาคิดว่าพรุ่งนี้จะโทรเลื่อนนัดแม่เลี้ยงกานดาแต่เช้า คงไม่มีวิธีไหนที่ดีมากกว่าการบอกเลื่อนนัดออกไปแล้ว ในเมื่อลูกชายตัวดีไม่ให้ความร่วมมือ
เธอตัดสินใจกดโทรศัพท์ไปหาศรายุทธลูกชายคนโตเพื่อจะบอกให้เขาช่วยหว่านล้อมให้ศาสตราวุธกลับมา แต่บัวบงกชที่เป็นสะใภ้ใหญ่ก็เป็นคนรับสาย
“สวัสดีค่ะคุณแม่” บัวบงกชรับสาย
“ยุทธล่ะบัว” ศศิประภาถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“คุณยุทธอาบน้ำอยู่ค่ะ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ เสียงเครียดเชียว” บัวบงกชถามเธอด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอก แล้วอาการแพ้ท้องของเธอล่ะ ดีขึ้นหรือยัง” ศศิประภาถามเธอ ที่กำลังตั้งครรภ์หลานคนแรกอยู่
“ก็ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่ส่งสตรอเบอรี่มาให้บัว เปรี้ยวอมหวานกำลังพอดีเลยค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
“อืม ถ้าอยากทานอีกก็บอก แม่จะให้คนส่งไปให้อีก” ศศิประภาบอกเธอด้วยความห่วงใย อย่างน้อยบัวบงกชก็ดูแลศรายุทธได้ดี และเป็นสะใภ้ของบ้านแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องอคติกับเธอ
“แล้วจะให้คุณยุทธโทรกลับหรือเปล่าคะ” บัวบงกชถาม
“ไม่ดีกว่า ไปพักผ่อนเถอะ” ศศิประภาบอกแล้ววางสายไป คิดว่าศรายุทธเองก็คงช่วยพูดกับศาสตราวุธไม่ได้ มีแต่จะชวนกันให้ต่อต้านเธอมากกว่า
*********************
รติชามาหาศาสตราวุธแต่เช้า ศศิประภาชวนเธอนั่งทานอาหารเช้าด้วยแล้วได้โอกาสพูดกับรติชาเรื่องศาสตราวุธพอดี
“ป้ากำลังจะโทรไปบอกแม่เลี้ยงพอดีเลย ว่าจะเลื่อนนัดไปเป็นวันอื่น พอดีพี่เขามีดูงานด่วนที่กรุงเทพ เพิ่งไปเมื่อวานนี้เอง” ศศิประภาบอกรติชา
รติชาแอบสงสัยว่าศาสตราวุธอาจจะไม่ได้มีธุระด่วนอะไร แต่เขาอาจกำลังหลบหน้าเธอก็ได้ จึงทำหน้าสลดลงนิดหนึ่งเพราะถ้าวันอาทิตย์นี้ศาสตราวุธไม่ไปตามที่นัดหมาย บิดาของเธออาจได้ทีเอาเรื่องนี้มาอ้างแล้วจับเธอแต่งงานกับเพื่อนรุ่นน้องของเขาแทน
ศศิประภาเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของรติชาก็เข้าใจว่าเธอคงมีใจให้ศาสตราวุธและกำลังผิดหวังอยู่เลยลองพูดเสนออะไรบางอย่างออกไป
“ถ้าน้ำชาสะดวก ตามพี่เขาไปดูงานก็ได้นะ นั่งเครื่องไปก็ได้ ขากลับจะได้กลับรถคันเดียวกัน เดี๋ยวป้าจดที่อยู่บ้านที่กรุงเทพให้” ศศิประภาบอก
รติชาลังเลอยู่สักพักก็ตัดสินใจพยักหน้าตอบตกลงแล้วรับที่อยู่ไว้ ก่อนจะขอตัวลากลับบ้านไปเพื่อปรึกษามารดา
แม่เลี้ยงกานดารู้ว่าสามีคงไม่พอใจแน่หากรู้ว่ารติชาตามศาสตราวุธไป เลยแกล้งออกอุบายช่วยลูกสาว
“เดี๋ยวแม่จัดการเอง” เธอบอกแผนการแก่รติชา แล้วไล่ให้เธอไปทำงานตามปกติ
แม่เลี้ยงกานดารอเวลาจนถึงตอนเที่ยงที่พ่อเลี้ยงโสภณและรติชากลับมาทานอาหารกลางวันที่บ้าน พอทานอาหารกันไปสักพักเธอก็เริ่มพูดตามแผนการที่วางไว้ออกมา
“น้ำชา เดี๋ยวทานข้าวเสร็จไปเก็บเสื้อผ้านะ”
“ทำไมคะแม่” รติชาแกล้งถามอย่างสงสัย
“เพื่อนแม่โทรมาชวนไปสัมมนาที่กรุงเทพ แม่รับปากไปแล้วเลยอยากให้ลูกไปแทน” แม่เลี้ยงกานดาบอก
“แล้วน้ำชาจะกลับมาทันวันอาทิตย์หรือเปล่าคะ กลัวบ้านนั้นมาแล้วไม่ได้อยู่คุยด้วย” รติชาพูดตามที่มารดาบอก
“ไปสัมมนาแทนแม่เขาเถอะ อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องผู้ชาย มาไม่ทันก็แค่เลื่อนนัด หรือไม่ก็ยกเลิกไปเลย ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเปลืองข้าวเปลืองน้ำรับแขก” พ่อเลี้ยงโสภณพูดขึ้นอย่างหมั่นไส้
“นี่คุณ พูดจาอะไรอย่างนั้น เดี๋ยวอีกหน่อยก็เกี่ยวดองกันแล้ว อย่าอคติให้มันมากนักสิคะ” แม่เลี้ยงกานดาบอกสามีเสียงแข็งจนเขานั้นทำต้องนิ่งไม่ตอบโต้เพราะไม่อยากทะเลาะกับภรรยา
“นี่ก็อีกคน รีบกินข้าวรีบไปเก็บของได้แล้ว เครื่องออกตอนเย็นเดี๋ยวแม่ให้คนไปส่ง” แม่เลี้ยงกานดาบอกรติชา
รติชาแกล้งทำหน้าเซ็งๆ แล้วลุกไปเก็บกระเป๋า พอหันหลังก็แอบยิ้มอย่างพอใจเมื่อแผนของมารดานั้นได้ผลเกินคาด
*********************