ฎีกาฉบับที่ 28 (1)

1964 Words
    ท้องพระโรงแห่งแคว้นฉิน คลาคล่ำไปด้วยขุนนางแห่งราชสำนัก แยกเป็นสองฝั่ง บุ๋นและบู๊ ทุกคนแต่งกายด้วยเครื่องแบบเต็มยศ เครื่องประดับลดทอนความหรูหราลงตาม ยศ และตำแหน่งที่ได้รับ      หากแต่วันนี้ ผู้ที่อยู่เหนือหัวนั่งเหนือบัลลังก์มังกร ไม่เหมือนเช่นทุกวัน สีพระพักตร์คล้ำแดงสลับดำ พระโขนงขมวดมุ่น เส้นพระโลหิตปูดโปน มุมพระโอษฐ์กระตุกซ้ำๆ ด้วยพยายามกดข่มโทสะอย่างยากเย็น จนในที่สุดก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป      "ฎีกาขอลาออก แม่ทัพกู่ลาออก นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!!!"      ฮ่องเต้จ้าวฉงเจินตวาดเสียงก้อง ลุกขึ้นยืนก่อนเหวี่ยงเล่มฎีกาลงพื้นอย่างเดือดดาล     ภายในท้องพระโรงเงียบกริบ เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าก้มตาก่อนเหลียวมองกันไปมา ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำ แม้แต่หายใจยังระมัดระวังมิให้มีเสียง     หตุใดแม่ทัพคู่บัลลังก์จึงลาออก เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ไม่มีใครรู้ ด้วยจวนแม่ทัพของ กู่จางหย่งนั้นมิได้สนิทชิดเชื้อกับขุนนางคนใดมากพอให้ไปมาหาสู่ หรือจะพูดให้ถูก คงต้องเรียกว่า แม่ทัพกู่ผู้นี้ทำตัวสันโดษ อยู่เหนือฝักฝ่ายใดๆ มิมีใจจะเข้าร่วมวงสังสรรค์กับใครด้วยหวังลาภ ยศ ทรัพย์สิน ยิ่งไม่มีฮูหยินยิ่งแล้วใหญ่ เรื่องภายในจวนจึงไม่มีเล็ดลอดมาให้ใครล่วงรู้ แล้วใครจะตอบคำถามของโอรสสวรรค์ได้เล่า     เมื่อเห็นว่าไม่มีทางได้คำตอบจากบรรดาขุนนางที่อยู่ตรงหน้า ฮ่องเต้ฉงเจินยกพระหัตถ์ขึ้นโบกไล่ หวังกงกง จึงเอ่ย 'สิ้นสุดการประชุม' ขุนนางพากันถวายความเคารพก่อนถอยกรูดออกไปจากท้องพระโรงกันอย่างรวดเร็ว      ฮ่องเต้ฉงเจินคลึงขมับ กู่จางหย่งกับเขาเป็นสหายร่วมเรียนมาตั้งแต่ยังเยาว์ ครั้งเมื่อเขายังเป็นองค์รัชทายาทก็ร่วมศึกกันมาหลายครา เรียกว่าสนิทสนมกันมาไม่น้อยกว่ายี่สิบปี กู่จางหย่งเป็นคนเช่นไรเขานั้นรู้ดี ไม่สนใจลาภ ยศ ตำแหน่ง รักษาสัตย์ยิ่งกว่าสิ่งใด รักมั่นสตรีเพียงนางเดียว ที่ถวายฎีกาขอลาออกมิใช่เป็นเรื่องราชโองการสมรสพระราชทานนั่นหรอกกระมัง คิดแล้วทำให้ปวดหัวยิ่งนัก     "ฝ่าบาท..." หวังกงกงเห็นท่าทางมิสู้ดีของผู้เป็นนาย อดเรียกอย่างเป็นห่วงไม่ได้     หวังกงกงเป็นอีกคนที่รับใช้ข้างกายฉงเจินฮ่องเต้ตั้งแต่ยังทรงเป็นองค์ชาย จึงรับรู้ถึงความสนิทสนมระหว่างนายบ่าวคู่นี้เป็นอย่างดี และด้วยรู้ถึงนิสัยใจคอของ กู่จางหย่ง จึงมิรู้ว่าจะหาคำใดมาเอ่ยปลอบใจนายเหนือหัวในตอนนี้     "ข้าจะทำอย่างไรดี หวังกงกง หากจางหย่งลาออก ข้ายังจะไว้ใจใครได้อีก"      ฉงเจินรู้สึกไม่มั่นคงอย่างอดไม่ได้ จางหย่งคือสหายที่ดีที่สุด คือแม่ทัพที่เก่งกล้าที่สุด และเป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุด หากต้องเสียคนคนนี้ไป เขาจะทำอย่างไรดี     "เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่กระหม่อม กระหม่อมจะส่งคนไปสืบให้รู้แจ้ง พ่ะย่ะค่ะ"      หวังกงกง เสนอตัว ต้องเพียงแบ่งเบาความทุกข์ใจของผู้เป็นนายลงไปได้บ้าง เขาก็พอใจ     "ดี... ดี" ฉงเจินกล่าวเพียงเท่านี้ มีหวังกงกงอยู่ อย่างน้อยข้างกายเขาก็มิได้มีแต่พวกไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว     หลังจากวันที่กู่เหมยฮวาถูกทำร้าย จวนแม่ทัพก็เหมือนถูกปิดตาย ด้วยกู่จางหย่งมีคำสั่งเด็ดขาดไม่เปิดประตูต้อนรับใครอีก มีคนนอกเพียงคนเดียวที่เข้า ออกจวนแม่ทัพได้ คือ จ้าวหลี่จิ้น องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน     ก่อนหน้านี้องค์ชายใหญ่ตามกู่จางเหว่ยกลับมาที่เรือนแม่ทัพเป็นประจำ ทุกครั้งเขาจะพบฮวาเอ๋อที่มักจะรอให้พี่ชายใหญ่ของนางกลับมาจากสำนักศึกษาพร้อมขนมติดมือมาฝาก เพราะฮวาเอ๋อเป็นเด็กตัวเล็ก น่ารัก ช่างเจรจา ทั้งยังใสซื่อต่างจากพี่น้องในวัง องค์ชายใหญ่จึงเอ็นดูฮวาเอ๋อเหมือนน้องสาวของตัวเอง องค์ชายใหญ่ใช้ความสนิทสนมนี้เข้ามาในจวนแม่ทัพทุกวัน อ้างว่าเพื่อฟื้นความทรงจำให้ฮวาเอ๋อ      กู่จางหย่งเอาแต่เก็บตัว ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าบุตรีของตน วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้องตำรา เขียนฎีกาขอลาออกฉบับแล้วฉบับเล่าเพื่อส่งเข้าวัง จางหลีหลิวพูดถูก การสมรสระหว่างเขากับนางเป็นราชโองการของฮ่องเต้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง แต่... นางคงลืมไปกระมัง ว่าคนเดียวที่จะยกเลิกราชโองการได้ ก็คือคนที่ออกราชโองการ เขาจึงไม่ได้เข้าประชุมราชการเหมือนข้าราชสำนักคนอื่นๆ ทำเพียงส่งฎีกาเข้าวัง หากฮ่องเต้ไม่ทรงยกเลิกราชโองการ เขาก็จะลาออกไปทำไร่ทำนาเสีย ดูว่าใครยังจะต้องการตกแต่งเป็นภรรยาตามเขาไปลำบากได้อีก     ทุกครั้งที่กู่จางหย่งมองหน้ากู่เหมยฮวา ภาพใบหน้าของ หยู่เยี่ยน มักซ้อนทับเข้ามาเสมอ เขาผิดต่อภรรยาผู้ล่วงลับแล้วจริงๆ ผิดที่ไม่ดูแลบุตรีที่นางมอบไว้ให้เขาให้ดี 'ท่านรับปากข้า ท่านพี่... ดูแลฮว่าเอ๋อให้ดี ดูแลลูกของเราให้ดี' คำสั่งเสียสุดท้ายก่อนสิ้นลมของกู่ฮูหยิน ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท เมื่อเห็นฮวาเอ๋อเหม่อลอยราวคนไร้สติ พลันนัยน์ตาแดงก่ำ น้ำตาเอ่ออย่างห้ามไม่อยู่      กู่จางเหว่ย และกู่หวังเหว่ย ก็พลอยไม่เป็นอันทำสิ่งใด คอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ฮวาเอ๋อ ด้วยความเป็นห่วง ทุกครั้งที่พยายามเข้าใกล้ หรือพูดคุย จะถูกน้องสาวสุดที่รักมองด้วยสายตาห่างเหิน เหมือนคนแปลกหน้าทุกครั้ง สร้างความทุกข์ใจให้พวกเขายิ่งนัก      คนเดียวที่ทำให้ฮวาเอ๋อยิ้มได้ และสามารถเข้าใกล้นางได้มากที่สุดคือ องค์ชายใหญ่ จ้าวหลี่จิ้น      จ้าวหลี่จิ้นมักจะซื้อขนม และของเล่นแปลกๆ มาให้ฮวาเอ๋อทุกวัน คอยสอนนางว่าต้องเล่นยังไง ทั้งยังมีเรื่องเล่าประหลาดๆ มาหลอกล่อให้นางยิ้มเสมอ หลังจากเห็นว่าน้องสาวให้ความไว้วางใจองค์ชายใหญ่ จางเหว่ย และ หวังเหว่ย จึงเริ่มทำตามวิธีของจ้าวหลี่จิ้น กลายเป็นว่า ทั้งสี่คนมักนั่งเล่น อยู่ด้วยกัน และส่งเสียงดังลั่นอยู่ที่ศาลาริมน้ำ      เหมยกุ้ยฮวาเริ่มปรับตัวได้แล้ว หลังจากอยู่ในร่างเล็กนี่มาได้ราวสี่ถึงห้าวัน การมีพี่ชายหน้าตาดีรุมล้อมทำให้การอยู่ในร่างเด็กห้าขวบไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว ก็แหละนะ ตอนอยู่ช่วงเวลานั้นเธอเอาแต่เรียน คร่ำเคร่งกับการเป็นหมอ จนอายุยี่สิบแปดก็ยังไม่มีเวลาเงยหน้าขึ้นมามองผู้ชายคนไหน พอข้ามเวลามานี่เธอกลายเป็นมนุษย์ป้าในร่างเด็ก พอเห็นผู้ชายรูปงามก็อดชุ่มชื่นหัวใจไม่ได้ นั่งยิ้มโง่ๆ เวลาฟังเขาเรื่องเล่าประหลาดๆ ให้พวกเขาสบายใจก็สนุกไปอีกแบบ     แต่อย่างเดียวที่เธอไม่ทำคือการพูด และยังคงชอบนั่งคิด วางแผนการใช้ชีวิตให้ดี จนเผลอเหม่อลอยบ่อยๆ หลายครั้งที่เห็นกู่จางหย่งมองเธอด้วยแววตาเจ็บปวด ทำให้เธอสงสารเขายิ่งนัก อยากจะพูดบางอย่างออกไปเพื่อให้เขาสบายใจ แต่ก็กลัวว่าเขาจะรู้ว่าเธอไม่ใช้กู่เหมยฮวา บุตรีที่เขารักใคร่เอ็นดู เป็นเพียงคนที่ยืมศพคืนวิญญาณ จะทำให้เขาเสียใจมากกว่าเดิม คิดถึงตรงนี้ก็ห่อเหี่ยวใจ ยังคิดหาวิธีแก้ไม่ได้เสียที แต่ช่างเถอะ เธอต้องคิดหาวิธีได้แน่ จะไม่ยอมผิดต่อเจ้าของร่างด้วยการปล่อยให้บิดาของนางเป็นทุกข์นานๆ หรอก     "ฮวาเอ๋อ พี่ใหญ่กลับมาแล้ว"      กู่จางเหว่ยร้องเรียกเมื่อเห็นน้องสาวนั่งเหม่ออยู่ที่ศาลาเหมือนเช่นทุกวัน      "พี่ใหญ่ ท่านต้องบอกฮว่าเอ๋อว่า พวกเรากลับมาแล้วต่างหาก ท่านกลับมาคนเดียวเสียเมื่อไหร่" กู่หวังเหว่ยทักท้วง     "ใช่ จางเหว่ย เจ้าอย่าหวังได้หน้าจากฮวาเอ๋อเพียงคนเดียวเชียว" จ้าวหลี่จิ้นสมทบ      นอกจากทำให้เหมยกุ้ยฮวาหันมาสนใจแล้ว ยังทำให้เธอขำจนตัวงออีกด้วย เดิมทีกริยาโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้ดูมิงามไม่ใช่หรือ เหตุใดนานวันเข้า พวกเขาถึงได้ทำตัวเป็นเด็กราวกับอายุน้อยกว่าเธอเล่า      เหมยกุ้ยฮวาโบกมือเรียนให้ทั้งสามคนเข้ามาใกล้ ก่อนจะแบมือทั้งสองยื่นออกไปตรงหน้าพวกเขา ทั้งสามคนยิ้มอย่างเอ็นดู การทวงของตรงๆ เช่นนี้ทำได้ด้วยหรือ ขนมและของเล่นถูกทยอยวางลงบนมือเล็ก เหมยฮวาหยิบขึ้นมาดูคร่าวๆ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะเพื่อรอรับชิ้นต่อไป     จนชิ้นสุดท้ายที่จ้าวหลี่จิ้นเป็นคนวางลงบนมือเล็ก ขลุ่ยไม้ไผ่ที่ขนาดเล็กกว่าปกติ เลาหนึ่ง ตัวขลุ่ยแกะสลักลวดลายวิจิตรงดงามตรงปลายมีพู่สีแดงประดับไข่มุกเม็ดเล็กห้อยไว้ เหมยกุ้ยฮวาตาลุกวาว หันมองจ้าวหลี่จิ้นด้วยแววตาขอบคุณ     ดูเหมือนของขวัญของจ้าวหลี่จิ้นจะได้รับความสนใจจากฮวาเอ๋อมากที่สุด เขาไม่ลืมหันไปยิ้มกระหยิ่ม เย้ยหยันจางเหว่ยกับหวังเหว่ย อย่างผู้ชนะ ทำให้สองพี่น้องอดกลอกตาไม่ได้ เขารู้ว่าทำกริยาแบบนี้ไม่ได้ อย่างไรจ้าวหลี่จิ้นก็เป็นถึงองค์ชายใหญ่ แต่พอเห็นสายตาเย้ยหยันเมื่อครู่ก็อดไม่ได้จริงๆ เหตุใดองค์ชายใหญ่จึงต้องมาลงแข่งเอาใจน้องสาวของพวกเขาด้วยเล่า เบี้ยหวัดที่ได้รับจากบิดาจะพอซื้อของดีๆ มาเอาใจฮวาเอ๋อได้อย่างไร รู้ถึงเพียงนี้องค์ชายใหญ่ยังมีแก่ใจมาเยาะเขาสองคนพี่น้อง เกินไปแล้วจริงๆ     เหมยกุ้ยฮวา จับขลุ่ยหมุนไปมา น้ำหนักดีจริง เหมาะกับมือเล็กป้อมของนางพอดี นึกถึงเมื่อตอนที่เริ่มเรียนรู้เพิ่มเตรียมตัวข้ามเวลาใหม่ๆ ตอนนั้นเธออายุได้ราวเจ็ดปี ขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เธอหัด ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ผีผา และกู่เจิง จะว่าไปเธอก็ไม่ได้จับขลุ่ยนานแล้ว ลองหน่อยแล้วกัน     ริมฝีปากเล็กจรดลงบนผิวขลุย ขับท่วงทำนองเพลง เกาซันชิง พลันให้นึกถึงทิวทัศน์สวยงาม ธรรมชาติที่สดชื่น     เหมยกุ้ยฮวา ยืนผิวขลุ่ยด้วยท่วงท่าสบายๆ ผมคำขลับถูกมวยมุ่นขึ้นเป็นซาลาเปาสองข้าง ผูกทับเป็นโบด้วยผ้าชินเล็กสีแดงเข้ากันกับชุดฮั่นฝูสีแดงชายกระโปรงปักลายเหมยกุ้ยฮวา(ดอกกุหลาบ) ทับด้วยผ้าคาดอกสีขาวลายเดียวกัน ลมพัดโชยกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ชวนให้หลงใหล เสียงขลุ่ยกังวานใส ขับท่วงทำนองเพลงทำให้เคลิบเคลิ้ม สร้างความตื่นตะลึงให้กับคนในจวนแม่ทัพยิ่งนัก     จนกระทั่งเสียงผิวขลุ่ยสิ้นสุดลง เหมยกุ้ยฮวาจึงหันไปทางพี่ชายทั้งสามคน หวังจะได้รับคำชมหรือของรางวัล ถึงได้เห็นท่าทางประหลาดใจ ไม่สิ เรียกว่าตื่นตกใจจะเหมาะกว่า พลันนึกได้ก็อุทานขึ้นในใจ 'ซวยแล้ว ซวยอีกแล้ว!!!'
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD