Rose 11
เสียงดนตรีภายในร้านเริ่มสนุกขึ้นเรื่อย ๆ ต่างจากคนข้างกายที่เอาแต่ทำหน้านิ่งและมองฉันดุ ๆ อยู่ตลอดเวลาเลย เมื่อเริ่มดื่มหนักขึ้นใครยื่นแก้วให้ก็ไม่ปฏิเสธ ฉันก็ยิ่งสนุกจนลุกไปเต้นกับน้อง ๆ ในร้าน ไม่รู้ว่าเพราะฉันเครียดเรื่องคนที่ตามมาด้วย หรือเพราะฉันเหนื่อยกันแน่ถึงได้รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเมามากจนมึนหัวไปหมดแบบนี้ ขนาดกลับมานั่งที่โต๊ะแล้วดื่มต่ออาการก็ยังไม่ดีขึ้นเลย
“พอแล้ว เมามากแล้วนะ” เสียงนี้ฉันจำได้ว่าเป็นเสียงของอาทิตย์นี่นา อ้อ เขายังไม่กลับ
“ไปล้างหน้าหน่อยไหม?” เขาถามอีกครั้ง ทั้งยังยื่นมือมาช่วยเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าให้อย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วร้อนเกลี่ยข้างแก้มฉันไปมาอย่างแผ่วเบา สายตาอบอุ่นของเขาที่ใช้มองกันในตอนนี้ทำให้ฉันมองตามอย่างหลงใหล ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เขาเริ่มอ่อนโยนต่อกัน มักจะเป็นฉันเองที่กลับมารู้สึกอีกครั้ง และมันก็จะวนลูปอยู่อย่างนั้น
“ไม่เอาหรอก ไม่ล้าง” ฉันส่ายหน้าไปมาน้อย ๆ และเอ่ยตอบคนตรงหน้าเสียงเบา ถึงแม้ภายในร้านจะเสียงดังและแสงสียังเปิดอยู่ แต่เรายังสามารถพูดคุยกันได้เมื่ออาทิตย์โน้มเข้ามาใกล้และมองฉันอย่างต้องการสำรวจร่างกาย
“จะดื่มอีกเหรอ? เมามากแล้วนะ” คนตรงหน้ายังกระซิบถามอย่างเป็นห่วง ฉันจึงพยักหน้าส่ง ๆ ให้เขาแทนการเอ่ยตอบ มือก็ยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดในครั้งเดียว กำลังจะขอเติมแต่มันกลับถูกดึงออกจากมือไปวางไว้บนโต๊ะแทน
“พอแล้ว”
“ไม่ ยังไม่พอ” ฉันยังคงดื้อดึง เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“จะกลับกันแล้วนะ ร้านปิดแล้ว” แต่พอได้ยินแบบนั้นก็รีบมองซ้ายมองขวา พิมพ์ขวัญไม่อยู่ที่โต๊ะ และพิมพ์ใจก็เรียกพนักงานมาเช็กบิลอยู่ เมื่อเห็นทุกคนเตรียมจะกลับฉันก็ขยับนั่งดี ๆ เรียกสติให้ตัวเองเท่าที่จะทำได้
“ไหวไหม?” ระหว่างที่เดินออกจากร้านพิมพ์ใจก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เราพากันมายืนรอน้องมาลีขึ้นรถ เพราะเห็นบอกว่าจะมีคนมารับ ส่วนน้องเหมยเหมยพี่ชายมารับกลับไปแล้ว รายนั้นก็เมาหนักเหมือนกัน คนที่ยังมีสติอยู่ก็เห็นจะมีแค่น้องมาลีกับยัยพิมพ์นี่แหละ
“อื้อ ไหว ๆ”
“พรุ่งนี้หยุด อย่ามาทำงานนะขอร้อง” พิมพ์ใจเอ่ยดัก ฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ เรายืนรอส่งน้องมาลีจนเสร็จเรียบร้อยถึงได้แยกย้ายกันกลับบ้าง และนั่นทำให้ฉันกลับมานั่งอยู่บนรถของอาทิตย์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฉันปรับเบาะเอนหลังลงเล็กน้อยแล้วหลับตานิ่ง
“เวียนหัวไหมน่ะ” คนข้างกายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือแววขบขัน
“อือ เวียนหัว”
“ก็ดื้อไง ดื่มหมดใครยื่นอะไรให้ไม่มีหรอกปฏิเสธ”
“อย่าบ่นน่า”
“ไม่บ่นได้ไง วันนี้ปล่อยตัวเกินไปหรือเปล่า? ใครให้อะไรก็รับหมด อีกนิดก็ไปกับเขาแล้วนะมายด์”
“โอ๊ย ถ้าพูดอะไรดี ๆ ไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูด! เคยคิดถึงจิตใจเราบ้างไหม เอาแต่พูดแบบนี้ใส่กันอยู่ได้” ครั้งนี้ฉันไม่ทนแล้ว รีบขยับลุกขึ้นนั่งดี ๆ และมองคนที่เอาแต่ต่อว่ากันอย่างไม่เข้าใจ
“ก็เตือนแล้วทำไมไม่ฟัง” แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจ ยังคงดุกันเหมือนเดิม
“ก็เธอเป็นเพื่อนเรา เราถึงได้เตือน ไม่อยากให้ใครมองไม่ดี” เขาน่ะเอาแต่พยายามพูดในมุมของตัวเอง ไหนจะเอาแต่เน้นย้ำคำว่าเพื่อนอยู่ร่ำไป ทั้งที่การกระทำนั้นชวนฉันให้คิดไปไกลมากขนาดนี้ และความอดทนที่มีอยู่ของฉันก็พลันลดลงทันที บวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป ทำให้ฉันหลุดปากพูดสิ่งที่กักเก็บไว้ในใจมานานหลายปีออกมา
“แต่เราไม่ได้คิดกับนายแค่เพื่อนไง ทำไมเอาแต่เน้นย้ำว่าเป็นเพื่อนอยู่ได้ เพื่อนกันเขามาตามหวงแบบนี้เหรอ?” ฉันถามอย่างเหลืออด นั่นจึงทำให้อีกฝ่ายชะงักและนิ่งเงียบไปในทันที
“...มายด์ชอบเราเหรอ?” เนิ่นนานหลายนาที กว่าที่อาทิตย์ที่จะเอ่ยถามออกมาเสียงแผ่วหลังจากที่เจ้าตัวเงียบไปได้สักพัก และเมื่อรถจอดหยุดนิ่งที่หน้าคอนโดฯ ฉันเขาถึงได้เอ่ยถามออกมา แต่แววตาและน้ำเสียงของเขากลับทำให้ฉันขอบตาร้อนผ่าว เขาดูตกใจและกลัว ใช่...ท่าทางของเขาในตอนนี้คือกลัวฉัน
“ใช่ เราชอบนาย ชอบมานานแล้วด้วย”
“ทำไม ทำไมล่ะ แต่...เราเป็นเพื่อนกันนะ” เสียงทุ้มทวนถามอย่างไม่เชื่อหู ฉันยิ้มบาง ๆ ส่งให้เขาก่อนจะรีบยกหลังมือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้มสองข้างแก้ม
“มันห้ามได้เหรอ เรื่องของความรู้สึก” เป็นอีกครั้งที่ทวนถามคนข้างกาย
“ได้สิ เรา...เรายังคิดกับเธอแค่เพื่อน”
ราวกับโลกกำลังถล่มลงมา เมื่ออีกฝ่ายเน้นย้ำให้รู้ถึงสถานะระหว่างเราสองคน แม้เขาจะรับรู้แล้วว่าฉันน่ะเป็นคนคิดเกินเลยในความสัมพันธ์นี้
แน่นอนว่าอาทิตย์ไม่ได้ผิดเลยสักนิดที่เขาจะมองและคิดกับฉันแค่เพื่อน เพราะมันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด ฉันไม่ได้โกรธเลยที่เขาคิดแบบนี้ และสิ่งที่ฉันจะต้องทำและจัดการต่อไปคือความรู้สึกของตัวเอง เพราะทุกอย่างมันเริ่มมาจากฉัน...ฉันเพียงคนเดียว และความรู้สึกเหล่านี้มันก็ควรจะหยุดที่ฉันเช่นเดียวกัน
“อื้อ เราเข้าใจแล้วอาทิตย์ ขอโทษด้วยนะ”
“มายด์...แต่เรายังเป็นเพื่อนกันนะ”
“ได้ ยังเป็นเพื่อนกัน เราเข้าใจแล้วโอเคไหม? ขับรถดี ๆ ล่ะเราจะขึ้นห้องแล้ว” ก่อนลงจากรถฉันส่งยิ้มให้อาทิตย์บางเบา ก่อนจะเปิดประตูรถออกมา แล้วเดินโซเซกลับห้องตัวเองด้วยจิตใจเลื่อนลอย บนใบหน้ายังคงมีคราบน้ำตาปรากฏอยู่
อย่างน้อยมันก็ดีที่อีกฝ่ายชัดเจนว่าคิดกับฉันแค่เพื่อน
ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของฉันแล้วที่ต้องจัดการความรู้สึกตัวเอง