ตอนที่ 3 สัมภาษณ์งาน

2781 Words
“สวัสดีค่ะ” ฉันเข้ามาในห้องที่ทางบริษัทจัดเอาไว้ให้สำหรับสัมภาษณ์งาน เพราะมัวแต่ก้มดูเอกสารในมือเลยไม่ทันมองว่ามีใครอยู่ในห้องบ้างกระทั่งฉันเงยหน้าขึ้น “!!!” นะ นี่มันผู้ชายคนนั้นนี่ คนที่เจอเมื่อวาน “ออกไปก่อน” เข้าไล่พี่ผู้ชายคนที่ไปเรียกฉันเข้ามาออกไป น่าจะเป็นเลขาของเขาแหละมั้ง “....” เราสองคนสบตากันนิ่งเมื่ออยู่กันสองต่อสอง อย่าบอกนะว่าเขาคือประธานบริษัทที่คนเขาพูดถึง เคยได้ยินคนพูดว่าประธานบริษัทแห่งนี้ค่อนข้างเนี้ยบและเขี้ยวมาก ทำงานต้องเป๊ะต้องตรงต่อเวลาเท่านั้น หลายคนที่ต้องออกเพราะทนทำงานต่อไม่ไหว แต่ก็ยังมีคนที่ทำได้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนกลับอยากเข้ามาทำงานบริษัทนี้กัน เพราะระบบงานค่อนข้างดี ไหนจะสวัสดิการพนักงานอีก แม้ประธานจะเขี้ยวแต่สำหรับฉันระบบงานค่อนข้างดีเลยแหละ อยากบอกว่าฉันคาดหวังที่จะได้ทำที่นี่มาก ฉันยื่นสมัครไปแล้วไม่ผ่านทว่ากลับถูกเรียกตัวให้เข้ามาสัมภาษณ์งาน ฉันจึงรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมาก ฉะนั้นฉันจะตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุด ทำให้เขารู้ว่าฉันมีดีอยู่ในตัว “สะ สวัสดีอีกครั้งค่ะ” แล้วทำไมฉันต้องเสียงสั่นด้วยล่ะแค่สบตากับเขาเอง “แนะนำตัวเลย” เขาดูนิ่งมากเลย เหมือนไม่ตกใจที่เจอฉัน ทั้งที่ฉันแทบช็อคตอนเงยหน้ามาสบตากับเขา “ดิฉัน..” การสัมภาษณ์งานในครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี แต่ไม่รู้ว่าจะผ่านหรือไม่ เพราะเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรกลับมานอกจากถามคำถามที่สงสัยในตัวฉันเท่านั้น แต่ฉันมั่นใจว่าตัวเองทำดีที่สุด เอาเป็นว่าจะผ่านไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร ถือว่าฉันทำดีที่สุดแล้ว ฉันพาตัวเองออกมาหาอะไรกินหลังจากที่จบการสัมภาษณ์ ก็ต้องรอลุ้นว่าเขาจะติดต่อกลับไปหรือเปล่า ระหว่างที่ฉันกำลังเดินออกจากบริษัท สายตาก็ไปสะดุดยังผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมองมาที่ฉันพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย ทำไมผู้หญิงคนนี้สวยจังเลยอ่ะ ยิ่งตอนที่เธอยิ้มเหมือนกับนางฟ้าเลย ฉันส่งยิ้มตอบกลับไปแล้วไม่ได้อะไรต่อ ก่อนที่มือถือฉันจะมีสายเรียกเข้าพอดี “ค่ะแม่” “....” ร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งอยู่บนชั้นสาม มองหญิงสาวที่ตนเพิ่งสัมภาษณ์งานไปผ่านกระจกใส ไม่คิดว่าคนที่ตนต้องสัมภาษณ์งานวันนี้จะเป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่เขาเจอเมื่อวาน เหมือนพรหมลิขิตยังไงไม่รู้ ในขณะที่เขากำลังทอดสายตามองหญิงสาวอยู่นั่น จู่ ๆ ประตูห้องทำงานก็ถูกผลักเข้ามาด้วยฝีมือใครบางคน ก่อนที่ใบหน้าเรียบนิ่งจะหันไปมองยังด้านหลังตัวเองพร้อมกับเอ่ย “แก่จะตายแต่ยังไร้มารยาทเหมือนเดิม” “เออ ๆ ขอโทษ” ไมเนอร์เอ่ยขอโทษพร้อมกับเลี่ยงไปนั่งโซฟา “สวัสดีค่ะเฮียมาร์” มาร์คิสพยักหน้าเล็กน้อย ก็รู้แหละว่ามันติดเมีย แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นเอาเมียมาทำงานด้วย หวังว่าพวกที่เหลือคงไม่เอามาด้วยเช่นกันนะ “หวัดดีเว้ย” เพิ่งจะพูดกับตัวเองไป ประตูห้องทำงานก็ถูกผลักเข้ามาอีกครั้งด้วยฝีมือของครูซ ที่มาพร้อมกับคนรักของเขา ถัดไปด้านหลังก็เป็นไซลอนและโนร่า และในเวลาถัดมาก็เป็นวาฟิกซ์และเดวาที่เดินควงแขนกันเข้ามา ทำเอามาร์คิสถึงกับออกตามองบนทันที “-_-” สีหน้าเอือมระอา “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าดีใจใช่ไหมที่เจอพวกกู” ความจริงพวกเขาทุกคนจะขึ้นไปชั้นทำงานของมาร์คิส ทว่าเลขาเข้ามาบอกก่อนว่าอีกคนอยู่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนมาห้องนี้แทน ตอนแรกก็กะว่าจะมาคนเดียวนั่นแหละ แต่เห็นเมียว่างพอดีก็เลยเอามานั่งเฝ้าด้วย แค่มีเมียอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาก็มีกำลังใจในการทำงานแล้ว ส่วนลูกก็ปล่อยหน้าที่ให้เป็นของครูสอนพิเศษไป “พวกเธอว่างเหรอ” มาร์คิสถามเมียเพื่อนเสียงเนือย ไม่คิดจะอยู่เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้ากันเลยหรือไง ห่างผัวไม่ได้กันเลยใช่ไหม ต้องออกงานคู่กันตลอดเลย “ไม่ว่างค่ะ” เป็นฝันดีที่ตอบ ความจริงพวกเธอไม่ได้ว่างอะไรหรอก แต่ถูกพวกสามีนี่แหละลากมาด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะให้มาด้วยทำไม “แล้วมาทำไม” “ผัวพามา” “อืม” มาร์คิสเลิกถามทันทีเมื่อเจอคำตอบน่าหมั่นไส้ของเมียเพื่อน ก็ขอให้พวกมันรักกันจนตายก็แล้วกัน เดี๋ยวเขาจะเป็นฝ่ายแก่ตายเอง “ที่รักไปพูดกับเพื่อนผัวแบบนั้นได้ยังไง เดี๋ยวมันก็กัดลิ้นตัวเองตายหรอก” ไมเนอร์พูดกับคนรักเสียงเล็กเสียงน้อย พลางปรายตามองเพื่อนแล้วหัวเราะเยาะอยู่ในใจ สมแล้วที่ได้ฝันดีเป็นเมีย เมื่อก่อนเขาเถียงมาร์คิสไม่เคยชนะ พอมีเมีย กลายเป็นเมียเขาที่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนตัวเองจนมันยอมแพ้ไปในหลายครั้ง สมน้ำหน้ามัน ทำบาปกับเขาไว้เยอะไงเลยโดนเอาคืน “กูหรือมึง” มาร์คิสเลิกคิ้วถามไมเนอร์ เขาหรือมันกันแน่ที่จะได้กัดลิ้นตายก่อน “มึงสิครับไอ้แก่” “ได้ข่าวว่าเอาเมียไม่ได้แล้วนี่” ขวับ! “ที่รัก!” “อะ อะไรเล่า” ฝันดีรีบเบือนหน้าไปมองทางอื่นอย่างไว ก็มันคือเรื่องจริงนี่นา วันก่อนไมเนอร์พยายามบังคับที่จะมีอะไรกับเธอ แต่ในขณะที่ทำได้ยังไม่ถึงห้านาที จู่ ๆ สามีเธอก็ร้องขึ้นเสียงดังราวกับว่าใครทำอะไรให้เจ็บปวด พอรู้ถึงสาเหตุเท่านั้นแหละ เธอถึงกับหงุดหงิดแล้วไล่ สามีออกจากห้องไปทันที มาเล้าโลมให้เธอมีอารมณ์แล้วพอถึงเวลากลับบอกว่าเจ็บเอวทำต่อไม่ไหวขอพักก่อน เป็นใครบ้างจะไม่หงุดหงิด อารมณ์ตอนนั้นกำลังค้างอยู่เลย แล้วเรื่องนี้เธอก็พูดแค่กับเพื่อน ๆ เท่านั้น ก็คือบรรดาเมียของแต่ละคนนั่นแหละ แต่ใครจะคิดว่ามาร์คิสจะรู้เรื่องนี้กับเขาด้วยทั้งที่ยังไม่มีเมีย แล้วมีอีกเรื่องที่เพื่อนเขาควรระวังให้มากที่สุด มาร์คิสเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มไลน์บรรดาเมียของเพื่อนทุกคน แล้วเขาคือคนที่กุมความลับของเพื่อนแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของไมเนอร์ “รีบคุยงานเถอะ” ไซลอนที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น เขาต้องกลับไปรับลูกสาวคนสวยก่อนหมดเวลา วันนี้ซาเนียร์ไปเรียนพิเศษ โรงเรียนที่ลูกเข้าเรียนก็อยู่ติดกับบริษัทนี่แหละ แต่เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงต้องไปรับลูกแล้ว ถ้ายังมัวแต่พูดเล่นกันอยู่ก็คงไม่ได้คุยงานสักที หากพวกมันยังอยากเล่นกันต่อเขาก็จะออกไป “เกาะที่พวกมึงอยากได้กูจัดการให้แล้ว” มาร์คิสเข้าประเด็นทันที “จริงจังไหม” วาฟิกซ์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง พวกเขาพยายามกันตั้งหลายครั้งยังไม่มีใครสามารถทำได้ แต่มันไปแค่ครั้งเดียวได้เลย “เอกสาร” เอกสารสี่ฉบับถูกวางลงตรงหน้าเพื่อนทั้งสี่คน ระหว่างที่หนุ่ม ๆ กำลังคุยกันอยู่นั้น ด้านสาว ๆ ก็แยกตัวออกไปนั่งรอกันข้างนอก โชคดีตรงที่บริษัทมาร์คิสมีร้านอาหารกับคาเฟ่เยอะ เลยมีที่ให้นั่งรอ “ได้ข่าวว่ามึงจะซื้อที่ตรงกลางเมือง?” >ครูซ “ไหนบอกว่าพวกไอ้ภาทินก็จะเอา” >วาฟิกซ์ “อืม” ภาทินที่เอ่ยมาคือนักการเมืองรุ่นใหญ่ที่เพิ่งเกษียณไปได้ไม่นาน ที่ดินตรงนั้นเป็นทำเลทองอยู่ใจกลางเมือง ใครก็อยากได้ไปครอบครอง มาร์คิสเองก็เช่นกัน แต่เหมือนว่าเจ้าของที่จะเป็นนายตำรวจใหญ่ที่ค่อนข้างเข้าถึงตัวยาก ตัวเขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นใครเพราะเพิ่งจะมาสนใจที่ดินตรงนั้น และก็อยากได้มันมาครองมาก ตอนนี้เขากำลังให้คนไปสืบมาว่าใครคือเจ้าของ ยังไงเขาก็ต้องได้มันมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม “ถ้าอยากให้ช่วยก็บอก เดี๋ยวกูบขอให้พ่อตาช่วย” ครูซพอจะรู้จักเส้นสายอยู่บ้าง ถ้ามันไม่ไหวก็บอกมาเดี๋ยวเขาขอให้พ่อตาช่วยเอง “พ่อตามึงก็พ่อกู” >วาฟิกซ์ “ใครถาม” >ครูซ “กูเบื่อมึงสองตัวมากเลย” >ไมเนอร์ “มันไม่เคารพกู” >วาฟิกซ์ “แล้วทำไมกูต้องเคารพ” >ครูซ “กูเป็นพี่เมียมึงนะไอ้ครูซ” “ไม่ใช่พ่อกูสักหน่อย” “-_-” มาร์คิสและไซลอน “ต่อยกันเลย” ไมเนอร์เชียร์ให้วาฟิกซ์และครูซต่อยกัน เขาอยากเห็นมันสองตัวต่อยกันสักครั้ง ดูสิว่าใครจะแข่งแกร่งกว่ากัน ด่ากันเป็นเด็กอยู่ได้ ไม่เบื่อกันบ้างหรือไงพวกเวร ทะเลาะกันแต่เรื่องพี่เมียน้องเขย สุดท้ายแม่งก็เพื่อนกัน อยู่ปกติเหมือนเขาไม่ได้กันเลยใช่ไหม เวลาต่อมา ทั้งสี่พาแยกกันไปขึ้นรถตัวเอง ซึ่งเมียของแต่ละคนรออยู่บนรถแล้ว วาฟิกซ์จองร้านอาหารภัตตาคารเอาไว้ นาน ๆ ได้ออกมาเจอกันสักทีก็เลยถือโอกาสนี้ทานมื้อเที่ยงด้วยกันไปเลย ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านตัวเองไป “เย็นนี้นายจะให้คนเตรียมมื้อเย็นไว้รอไหมครับ” “อืม” “รับเป็นอะไรดีครับ” “อาหารไทย” “รับทราบครับ” “แล้วไอ้มาร์โคมันเป็นยังไงบ้าง” “คุณมาร์โคตั้งใจทำงานกว่าที่คิดอีกครับ วันนี้ทั้งวันแทบไม่แตะมือถือเลย” “ดูมันต่อไป” เป็นแบบนั้นก็ดี เขาจะได้ไม่ต้องห่วงมันมาก “ครับ” “ส่วนเรื่องเงินเดือนจัดการโอนให้มันเหมือนเดิม” มันคือค่าแรงที่น้องเขาควรได้ เงินที่ให้ไปคืนนั้นไว้มันมีค่อยมาคืน อีกอย่างเขาเองก็ไม่คิดจะเอาอยู่แล้ว แต่จะไม่เอ่ยปากบอก ให้มันลองจัดการชีวิตตัวเองดู หากเขาไม่ช่วยแล้วมันจะเอาตัวรอดได้ไหม ไม่นานมาร์คิสก็มาถึงร้านอาหารที่จองไว้ ทุกคนทยอยมาถึงกันจนหมด จากนั้นก็พากันเข้าไปในร้าน ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นการทานมื้อเที่ยงปกติ มีถามสารทุกข์สุกดิบแล้วก็พูดเรื่องเด็ก ๆ เสียส่วนใหญ่ ลืมบอกว่าหนูซเนียร์ก็มาด้วย ก่อนมาไซลอนได้ไปรับลูกสาวก่อน เพราะถ้าวนรถไปมามันจะเสียเวลา จึงตัดสินใจรับลูกมาด้วย ทานเสร็จก็กลับเลย “เป็นไงบ้างลูกสาวพ่อ” “รอเขาส่งเมลมาแจ้งค่ะ” “ยังไงก็ได้เชื่อพ่อสิ” “ฟิลจะสู้ค่ะ ฮึบ!” “มันต้องแบบนี้สิ ให้สมกับที่เป็นลูกสาวตำรวจหน่อย” “เพราะเป็นลูกสาวตำรวจนี่ไงถึงไม่มีแฟนสักที” จะบอกว่าพ่อกับแม่ห้ามก็ไม่ถึงขั้นห้ามหรอก เธอเข้าใจในความห่วงของพ่อกับแม่ที่มีต่อตัวเธอ ท่านคงอยากให้เจอผู้ชายที่พร้อมดูแลเรา และดีกับเรามาก ๆ ไม่ว่าเธอจะคบหรือคุยกับใครก็ตามต้องพามาแนะนำให้รู้จัก และต้องอยู่ในสายตาของพวกท่านเท่านั้น ถึงอย่างนั้นพวกท่านเองก็เข้าใจในความรักของหนุ่มสาว ไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวจนมากเกินไป ก็มีเว้นระยะห่างให้บ้าง “แล้วคนที่คุยอยู่นี่ล่ะ” ได้ข่าวว่าลูกสาวตนมีคนคุยอยู่ไม่ใช่หรือไง อย่าบอกนะว่าเลิกคุยกันอีกแล้ว “ก็ยังคุยกันอยู่ค่ะ” เรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ พร้อมเมื่อไหร่เธอจะเดินเข้ามาบอกพวกท่านเอง แต่ตอนนี้มันยังไม่พร้อมไง เธอรู้สึกว่าเราทั้งคู่ยังมีหลายอย่างที่ต้องปรับกัน หากเรารีบร้อนมากเกินไปกลัวว่ามันจะเสียใจทีหลังได้ ดังนั้นควรปล่อยไปตามเวลาของมันดีกว่า “ลูกสาวพ่อจะคบใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่พวกหัวนักเลงหรือมาเฟีย” จริงอยู่ที่ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูก อย่าลืมว่าเขามีลูกสาาวเพียงคนเดียว หากจะมีรักทั้งที่ก็ขอเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานสีเทาก็พอ เพราะเส้นทางพวกนั้นมันเต็มไปด้วยความอันตราย นั่นจึงทำให้นัธทวัฒน์เคร่งเรื่องแฟนของลูกยังไงล่ะ เขาที่เป็นตำรวจ ปราบปรามคนพวกนั้นมานับไม่ถ้วน จึงไม่อยากให้ลูกต้องไปพัวพัน “มาเฟียที่ไฟนจะมาจีบฟิลล่ะพ่อ ถ้ามีก็ดีสิ^^” ฟิลลิเป็นคนชอบแกล้งพ่อตัวเอง เวลาที่ท่านบ่นหรือว่าให้มันน่ารักดี “เดี๋ยวเถอะเจ้าคนนี้” “ว่าแต่วันนี้แม่ทำอะไรกิน” สองพ่อลูกเดินกอดกันเข้าไปในบ้าน เพราะมีลูกสาวคนเดียวจึงอยากหาแต่สิ่งดี ๆ มาให้ลูก ไม่ว่าจะเป็นความรักหรืออนาคต นัธทวัฒน์เลี้ยงลูกแบบไม่ตามใจและไม่กดดัน ปล่อยให้เขาได้พบเจอด้วยตัวเอง รู้จักวิธีเอาตัวรอดในสังคมความเป็นจริง เรื่องงานก็เหมือนกัน ถึงตนจะมีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีบริษัทส่งออกผักผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในไทย เป็นธุรกิจของครอบครัวภรรยา เขาซึ่งเป็นคนรับช่วงดูแลต่อให้ ทว่าลูกสาวคนสวยนั้นเลือกอยากจะไปเรียนรู้ประสบการณ์ข้างนอก เอาความรู้ที่ได้มาต่อยอดธุรกิจของครอบครัวตัวเอง ตัวเขาและภรรยาก็ไม่คิดห้ามอยู่แล้ว กลับรู้สึกดีใจที่มีลูกสาวเป็นคนเก่งและมุ่งมั่นกับหน้าที่การงาน ขอแค่ลูกเป็นคนดีแค่นี้พ่อแม่ก็ภูมิใจแล้ว พลอยชนกมีน้องสาวหนึ่งคน ซึน้สาวของเธอย้ายไปอยู่กับสามีที่ปักกิ่งได้หลายปีแล้ว น้องเขยของเธอเป็นนักธุรกิจซึ่งอาจไม่ได้ใหญ่โตมากแต่ก็พอเลี้ยงดูน้องสาวเธอได้จนแก่เฒ่าเลยล่ะ “กลับมากันแล้วเหรอ” “ใช่ค่ะ” “คิดถึงที่รักที่สุด” “ช่วยไปหวานไกล ๆ ลูกหน่อย-_-” “อิจฉาหรือไง” “ไม่เห็นน่าอิจฉาเลยสักนิด” “เป็นยังไงบ้างลูกเรื่องงาน” “รอเขาส่งเมลมาบอกค่ะ” “ยังไงก็ผ่านเชื่อแม่สิ” “สาธุเลยค่ะ^^” “มาทานข้าวกันดีกว่า” “ทำเยอะจังวันนี้” “ก็ทำให้คุณกับลูกไง” “หึหึ ขอบคุณครับที่รัก” “เอาอีกละ-_-” “ยัยเด็กนี่” “จริงสิ วันนี้มีคนมาติดต่อขอซื้อที่อีกแล้วนะคุณ” “กี่เจ้าล่ะวันนี้” “เจ้าเดียวค่ะ” “ทำไมพ่อไม่ขายไปเลย” “ไม่ พ่อจะเก็บไว้ให้ลูก” ที่ตรงนั้นมันคือทำเลทอง เขาและคนรักตั้งใจเก็บไว้ให้ลูกสาวเป็นมรดก เมื่อถึงวันที่ตนกับคนรักจากไป อย่างน้อยลูกก็ไม่ต้องมาลำบากเหมือนสมัยที่พวกเขายังเป็นวัยรุ่น เพราะรู้ว่าความลำบากมันน่ากลัวมากแค่ไหน ฉะนั้นลูกสาวควรสบายในยามที่พวกเขาจากไป “เอาเงินมาให้หนูก็ได้” “เอ๊ะไอ้ลูกคนนี้นี่” แล้วเสียงหัวเราะก็เกิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งไม่หยุดหย่อน ฟิลลิเปรียบเสมือนแรงพลังที่มีให้พ่อกับแม่ ไม่ว่าจะเหนื่อยสักแค่ไหนแค่ได้เห็นรอยยิ้มของลูกเมียความเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวันก็หายเป็นปลิดทิ้ง นัธทวัฒน์เป็นผู้ชายต้นแบบของใครหลาย ๆ คนในเรื่องรักครอบครัว ฉะนั้นคนที่จะมาเป็นลูกเขยต้องมีนิสัยเหมือนกับตัวเอง นั่นคือต้องรักครอบครัวและซื่อสัตย์ต่อคนรัก ขอแค่เท่านี้ อย่าทำให้ลูกสาวของเขาต้องเสียใจ เขาเลี้ยงมากับมือไม่เคยตบตีลูกตัวเอง ไม่เคยทำให้ต้องเสียน้ำตา ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาทำลูกเขาทั้งนั้น อย่าแม้แต่ขึ้นเสียง ถ้ารู้เมื่อไหร่มันไม่ได้ตายดีแน่นอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD