Rose 9
กระทั่งเขาพาฉันมาถึงห้างสรรพสินค้า ฉันรีบกระชับกระเป๋าของตัวเองไว้แน่น เมื่อรถจอดนิ่งก็ก้าวลงจากรถโดยไม่ลืมเอ่ยขอบคุณคนที่พามาส่งที่นี่
“ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” เอ่ยจบก็ปิดประตูเดินหนีเข้าห้างฯ ไปทันที
เมื่อเป็นอิสระ ฉันก็เลิกเดินจ้ำอ้าวเหมือนหนีใครมา พลางก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายเพื่อนสนิท ระหว่างนั้นก็เอื้อมไปคว้ารถเข็นมาด้วยมือข้างเดียว จุดแรกที่จะไปคือโซนของใช้ในบ้าน
“ว่าไงพิมพ์” เอ่ยทักปลายสายแม้กำลังยุ่งกับการเข็นรถด้วยมือเดียว
(เขามารับเหรอ เห็นรถน่ะ)
“อื้อ แต่ไม่มีอะไร”
(ร้องไห้แง ๆ ปะเนี่ย?) พิมพ์ใจถาม แม้ประโยคนั้นจะคล้ายกับแซวแต่ฉันรู้ว่าเพื่อนกำลังเป็นห่วง ก็แน่ละพอเป็นเรื่องของอาทิตย์ฉันก็ชอบทำตัวเหมือนผู้หญิงไร้สมอง ทั้งยังชอบทำอะไรงี่เง่าอยู่ตลอดเวลา
“ไม่เถอะ จะแข็งแกร่งแล้ว” บอกเพื่อนอย่างที่คอยย้ำเตือนตัวเองมาโดยตลอด
(ให้จริง แล้วเรื่องเลี้ยงส่งน้องเหมยเหมยอะ ให้ขวัญจองร้านเลยไหม?) เฮ้อ ได้ยินประโยคนี้แล้วก็ใจหาย เพราะน้องเหมยเหมยยื่นใบลาออกแล้วน่ะสิ เด็กเล็กจะกลับไปฝึกงานก่อนเรียนจบน่ะ เป็นแบบนี้คนตัวเล็กน่ารักในร้านก็จะหายไปตั้งหนึ่งคนแน่ะ
“จองเลย ๆ ดีเหมือนกัน เดี๋ยวหาซื้อชุดไปไว้ใส่เที่ยวด้วย” ตอบกลับปลายสาย ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายแซวกลับมา
(เอาเซ็กซี่ ๆ ให้ได้ผู้กลับบ้านเลย เอาให้นายคนนั้นหึงจนหน้ามืดตามัวกันไปข้าง!) พิมพ์ใจเองก็หัวเราะยามได้เอ่ยแซวฉันแบบนี้
“เนอะ ให้ได้ผู้กลับมาหน่อย อยากมีแฟนละ อ๊ะ” แต่จังหวะที่กำลังคุยเล่นอยู่ ก็มีเหตุให้ต้องร้องตกใจ เมื่อมีคนเดินมาชนไหล่ฉันเบา ๆ ทั้งยังแย่งรถเข็นไปเข็นอีก และคนที่กระทำการอุกอาจแบบนี้ได้จะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่อาทิตย์ที่เดินตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วทำไมต้องมาเดินชนฉันด้วยเนี่ย!?
(มายด์! เป็นอะไรมายด์) ได้ยินปลายสายร้องเรียกถึงได้สติตอบกลับไป
“ไม่...ไม่มีอะไร แค่นี้ก่อนนะพิมพ์ ฉันรีบซื้อรีบกลับห้องดีกว่า”
(โอเค ๆ เจอกันพรุ่งนี้)
“อื้อ เจอกัน” รีบกดวางสายจากเพื่อน แล้วหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยังมองมาทางฉันอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร พอถูกฉันมองนิ่ง ๆ ก็ยักคิ้วกวน ๆ ส่งมาให้แทนเสียอย่างนั้น
“เลือกของต่อสิ” เขาบอกนิ่ง ๆ แล้วเข็นรถตามมา
“เราอยากเข็นเองและเลือกเอง” ฉันบอกคนตรงหน้าที่ยังมองอย่างกวนประสาท
“อาทิตย์”
“ครับ” ขานรับแต่ปากทั้งยังอมยิ้มเหมือนแกล้งกัน แต่เขาจะรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันหงุดหงิดเขามากแค่ไหนน่ะ
“น่าหงุดหงิด” ฉันออกแรงแย่งรถเข็นมาจากเขา แล้วเดินเลี่ยงไปยังโซนของใช้ในบ้าน หยิบเลือกของไปพลาง ๆ พยายามไม่สนใจคนที่ทำมาเนียนเดินข้างกัน
“จะช่วย”
“ไม่เป็นไร” ฉันบอกปฏิเสธรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่ออีกฝ่ายพยายามจะยื่นมือมาเข็นรถให้ฉัน
“มายด์ครับ...” เขาเรียกฉันเสียงแผ่วอีกครั้ง ทั้งยังมองด้วยแววตาออดอ้อน เนี่ยแล้วฉันก็แพ้ทางเขาแบบนี้อยู่เรื่อยไป จนบางทีก็หงุดหงิดตัวเองที่ยอมใจอ่อนให้เขาอยู่ตลอด
“อยากช่วย”
“...โอเค ยอมแพ้” สุดท้ายก็ยอมให้เขาช่วยจนได้
ใช้เวลาเลือกซื้อของใช้จนครบ ก็เดินไปยังโซนของสดที่ตั้งใจจะซื้อเก็บไปไว้ที่ห้องเผื่อทำอาหารเย็น ส่วนมากฉันจะซื้อกุ้งขาวที่แกะเปลือกแล้ว ไม่ก็กุ้งขาวที่ขายเป็นแพ็ก ส่วนหมูก็จะซื้อหมูสไลด์ แต่ชอบซื้อสาหร่ายวากาเมะไปติดห้องไว้ตลอด เมื่อมั่นใจว่าซื้อของครบแล้วก็ตั้งใจจะไปจ่ายเงิน อยากกลับบ้านแล้ว คิดถึงบ้านมากเลยตอนนี้
“อาทิตย์บังเอิญจังเลย...” กระทั่งในจังหวะที่ยืนรอคิวจ่ายเงินอยู่ ก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยทักคนข้างกายฉัน หันกลับไปมองก็พบว่าเป็นโรสที่กำลังถือตะกร้าใส่ของ แน่นอนว่าเธอเดินเข้ามาใกล้อาทิตย์ด้วยนอยยิ้มอย่างใสซื่อ?
“อ้อ ไง” แล้วเขาก็ตอบรับเบา ๆ กลับไป ฉันจึงหันหลังให้ทั้งคู่แล้วค่อย ๆ เข็นรถเข็นไปยังจุดชำระเงิน แทบจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่าทั้งคู่คุยอะไรกันบ้าง ทำเพียงหยิบของบนรถเข็นขึ้นมาวางบนเคาน์เตอร์เงียบ ๆ คนเดียว
“ซื้อถุงด้วยค่ะ” เอ่ยบอกพนักงานทั้งส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ได้ค่ะ รับถุงเพิ่มนะคะ”
“ค่ะ” ขานรับเสร็จก็ช่วยพนักงานหยิบของใส่ถุงให้เป็นระเบียบ
“ทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยเจ็ดสิบห้าบาทค่ะ” พนักงานแจ้งราคาเมื่อทำรายการเสร็จ ฉันพยักหน้ารับแล้วแจ้งว่าขอสแกนจ่าย
“เสร็จแล้วเหรอ?” สักพักอาทิตย์ก็เดินเข้ามาใกล้แล้วมองอย่างสงสัย
“ใช่” ฉันตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อสแกนจ่ายเงินเสร็จก็แจ้งพนักงานอีกรอบ แล้วหยิบถุงของใช้กับถุงอาหารใส่รถเข็น นึกลังเลว่าควรเอ่ยเรียกคนพามาส่งไหม แต่บางทีเขาอาจจะไปต่อกับโรสก็ได้ จึงตั้งใจจะไปขึ้นแท็กซี่ที่หน้าห้างฯ
“กลับบ้านกันครับ” แต่คนตัวสูงด้านหลังกลับเดินมาช่วยฉันเข็นรถแทน ฉันไม่ได้ถามและไม่ได้มองว่าคนที่เข้ามาทักทายเขาก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้ว ทำเพียงเดินตามเขาไปที่ลานจอดรถต้อย ๆ จัดการเก็บของใส่ท้ายรถได้ก็รีบบอกให้เขาไปส่งทันที
“เขามาทักบอกว่าอยากให้ไปส่ง แต่เราปฏิเสธไปแล้ว”
“...” ไม่รู้ว่าสีหน้าฉันเป็นยังไง แต่มันต้องดูตกใจมากแน่ ๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะมานั่งอธิบายอะไรแบบนี้ ทั้งที่ปกติฉันก็ไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของเขาอยู่แล้ว
“มายด์ ตกลงเป็นอะไรกันแน่ โกรธอะไรทำไมไม่พูดตรง ๆ” กระทั่งเขามาส่งฉันถึงหน้าคอนโดฯ แต่กลับไม่ปล่อยให้ฉันลง
“มายด์” เมื่อเห็นฉันยังนิ่ง เสียงทุ้มก็เอ่ยเรียกกันอีกรอบ
“...ไม่ได้โกรธ” ฉันตอบกลับไป มือข้างหนึ่งก็กระชับกระเป๋าสะพายให้แน่นขึ้น
“อย่าพูดว่าไม่ได้โกรธถ้ายังเป็นแบบนี้ โทร. หาก็ไม่รับสาย ข้อความก็ไม่ตอบ แต่ยังคุยเล่นในกลุ่มแชตแบบนี้จะให้เราคิดยังไงมายด์” เขายังชอบถามอย่างตรงไปตรงมาเหมือนเคย ทั้งยังยื่นมือมาจับมือฉันไว้เสียแน่น มันแน่นมากจนฉันรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือข้างนั้น
“ทำไมเราต้องคอยรับสายอาทิตย์ตลอดอะ? ข้อความเราก็ไม่ได้เข้าไปตอบบ่อยนี่ ไม่ว่าจะแชตแยกหรือแชตกลุ่ม นาน ๆ ครั้งถึงจะเข้าไปคุยเล่นด้วยซ้ำ แล้วเราต้องทำยังไงเหรออาทิตย์ ทำยังไงนายถึงจะพอใจ?” ครั้งนี้ฉันหันไปถามคนข้าง ๆ อย่างจริงจัง ทั้งยังจ้องตาเขาไม่ลดละ
“มันไม่เหมือนเดิมไงมายด์ ทำไมต้องทำเหมือนไม่รู้จัก ไม่สนิทกับเรา เราเป็นเพื่อนกันนะ” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ
“นั่นสิ เราเป็นเพื่อนกันนี่เนอะ เข้าใจแล้ว ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ไม่สบายใจ แต่ช่วยปลดล็อกรถให้เราหน่อยนะ” ครั้งนี้ฉันพยักหน้าเข้าใจ แล้วส่งยิ้มให้เหมือนปัญหาได้คลี่คลายแล้ว?
อีกฝ่ายเหมือนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมทำตามสิ่งที่ฉันขอ เขายอมปลดล็อกรถให้เสียที ฉันจึงรีบเดินไปยังท้ายรถเพื่อหิ้วถุงข้าวของพะรุงพะรังกลับห้อง อาทิตย์เดินตามมาหมายจะช่วย แต่เมื่อเห็นเขาทำท่าจะเข้ามาช่วยหิ้วของ ฉันก็อาศัยความเร็วขยับเท้าถอยหลังหนีเมื่อได้ของมาอยู่ในมือจนครบแล้ว
“ขอบคุณนะที่พาไปซื้อของน่ะ เราไปแล้วนะ วันนี้เหนื่อยมาก ง่วงด้วย” ฉันรีบบอกปัด ๆ และส่งยิ้มบาง ๆ ให้อีกฝ่าย ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เป็นฉันเองที่รีบเดินหนีเข้าไปในล็อบบีคอนโดฯ สองมือหอบหิ้วของพะรุงพะรังไปหมดทั้งของที่ซื้อมาจากห้างฯ ทั้งดอกไม้จากร้านอีก
เมื่อได้กลับเข้ามาภายในห้องพักที่มีฉันเพียงคนเดียว ความรู้สึกหน่วงภายในใจก็เหมือนจะเริ่มทำงาน ในหัวเอาแต่ครุ่นคิดไปถึงประโยคของใครบางคนที่มาส่ง อ่า เพราะเป็นเพื่อนเลยต้องตอบข้อความและรับสายตลอดอย่างนั้นเหรอ ก็ได้นะ ถ้าเขาอยากให้ฉันเป็นเพื่อนแบบนั้น...ฉันก็จะเป็นให้
ของที่ซื้อมาถูกนำออกจากถุงและทยอยเก็บเข้าตู้เย็นแบ่งเป็นสัดส่วน แม้ว่าวันนี้จะทำงานหนักมาทั้งวัน ต่อด้วยการไปเดินซื้อของหลังเลิกงาน แต่ฉันกลับไม่มีความรู้สึกหิวเลยสักนิด และเมื่อไม่หิวเลยเลือกที่จะไปทำความสะอาดห้องเล็กน้อย ก่อนจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดออกมานอนดูหนังที่ห้องนั่งเล่น
ระหว่างที่นั่งดูหนังอยู่นั้นคนที่อาสามาส่งถึงหน้าคอนโดฯ ก็ส่งข้อความมาบอกว่าถึงคอนโดฯ แล้ว ฉันเอาแต่นั่งจ้องข้อความนั้นอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจเปิดเข้าไปอ่าน แล้วส่งข้อความกลับไปสั้น ๆ ว่ารับทราบ
ฉันอยากคุยกับเขาให้มากกว่านี้ แต่มันก็ไม่เป็นผลดีต่อฉันสักเท่าไหร่ เพราะหัวใจฉันมัวแต่จะเอนเอียงไปหาเขา เอาแต่คิดเข้าข้างตัวเองอยู่เรื่อยไป มาคิด ๆ ดูแล้วหากยังทำเหมือนเดิมคงมีแต่ฉันที่ยังคงเจ็บปวดอยู่คนเดียว