เหมยกุ้ยฮวาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ละวันจะหมดไปกับการสรรหาของเล่น มาเล่นต่อหน้าพระพักตร์ลี่ไทเฮา ดูเหมือนพระองค์จะทรงพอพระทัยที่เหมยกุ้ยฮวา แสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้าแววตา โดยไม่ปิดบัง เรียกได้ว่า ถึงไม่พูดก็สามารถเข้าใจได้ว่านางรู้สึกอย่างไร แม้นางจะทำแก้มป่องกอดอกด้วยความไม่พอใจ แสดงกิริยาไม่งามอยู่หลายครั้ง ลี่ไทเฮาก็ยังทรงพระสรวลอย่างเกษมสำราญ มิได้ตำหนิ หรือสั่งลงโทษใดๆ ต่อนาง ทุกวันเหมยกุ้ยฮวา จะเข้าวังมาในตอนเช้าพร้อมกับ กู่จางหย่งผู้เป็นบิดา และกลับจวนในเวลายามโหย่ว (17.00-18.59 น.) โดยมี กงกงคนสนิทของลี่ไทเฮาไปส่งถึงหน้าประตูจวน
การมีอยู่ของเหมยกุ้ยฮวาในตำหนักปิงจิ้งเหอ ทำให้ตำหนักสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะ และเสียงผิวขลุ่ยดังขึ้นทุกวันไม่มีขาด
จ้าวหลี่จิ้น องค์ชายใหญ่ที่ไปหาน้องสาวบุญธรรมที่จวนแม่ทัพไม่เจอ ก็กลับมาเป็นแขกประจำที่ตำหนักของลี่ไทเฮาแทน ในเจ็ดวัน เขาจะต้องรีบกลับจากสำนักศึกษามาร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกับลี่ไทเฮา และเหมยกุ้ยฮวา อย่างน้อยสามวัน ยังถูกลี่ไทเฮาค่อนขอด ว่า 'ข้าวตำหนักนี้คงมีรสดีกว่าที่อื่นอยู่มากกระมัง องค์ชายใหญ่ถึงได้เสด็จมาเป็นภาระของพ่อครัวที่นี่บ่อยๆ' จ้าวหลี่จิ้นได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วกล่าวอย่างประจบเอาใจว่า 'หลานได้กินข้าวพร้อมกับเสด็จย่า ต่อให้เป็นเพียงโจ๊กเปล่าก็ย่อมมีรสดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ' ลี่ไทเฮาได้ฟังก็ทรงส่ายพระพักตร์ทั้งระอาทั้งขันในเวลาเดียวกัน
ยังมีหม่ากุ้ยเฟย พระมารดาขององค์ชายใหญ่ ที่คอยดูแล และหมั่นมาเข้าเฝ้าคารวะไทเฮาอยู่เสมอๆ หลังจากที่พบกับเหมยกุ้ยฮวา หม่ากุ้ยเฟยก็เสด็จมาที่ตำหนักปิงจิ้งเหอทุกวัน ด้วยไม่มีพระธิดา และทรงโปรดเด็กผู้หญิงไม่ต่างจากไทเฮา จึงเอ็นดูเด็กหญิงตัวน้อยเป็นอย่างมาก
วันนี้เป็นอีกวันที่เหมยกุ้ยฮวา หาของเล่นเพื่อมาเล่นเบื้องหน้าพระพักตร์ลี่ไทเฮา เมื่อครั้งยังไม่ได้ข้ามมิติเวลามา เหมยกุ้ยฮวามักต้องเดินทางไปดูงานวิจัย เป็นที่ปรึกษา และร่วมศึกษาในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการใหม่ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศอยู่บ่อยๆ หลายครั้งที่จำเป็นต้องพักที่โรงแรม บนเตียงของโรงแรมจะมีผ้าเช็ดตัวพับเป็นรูปต่างๆ ที่เรียกว่า โอชิโบริ (แปลว่าผ้าขนหนูขนาดเล็ก การพับผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดตัว เป็นศิลปะอย่างหนึ่งของชาวญี่ปุ่น) ซึ่งเธอชอบมาก จึงลองศึกษา ฝึกพับจนเป็นอยู่หลายแบบ วันนี้จึงเลือกเอาการพับผ้ามาเล่นที่ตำหนักปิงจิ้งเหอ แต่ด้วยไม่มีผ้าขนหนูผืนเล็ก เหมยกุ้ยฮวาจึงแอบเตรียมผ้าลินิน ตัดเป็นผืน เย็บริมผ้าเก็บขอบเรียบร้อย แต่เพราะต้องทำทุกอย่างในเวลากลางคืน ซ้ำยังต้องรอให้หลี่มามาหลับไปเสียก่อน วันนี้นางจึงดูไม่สดใสนัก
"ฮวาเอ๋อเจ้าป่วยหรือไม่ เจ็บปวดที่ใดหรือไม่" หม่ากุ้ยเฟยที่สังเกตเห็นเหมยกุ้ยฮวามีอาการผิดปกติ มิได้สดใสเหมือนเช่นทุกวัน จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เหมยกุ้ยฮวาส่ายหน้า พร้อมกับยิ้มสดใสอวดฟันขาว มือเล็กชูผ้าผืนสี่เหลี่ยมในมือให้ หม่ากุ้ยเฟย ทอดพระเนตร
ลี่ไทเฮาเห็นจึงได้เอ่ยอย่างเข้าใจความหมาย "ฮวาเอ๋อคงเตรียมของเล่นใหม่ทั้งคืนกระมัง ถึงได้มีท่าทางง่วงซึมเช่นนี้"
คราวนี้เหมยกุ้ยฮวาพยักหน้าติดกันสามครั้ง ขยับไปนั่งลงบนพื้นข้างเก้าอี้ที่ประทับของลี่ไทเฮา วางศีรษะเล็กลงบนตักท่าทางประจบเอาใจยิ่งนัก
"เจี๋ยเอ๋อ เจ้าดูสิ เด็กคนนี้ช่างรู้ความ รู้จักประจบเอาใจอายเจีย" ลี่ไทเฮาทรงตรัสกับหม่ากุ้ยเฟยอย่างสนิทสนม พระหัตถ์ลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู
"เพคะเสด็จแม่ ฮวาเอ๋อช่างรู้ความยิ่งนัก" หม่ากุ้ยเฟยกล่าวเห็นด้วย โดยปกติแล้วด้วยฐานะของนางไม่สามารถใช้คำเรียกไทเฮาเช่นนี้ได้ แต่เพราะความสนิทสนมและ ด้วยพระเมตตาที่ลี่ไทเฮาทรงมอบให้จึงอนุญาตให้หม่ากุ้ยเฟยเรียกว่าเสด็จแม่
"แล้ววันนี้ฮวาเอ๋อมีสิ่งใดมาอวดอายเจียเล่า มัวแต่นั่งอยู่ตรงนี้จะได้เล่นหรือไม่" ลี่ไทเฮาตรัสถามเด็กน้อยข้างตัว
เหมยกุ้ยฮวาจึงลุกขึ้นยืน ยอบกายเคารพคราหนึ่ง ก่อนเดินไปตรงกลุ่มนางกำนัลที่มีหน้าที่เป็นเพื่อนเล่นของนาง เหมยกุ้ยฮวาลงมือพับผ้าทีละฝืน ไม่นานก็ปรากฎ เต่า หงส์ นกยูง ดอกไม้ และกระต่าย ที่ถูกพับขึ้นจากผ้า นางกำนัลพากับตื่นตะลึง และตื่นเต้น ด้วยไม่เคยเห็นการพับผ้าเช่นนี้มาก่อน
เหมยกุ้ยฮวาค่อยๆ ยกผ้าที่พับแล้วมาถวายให้แก่ผู้อาวุโสทั้งสอง โดยเลือกถวายเต่าให้แก่ลี่ไทเฮา ถวายหงส์ให้กับหม่ากุ้ยเฟย ส่วนดอกไม้ และกระต่าย ให้กับนางกำนัลคนละตัว สุดท้ายมอบนกยูงให้กับ กงกง
"ฮวาเอ๋อเจ้าทำได้อย่างไร" หม่ากุ้ยเฟยทอดพระเนตรหงส์ตรงหน้าอย่างชื่นชม แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ใยเด็ก ๕ ปี จึงมีความสามารถทำได้ถึงเพียงนี้
เหมยกุ้ยฮวาไม่ตอบ แต่ส่งยิ้มที่แฝงความภาคภูมิใจกลับไปให้ แล้วหันมองลี่ไทเฮา ที่ไม่ทรงตรัสอะไรเลย หรือพระองค์จะไม่ทรงโปรดเต่า
ลี่ไทเฮา รู้สึกแปลกใจที่เหมยกุ้ยฮวาเลือกถวายเต่าให้กับนาง แต่เลือกถวายหงส์ให้หม่ากุ้ยเฟย แม้จะไม่ได้ทรงมีโทสะ แต่ก็อดรู้สึกขัดพระทัยขึ้นมาไม่ได้
เหมยกุ้ยฮวาเห็นพระพักตร์ของลี่ไทเฮาเปลี่ยนไป แม้เพียงวูบเดียวก็พลันเข้าใจ จึงเดินเข้าไปหยุดยืนตรงที่เคยคุกเข่าไปเมื่อครู่ ยอบกายคารวะอย่างนอบน้อมครานึง ก่อนเอื้อมมือไปจับพระหัตถ์ของลี่ไทเฮาขึ้นมา สร้างความตกใจให้กับผู้คนรอบข้างยิ่งนัก เด็กน้อยคนนี้ หาญกล้าเกินไปแล้ว แม้แต่ลี่ไทเฮายังมีท่าทีตกพระทัย แต่ก็มิได้ดึงพระหัตถ์กลับไป เหมยกุ้ยฮวาใช้นิ้วเล็กวาดเป็นตัวอักษร ฉางโซ่ว (***แปลว่า อายุยืนยาว) ลงไป
พระเนตรของลี่ไทเฮาผุดแววยินดี ดวงหน้าเผยรอยยิ้มมีความสุขอย่างที่สุด ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบหลังเหมยกุ้ยฮวา ด้วยความพอใจ "เด็กดี...เด็กดี"
เหมยกุ้ยฮวายิ้มดีใจที่ทำให้ลี่ไทเฮาทรงพอพระทัยได้ หม่ากุ้ยเฟย และ กงกง ยังคงไม่เข้าใจ
"ฮวาเอ๋อบอกอายเจียว่า เต่า แทนการมีอายุยืนยาว" ลี่ไทเฮาทรงเอ่ยบอกด้วยพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความโอนโยน และพอพระทัยยิ่ง
"เป็นเช่นนี้หรือเพคะ ฮวาเอ๋อฉลาดจริงเชียว แล้วของเราเล่าหมายความว่าอย่างไร" หม่ากุ้ยเฟย อยากรู้ขึ้นบ้าง
เหมยกุ้ยฮวาจึงเดินไปยอบกายคารวะแล้ววาดนิ้วลงบนพระหัตถ์ของหม่ากุ้ยเฟย เป็นคำว่า ยู่วหย่า (***ที่แปลว่า สง่างาม) หม่ากุ้ยเฟยทรงยิ้มอย่างยินดี
"ฮวาเอ๋อบอกว่า หม่อมฉันสง่างามเพคะ เสด็จแม่" หม่ากุ้ยเฟยหันไปรายงานลี่ไทเฮา
ลี่ไทเฮาพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นเหมยกุ้ยฮวาก็ตรงไปที่ กงกง ใช้นิ้ววาดคำว่า ซ่งเฉิง (***แปลาว่า จงรักภักดี)
"ของกระหม่อม คุณหนูบอกว่า ภักดีพ่ะย่ะค่ะ" กงกงรายงานด้วยความดีใจ นี่มิใช่ชมเขาต่อหน้าพระพักตร์หรอกหรือ คุณหนูกู่เหมยฮวาเป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก ซ้ำยังเอ่ยชมเขาเช่นนี้ ช่างดี...ดีจริงๆ
จากนั้นก็เป็นของนางกำนัล คนที่ได้ดอกไม้ กุ้ยเหมยฮวาเขียนว่า เม่ยลี่ (***ที่แปลว่า งดงาม) ส่วนคนที่ได้กระต่าย เขียนว่า ชวีจิง (***ที่แปลว่าตื่นตูม) ทำให้นางกำนัลหน้าแดงอย่างห้ามไม่อยู่ นางกำนัลคนอื่นพากันหัวเราะคิกๆ
พอได้ยินนางกำนัลรายงานว่า เหมยกุ้ยฮวาให้กระตายและคำว่าตื่นตูม ก็เข้าใจความทันทีคงเพราะนาง ขี้กลัว และตกใจง่ายเป็นกระต่ายตื่นตูมสินะ ลี่ไทเฮาและหม่ากุ้ยเฟยก็ทรงพระสรวลขึ้นมาอีกครั้ง
ภายในตำหนักปิงจิ้งเหอมีเสียงครื้นเครงดังออกไป ทำให้จางฮองเฮาที่เดินมาถึงได้ยิน ถึงกับนิ่วหน้า แค่นเสียง "หึ" ในลำคอ ก่อนพยักหน้าให้กงกงหน้าตำหนักเข้าไปรายงาน
ลี่ไทเฮา ยกพระหัตถ์ขึ้นโบกบอกให้นางกำนัลถอยออกไป หม่ากุ้ยเฟยลุกขึ้นเดินไปโอบไหล่ เหมยกุ้ยฮวาให้ถอยมายืนอยู่ด้วยกัน ด้วยมีศักดิ์ที่ต่ำกว่า จึงต้องแสดงความเคารพอย่างสมควร
"ให้เข้ามาได้" เมื่อเห็นว่าภายในสงบเรียบร้อยดีแล้วลี่ไทเฮาจึงเอ่ยอนุญาตออกไป
ไม่นาน จางฮองเฮาก็ปรากฏกาย เหมยกุ้ยฮวา ลอบสังเกต จางฮองเฮาผู้นี้ แม้จะงดงาม แต่ก็มิได้งามปานล่มเมือง ท่วงท่ากิริยาแสดงถึงความเย่อหยิ่งทะนงตน ไม่มีเศษเสี้ยวของความอ่อนน้อมแม้เพียงนิด หากเทียบกันแล้ว หม่ากุ้ยเฟยมีความอ่อนโยนน่าทะนุถนอมมากกว่าจางฮองเฮาอยู่หลายส่วน หรือว่าคนที่อยู่สูงสุดเช่นนี้จะไม่เหลือความอ่อนโยนอยู่แล้วนะ
"ถวายพระพรเสด็จแม่" จางฮองเฮายอบกายคารวะ ลี่ไทเฮาจึงเอ่ย "ไม่ต้องมากพิธี" พร้อมกับโบกมือให้ กงกง เข้าไปประคองจางฮองเฮาให้ลุกขึ้น
"ถวายพระพรฮองเฮา ขอทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี" หม่ากุ้ยเฟยก้มลงถวายความเคารพเต็มพิธีการ เหมยกุ้ยฮวาจึงทำตาม
"หม่ากุ้ยเฟย อย่าได้มากพิธี เจ้าทำเช่นนี้ เสด็จแม่จะตำหนิเปิ่นกงได้" จางฮองเฮาเอ่ย ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าคำพูดแฝงนัยตำหนิชัดเจน คำเรียกตามยศอย่างห่างเหิน และใช้คำแทนตัวอย่างจงใจแสดงความสูงส่งกดข่มผู้อื่น
"ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ" หม่ากุ้ยเฟยลุกขึ้นยืนโดยมีเหมยกุ้ยฮวาช่วยพยุง
ลี่ไทเฮาเรียกให้จางฮองเฮานั่งร่วมโต๊ะ ส่วนหม่ากุ้ยเฟย และเหมยกุ้ยฮวา ย้ายไปนั่งที่เก้าอี้ที่ห่างออกไปอย่างรู้ตนเอง
"วันนี้ฮองเฮามาถึงตำหนัก ปิงจิ้งเหอได้ มีอันใดรึ" ลี่ไทเฮาเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ ด้วยปกติแล้ว นอกจากคารวะตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว จางฮองเฮาไม่เคยเหยียบตำหนักนี้โดยไม่จำเป็น
"ทูลเสด็จแม่ หม่อมฉันได้ยินว่า เสด็จแม่ทรงโปรดบุตรีของแม่ทัพกู่ยิ่งนัก ด้วยกลัวว่าเด็กน้อยไม่รู้ความซ้ำยังเป็นใบ้จะทำอะไรล่วงเกินเสด็จแม่เพคะ"
พอได้ฟังเหตุผลการมาของจางฮองเฮา ลี่ไทเฮาพลันเกิดโทสะ อ้างเป็นห่วงอายเจีย มิใช่อยากมาดูหน้าเด็กที่ทำให้แผนการขึ้นสู่อำนาจของตนเองพังไม่เป็นท่าหรอกหรือ
เหมยกุ้ยฮวาได้ฟังวาจาถากถางพลันขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่รู้ความ ซ้ำยังเป็นใบ้ นี่ไม่ใช่ กดให้ต่ำย่ำให้จมหรอกหรือ
เมื่อเห็นอาการไม่พอใจของเด็กน้อย หม่ากุ้ยเฟยจึงหันไปโอบรอบตัวเหมยกุ้ยฮวา ก่อนอุ้มขึ้นมานั่งบนตัก โอบกอด ลูบแผ่นหลังอย่างปลอบโยน สลับตบเบาๆ ให้คลายโทสะลง
จางฮองเฮา ท่านนี่นะ...กับเด็กน้อยเช่นนี้ก็ยังมิคิดละเว้น หม่ากุ้ยเฟยคิดพลางทอดถอนใจ