แคว้นหมิง ขนานนามตามตระกูลผู้ก่อตั้ง วางตัวยาวเหนือสุดยันท้องทะเล มีรากฐานมั่นคงบนแผ่นดินมังกรยาวนานหลายร้อยปี นับเป็นแคว้นใหญ่ที่เรืองอำนาจร่ำรวยเงินทองและทรัพยากรมากล้นเสียจนมิมีสิ่งใดขาดแคลน เพราะความมั่งคั่งพวกเขาจึงใช้วิธีขยายอำนาจโดยการกลืนกินแคว้นเพื่อนบ้าน เหตุนี้แผ่นดินจึงคงอยู่ท่ามกลางศึกสงครามเสมอมา
ชายแดนสองแห่งทั้งทิศเหนือและตะวันตกคุกรุ่นไปด้วยไฟสงคราม แต่กลับกันแล้วทางทิศอื่นนั้นสงบสุขราวกับการรบรอบด้านมิเคยมีอยู่
ฉาเฟิง เป็นหนึ่งในเมืองที่ตั้งอยู่ทางชายแดนฝั่งตะวันตกของเมืองหลวง ที่นั่นเต็มไปด้วยทิวเขาสูงใหญ่สลับซับซ้อน สภาพภูมิอากาศเป็นเอกลักษณ์ แสงแดดน้อย เมฆหมอกมาก อากาศชื้นฝนตกทั่วบริเวณทำให้ใบชากลายเป็นสิ่งเดียวที่ชาวบ้านสามารถปลูกขายประทังชีวิต แม้นยามที่ต้นชาผลิใบจะงดงามเขียวขจีเพียงใดก็มิได้ทำให้สถานที่นี้ดูเป็นสรวงสวรรค์ขึ้นมา เพราะความงามทั้งมวลนั้นไม่สามารถเทียบได้กับความหรูหราอันรุ่งเรืองของเมืองหลวงหรือแหล่งค้าขายที่เนืองแน่นไปด้วยคหบดีมากมายที่แดนใต้
ชายแดนฝ่ายหนึ่งของฉาเฟิงเชื่อมต่อกับแคว้นเพื่อนบ้านผู้แสนอัตคัด พวกเขาหมายปองแผ่นดินที่เป็นดั่งขุมทรัพย์มานานหลายชั่วอายุคน หากได้แหล่งปลูกชาไปครองอาจช่วยให้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้บ้าง ซึ่งตรงกันข้ามกับฝ่ายแผ่นดินใหญ่ ราชสำนักแคว้นหมิงมีไร่ชาอีกล้นเหลือต่อให้เสียเมืองเล็กๆ ไปก็มิได้ทำให้พวกเขาสะเทือนส่วนใด เพียงแต่ที่มิยอมมอบให้เพราะมันคือเรื่องของศักดิ์ศรี ทัพแคว้นหมิงยิ่งใหญ่เกรียงไกรไม่เคยแพ้ผู้ใด หากมาพ่ายต่อพวกนอกคอกตามชายแดนชื่อเสียงที่สั่งสมมาคงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการปะทะกันอย่างยืดเยื้อมานานทำให้ความสงบสุขไม่เคยมาถึง ดังนั้นไม่ว่าฮ่องเต้จะส่งใครมาดูแลเมืองฉาเฟิง เชื่อได้เลยว่าทรงเกลียดชังเขาผู้นั้นมากเป็นล้นพ้น
ฮ่องเต้ในรัชสมัยนี้ทรงมีองค์หญิงและองค์ชายจำนวนไม่น้อยแต่ที่รอดชีวิตมาได้กลับมีเพียงหยิบมือเท่านั้น อย่างไรก็ตามเก้าอี้ตำแหน่งไท่จื่อยังคงว่างเปล่า
หลายปีก่อนองค์ชายใหญ่ของพระสนมกุ้ยเฟย นามว่า เทียนหยู ดำรงตำแหน่งไท่จื่อมาตั้งแต่ทรงพระชันษาได้ 15 ปี ทว่าพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ในไม่กี่ราตรีหลังจากมีราชโองการแต่งตั้ง สร้างความโศกเศร้าแสนสาหัสให้แก่ฮ่องเต้และพระสนม
ยิ่งเป็นเป้าสายตาก็ยิ่งดึงดูดอันตรายให้เข้าหา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ไท่จื่อเทียนหยู หลายคนต่างเพ่งเล็งไปยังตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายที่จะได้ประโยชน์จากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ หนึ่งในนั้นก็มิพ้นฮองเฮาและพระสนมเหอซูเฟยที่มีพระราชโอรสวัยไล่เลี่ยกัน อย่างไรก็ตามทุกวันนี้เรื่องราวก็ยังเป็นปมปริศนาและไม่สามารถลากคนผิดมาลงโทษได้
แม้ไร้ตำแหน่งผู้สืบราชสมบัติแต่กระนั้นฮ่องเต้ก็ทรงพระราชทานตำแหน่งอ๋องให้องค์ชายทั้งสามพระองค์
ตำแหน่งชินอ๋องเป็นขององค์ชายรองซึ่งเป็นพระโอรสที่เกิดจากฮองเฮาแซ่จีจากตระกูลเสนาบดีที่จงรักภักดีกับราชวงศ์มาช้านาน ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างสนิทสนมกันมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ทำให้เป็นทั้งคู่คิดและคนรัก
ตำแหน่งจวิ้นอ๋องเป็นขององค์ชายสามที่เกิดกับพระสนมแซ่ตู้ ไม้ป่าที่บานท่ามกลางวังหลวงแม้งดงามก็ไม่รู้ว่าจะร่วงโรยเมื่อใด นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ฮ่องเต้ทรงรับเข้ามาเป็นสนมด้วยพระองค์เอง ได้รับความเมตตาจากพระองค์ไม่น้อยเช่นกันเนื่องจากให้กำเนิดผู้สืบบัลลังก์คนแรกของแคว้นแม้สุดท้ายจะเกิดเรื่องน่าเศร้ากับไท่จื่อก็ตาม
ส่วนรุ่ยอ๋องเป็นขององค์ชายสี่ที่เกิดกับพระสนมสกุลเหอนาม ไห่เทา องค์ชายท่านนี้ดูจะเป็นลูกชังของฝ่าบาท ด้วยขึ้นมามีอำนาจได้เพราะผลงานหาใช่ความเมตตา
ความดีความชอบที่เขาได้มันมาคือการพิชิตดินแดนศัตรูจนราบคาบ ความโหดร้ายของเขามิอาจเรียกขานได้เต็มปากว่าวีรบุรุษ… แผ่นดินผืนนั้นที่รุ่ยอ๋องตีแตกมีสภาพไม่ต่างกับนรก เปลวไฟและเสียงกรีดร้องยามที่ทั้งเมืองมลายสิ้นน่าพรั่นพรึงจนทัพแคว้นหมิงอันเกรียงไกรก็อดเวทนาไม่ได้ การรบครั้งนั้นเกิดขึ้นช่วงที่องค์ชายหนุ่มมีวัยเพียง 15 ชันษาเท่านั้น
นอกจากพระราชทานตำแหน่งอ๋องให้องค์ชายไห่เทาแล้วยังทรงมอบวังนอกเมืองและหน้าที่ใหม่ในการพิทักษ์ชายแดนให้อีก มิรู้ว่าสิ่งเหล่านี้คือรางวัลหรือการลงโทษกันแน่เพราะมันเหมือนกับเป็นการไล่ลูกในไส้ออกไปให้พ้นสายตา
สามปีหลังจากที่รุ่ยอ๋องได้เสด็จออกไปประจำการตามรับสั่งยังเมืองฉาเฟิง ราชโองการสมรสพระราชทานก็ถูกส่งถึงจวนสกุลอี้ทำให้ตระกูลแม่ทัพจำต้องส่งบุตรีเพียงคนเดียวไปแต่งงานอย่างเลี่ยงไม่ได้
จวนแม่ทัพอี้
หน้าจวนยามนี้มีรถม้าห้าคันจอดเรียงเป็นแถวพร้อมทั้งองครักษ์โอบล้อมอารักขารอบด้าน ทั้งหมดถูกส่งมาเพื่อคุ้มครองบุตรีแม่ทัพตลอดการเดินทางไปถึงฉาเฟิง
สกุลอี้สืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่มานานหลายชั่วอายุคน ความภักดีต่อราชบัลลังก์มากล้นถึงขั้นหากเอ่ยปากบอกว่าตระกูลอี้เป็นที่สองก็คงไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวว่าตนเป็นที่หนึ่ง เขาไม่เคยเข้าข้างการเมืองขั้วใดวางตนเป็นกลางดั่งหินผาที่ไม่ว่าพายุฝนหรือหิมะหนาวเหน็บจะโหมเข้าใส่ก็ไม่หวั่นและนั่นอาจเป็นเหตุผลที่บุตรีเพียงคนเดียวของตระกูลถูกส่งไปเป็นบ่วงรัดตัวรุ่ยอ๋องมิให้คิดทรยศ
แม่ทัพอี้ ฮูหยินและบุตรสาวยืนมองหน้ากันด้วยความอาลัย แม้องครักษ์จะแจ้งว่าเกินกำหนดออกเดินทางแล้วแต่ก็มีเพียงความเฉยชาจากแม่ทัพอี้เท่านั้นที่ตอบกลับมา เช่นนั้นใครเล่าจะกล้าทักท้วงอีก
ว่าที่พระชายารุ่ยอ๋องเป็นเพียงหญิงสาววัย 17 หนาว งดงามพริ้มพรายราวตุ๊กตามีชีวิตนามว่า อี้เหม่ยหลิง ผู้คนไม่ค่อยเห็นหน้านางเท่าใดด้วยโฉมสะคราญมักเก็บตัวไม่สุงสิงกับเหล่าบุตรสาวขุนนางเช่นบ้านอื่น
“ไม่เอาบ่าวรับใช้กับทหารจากบ้านเราไปจะดีหรือ” หญิงวัยกลางคนถามบุตรสาว บ้านตระกูลอี้ไม่ได้มีบ่าวรับใช้ส่วนตัวให้เจ้านายมาตั้งแต่ต้นเพราะคนในจวนส่วนใหญ่เป็นทหารและลูกศิษย์ที่กำลังฝึกปรือฝีมือ เวลานี้เหม่ยหลิงไตร่ตรองแล้วว่าให้พวกเขาอยู่ที่นี่จะมีประโยชน์มากกว่า
“ลูกรับมือได้เจ้าค่ะท่านแม่ อย่าห่วงเลย”
“แม่มอบสิ่งนี้ให้เจ้าไว้” มารดาส่งกระบี่พกสีเงินให้บุตรสาวก่อนอีกฝ่ายจะถูกส่งตัวไปแต่งงานยังที่ห่างไกล หากผู้ใดเห็นเข้าคงคิดว่าการที่มารดามอบของอัปมงคลเช่นนี้แก่บุตรียามแต่งงาน ก็เพราะว่าที่พระสวามีคงชั่วช้าเกินจะกล่าว มิสู้ปาดคอตายไปเสียอาจมีความสุขยิ่งกว่าตบแต่งกับบุรุษเช่นนั้น
“ท่านแม่” อี้เหม่ยหลิงรับมันไว้
“เจ้ารู้ว่าต้องใช้มันยังไง ลูกรัก” อี้ฮูหยินยิ้มให้ทั้งน้ำตาก่อนก้มลงกระซิบข้างหูบุตรสาวที่รักปานดวงใจ
“ถ้าเขาเป็นคนไม่ดีจงอย่าเก็บไว้ จัดการตามสมควรได้เลย…” อี้เหม่ยหลิงที่เศร้าๆ อยู่ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มออก มารดาของนางไม่ได้มอบกระบี่เล่มนี้ให้แทงตัวตายแต่ให้ใช้ปลิดชีพรุ่ยอ๋องว่าที่พระสวามีนั่นเอง
“เราจะไม่โดนโทษประหารจนสิ้นตระกูลหรือเจ้าคะ ท่านแม่” คนงามลูบแผ่นหลังของมารดาที่กำลังสั่นเทาเบาๆ ให้นางคลายกังวล