EP.3
อีกฟากหนึ่งของโลก เด็กสาวคนหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนเดินออกมาจากโรงเรียนประจำหญิงล้วน ช้องนาง วัฒนาดิลก คือชื่อเสียงเรียงนามของหล่อน
ช้องนางกำลังจะเรียนจบระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเร็วๆ นี้ เพราะตอนนี้หล่อนได้สอบไฟนอลในเทอมสุดท้ายเสร็จสิ้นแล้ว
เด็กสาวเป็นลูกหลานในตระกูลผู้ดีเก่าอย่างวัฒนาดิลก ซึ่งตระกูลนี้เป็นนามสกุลพระราชทาน ทุกคนในวงศ์ตระกูลล้วนแต่แสดงออกว่าตนเองเป็นผู้ดี ทั้งๆ ที่ภายในนั้นกลวงโบ๋
ตั้งแต่คุณย่าของหล่อนเสียชีวิตไป ลูกจำนวนสี่คนซึ่งรวมบิดาของหล่อนด้วยก็ต่างพากันนำสมบัติพัสถานมาถลุงกันอย่างสนุกมือ ซึ่งในระยะเวลาแค่ไม่ถึงห้าปี ทรัพย์สินที่อยู่ในระบบกงสีก็กลายเป็นศูนย์ ก่อนจะติดลบจนต้องขายของเก่าเพื่อพยุงหน้าตาทางสังคม
ลุงป้าน้าอารวมถึงพ่อของหล่อนต่างเป็นคนที่จมไม่ลง หน้าใหญ่ใจโตทั้งๆ ที่ไม่เหลือสมบัติใดๆ อีกแล้วนอกจากบ้านที่อาศัยอยู่ในตอนนี้
หล่อนเองก็ได้รับผลกระทบจากความฟุ้งเฟ้อของทุกคนจนมีแนวโน้มว่าจะต้องออกมาหางานทำเพื่อส่งตนเองเรียนระดับมหาวิทยาลัยในไม่ช้า
ช้องนางเดินใจลอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงลุงแก้วคนขับรถเก่าแก่ของวงศ์ตระกูลจึงสะดุ้งตกใจ
“คุณหนูครับ”
หล่อนชะงักเท้า หันไปมอง ก่อนจะฝืนยิ้มทักทายชายสูงวัยที่อยู่ด้วยกันมานานจนคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะลุงแก้ว”
“สวัสดีครับคุณหนู”
หล่อนมองหน้าลุงแก้วสลับกับรถคันงามที่เหลืออยู่เพียงคันเดียวในบ้านด้วยความแปลกใจ
“วันนี้อาเกสไม่ใช้รถเหรอคะ ลุงแก้วถึงขับมารับนางได้น่ะ”
คู่สนทนาของหล่อนยิ้มเจื่อนๆ “วันนี้คุณเกสไม่ได้ออกไปข้างนอกเลยครับ ไม่รู้ว่าทำไมไม่ไป แต่ก็ดีแล้วครับ ผมก็เลยมีรถมารับคุณหนูไงครับ”
“ขอบคุณค่ะลุงแก้ว”
“เชิญขึ้นรถครับ”
ลุงแก้วเปิดประตูรถให้ หล่อนยิ้มขอบคุณ ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถด้วยความคุ้นเคย
ลุงแก้วปิดประตูรถให้อย่างเบามือ ก่อนจะรีบวิ่งอ้อมรถขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัยรถ และก็ชวนคุยเหมือนเช่นทุกครั้งที่ลุงแก้วมีโอกาสมารับหล่อนกลับบ้าน
“ปีหน้าคุณหนูก็จะขึ้นมหา’ลัยแล้วน่ะสิครับ”
“ใช่ค่ะ แต่นางยังไม่รู้เลยว่าจะได้เรียนหรือเปล่า ก็อย่างที่ลุงแก้วเห็นนั่นแหละค่ะ”
“คุณหนูต้องเรียนนะครับ เพราะถ้าไม่เรียนต่อ จบแค่มอหกคงทำงานดีๆ ที่เหนื่อยน้อยๆ ไม่ได้แน่ๆ ครับ”
“นางทราบค่ะ แต่สถานการณ์ทางบ้านก็อย่างที่ลุงแก้วเห็นๆ นั่นแหละค่ะ ไม่ดีเลย”
ลุงแก้วอยู่รับใช้มานานจนรู้เห็นทุกอย่างทั้งหมด แต่ก็ตักเตือนอะไรไม่ได้เพราะตนเองเป็นแค่คนรับใช้
“คุณชัชคงพยายามส่งคุณหนูเรียนต่อน่ะครับ”
ลุงแก้วพูดถึงชัชชัยบิดาของช้องนาง
เด็กสาวถอนใจออกมาแผ่วเบา เมื่อนึกถึงบิดาของตนเอง
พ่อเคยเป็นหัวหน้าครอบครัว และเป็นพี่ใหญ่ของน้องๆ อีกสี่คนในตระกูลวัฒนาดิลก แต่หลังจากที่แม่ตายจากไปเพราะจมน้ำ ท่านก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน
พ่อกลายเป็นผู้ชายเงียบขรึม จมปลักอยู่กับความเสียใจที่สูญเสียภรรยาสุดที่รัก เหล้าถูกใช้เป็นเครื่องมือให้พ่อลืมแม่ จนกระทั่งท่านถูกมันกลืนกินจิตวิญญาณ
สุดท้ายแล้วพ่อก็กลายเป็นผู้ชายติดเหล้า ต้องชิงลาออกจากงานก่อนที่จะเป็นฝ่ายถูกไล่ออก และน้องๆ ของพ่อก็ไม่มีใครเป็นหลักให้กับวงศ์ตระกูลแทนพ่อได้สักคน
ตอนนี้ตระกูลวัฒนาดิลกกำลังระส่ำระสายอย่างหนัก หนี้สินมากมายกำลังพอกพูน
สมาพรน้องสาวคนรองของบิดาก็เพิ่งถูกสามีนอกใจ จนกลายเป็นโรคประสาท คนในครอบครัวต้องแอบส่งให้ไปอยู่ในโรงพยาบาลประสาทอย่างเงียบกริบ และให้ข่าวกับสังคมว่าสมาพรบินไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศ
ส่วนหัสดินน้องชายของบิดาก็ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรเลย ทำธุรกิจอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ จนกระทั่งเมื่อสามเดือนก่อน หัสดินขายที่ดินส่วนตัวที่คุณย่ายกให้ และนำเงินก้อนนั้นบินไปทำธุรกิจที่ประเทศจีน ก่อนจะไม่ส่งข่าวคราวกลับมาอีกเลย
และเกสรา น้องสาวคนสุดท้องของบิดา เกสราเป็นผู้หญิงเจ้าแผนการ ทุกอย่างในการดำเนินชีวิตของหล่อนมีแบบแผนและอยู่ในกรอบ แม้กระทั่งสามีที่เป็นคนงานในบ้านมาก่อน แต่เกสราให้ข่าวกับสังคมว่าเป็นนักธุรกิจจากเชียงราย ก็ต้องเดินตามทางที่
เกสราวางเอาไว้
เกสรามีลูกสาวสุดที่รักอยู่หนึ่งคนชื่อ พชมน ซึ่งมีอายุมากกว่าหล่อนหกปีเต็ม เกสราส่งเสียให้พชมนเรียนในโรงเรียนที่ดี ราคาแพง เพราะหวังว่าพชมนจะใฝ่เรียน แต่พชมนกลับท้องกับเพื่อนในโรงเรียนเดียวกัน จนต้องออกมาเลี้ยงลูก และไม่ได้กลับไปเรียนต่ออีกเลย
“นางว่าจะออกมาหางานทำค่ะ แล้วก็เรียนภาคค่ำเอา”
ในที่สุดหล่อนก็ตอบลุงแก้วออกไป หลังจากนั่งคิดถึงเรื่องราวยุ่งเหยิงในวงศ์ตระกูลอยู่พักใหญ่
“คุณชัชคงไม่ยอมหรอกครับ”
หล่อนยิ้มเศร้าหมอง “ตอนนี้พ่อแทบจำนางไม่ได้แล้วด้วยซ้ำลุงแก้ว”
“ถ้าคุณชัชยอมไปบำบัดคงจะดีขึ้นกว่านี้นะครับ”
“ลุงแก้วก็เห็นนี่คะว่าพ่อไม่ยอมไป และที่สำคัญอาเกสก็ไม่สนับสนุนด้วย เพราะกลัวเป็นข่าวออกไป แล้วชื่อเสียงวงศ์ตระกูลจะเสียหาย”
ก็ขนาดพชมนตั้งท้องคาโรงเรียน เกสรายังตัดใจส่งลูกสาวไปอยู่เมืองนอกแลย
ลุงแก้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก คงเพราะจนปัญญาที่จะช่วยหล่อนแก้ปัญหานั่นแหละ
ช้องนางเบือนหน้ามองออกไปนอกกระจกรถ ดวงใจของหล่อนเต็มไปด้วยความทุกข์เหลือเกิน
หลังจากมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่หล่อนทำเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาก็คือการขึ้นไปหาบิดาซึ่งท่านหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอนที่เต็มไปด้วยรูปถ่ายของมารดา
หล่อนเองก็เสียใจมากที่แม่มาด่วนจากไป แต่หล่อนก็รู้ดีว่าชีวิตต้องเดินต่อไป ไม่ใช่จมปลักอยู่กับอดีตที่ไม่มีวันหวนคืนกลับมาแบบบิดา
กลิ่นแอลกอฮอล์ยังคงคละคลุ้งในห้องนอนของบิดาเหมือนเดิม หล่อนพูดคุยกับท่าน พยายามที่จะถามไถ่ แต่ท่านทำแค่ละสายตาจากรูปของมารดาเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นมามองหล่อน จากนั้นท่านก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับสารทุกข์สุกดิบของลูกสาวในไส้อีกเลย
หล่อนน้ำตาไหลอาบแก้ม แต่ก็พยายามที่จะเข้าใจบิดา ขาเรียวค่อยๆ หยัดขึ้นยืน บอกลาท่านเสียงสั่นเครือ ก่อนจะเดินหนีออกมา
หล่อนไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว... คงต้องปล่อยให้พ่อเป็นแบบนี้ต่อไป
หลังมือเล็กยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง เมื่อก้าวออกมาจากห้องของบิดา สาวใช้ที่เป็นหนึ่งในสาวใช้อีกเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ภายในคฤหาสน์หลังงามแห่งนี้มาหยุดอยู่ข้างๆ
“มีอะไรกับฉันหรือเปล่าจ๊ะ”
“คุณเกสราให้มาเชิญคุณหนูไปค่ะ”
กลีบปากอิ่มสีแดงระเรื่อเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนจะเอ่ยถามกลับออกไป
“ตอนนี้อาเกสอยู่ที่ไหนจ๊ะ”
“อยู่ระเบียงชั้นสองค่ะคุณหนู”
หล่อนฝืนยิ้มให้กับคู่สนทนา ก่อนจะก้าวเดินออกมาเงียบๆ ในใจก็อดที่จะคลางแคลงไม่ได้ เพราะร้อยวันพันปี เกสราไม่เคยสนใจไยดีอะไรหล่อนเลย แต่วันนี้กลับเรียกให้เข้าไปพบ
ช้องนางเดินมาหยุดที่ทางเชื่อมก่อนที่จะเข้าไปในบริเวณระเบียงไม้ที่ยื่นออกไปด้านนอกของตัวคฤหาสน์ หล่อนเห็นเกสรานั่งไถนิ้วกับโทรศัพท์มือถือรออยู่
“อาเกสเรียกหานางเหรอคะ”
เกสราเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์มือถือ และหันมามองหล่อน พร้อมกับส่งยิ้มให้
“มานั่งนี่สิ เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว”
ช้องนางสงสัยไม่น้อย แต่ก็จำต้องเดินเข้าไปหา หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวตรงกันข้ามกับเกสรา
“อาเกสมีอะไรจะคุยกับนางเหรอคะ”
เกสราจ้องหน้าหล่อน กวาดสายตามองสำรวจอย่างพิจารณาในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“สอบไฟนอลเทอมสุดท้ายเสร็จแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ”
เกสราทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถาม
“กันยาปีนี้เราก็จะอายุสิบเก้าแล้วใช่ไหม อาเข้าใจถูกหรือเปล่าช้องนาง”
“เอ่อ... ถูกค่ะ นางจะสิบเก้าเต็มเดือนกันยานี้ค่ะ” หล่อนตอบ และก็ยังสงสัยเหมือนเดิม
“อาเกส... มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมวันนี้ดูอาเกสถามนางแปลกๆ”
หล่อนเห็นเกสราจ้องมองมา ก่อนที่ริมฝีปากบางเฉียบจะขยับเขยื้อน เปล่งคำพูดออกมา