บทที่ 17
นักศึกษาฝึกงาน
การฝึกงานของนักศึกษาชั้นปีที่สี่เริ่มขึ้นได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว โดยที่ฉันเองก็ได้รับหน้าที่และภาระงานจากพี่นุ้ย ซึ่งเป็นทั้งหัวหน้าและพี่เลี้ยงดูแลเด็กฝึกงานอย่างฉันโดยตรง
บริษัทที่ฉันเข้ารับการฝึกงานนี้เป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก ชื่อเสียงไม่ได้โด่งดัง แถมยังยังมีพนักงานไม่กี่สิบชีวิตที่กินเงินเดือนที่นี่
แต่ด้วยความสะดวกในการเดินทาง บวกกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ฉันสัมผัสได้ว่าผู้คนในบริษัทนี้เป็นมิตรและใจดีกับเด็กฝึกงานอย่างฉันจริง ๆ ไหนจะการสอนงานที่เป็นกันเอง การให้ลงมือทำงานมากกว่าเดินเอกสาร ฉันเลยมองว่าการเลือกลงฝึกงานที่บริษัทนี้ถือว่าเป็นโชคดีของตัวเองมากเลยทีเดียว
“ป่าน! ป่านจ๊ะ พี่นุ้ยโทรมาน่ะ บอกว่าลืมเอกสารอยากให้ป่านเอาไปให้ด่วนเลย!”
เสียงหนึ่งของพี่ที่ทำงานเอ่ยแทรกขึ้นตามมาด้วยท่าทางร้อนรนตรงปรี่เข้ามาหาฉัน
“เอกสารอะไรเหรอคะ”
“เอาไปคุยเองนะ นี่จ้ะพี่นุ้ยถือสายอยู่”
ฉันรับโทรศัพท์มาจากมือของคนตรงหน้า ครั้นแนบกับหูก็ได้ยินน้ำเสียงกระวนกระวายที่ดังผ่านมาจากเครื่องมือสื่อสารในทันที
[ป่านจ๊ะ ช่วยเอาเอกสารภาษีของบริษัทไทรอัมพ์มาให้พี่หน่อยได้ไหม พี่ลืมหยิบมันมาด้วย มันวางอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของพี่น่ะ]
“อ้อ ได้ค่ะพี่นุ้ย ให้ป่านเอาไปให้ที่ไหนคะ” ฉันรีบตอบรับและเดินไปยังโต๊ะทำงานของพี่นุ้ยเพื่อหาเอกสารตามที่ว่า
[หน้าแฟ้มมันเขียนชื่อบริษัทไว้ชัดเจนเลยนะ ป่านเห็นไหม]
“เจอแล้วค่ะพี่นุ้ย หน้าแฟ้มเขียนว่าภาษีบริษัทไทรอัมพ์ปีล่าสุดใช่ไหมคะ” ฉันหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาตรวจสอบ มั่นใจแล้วว่าใช่แต่ก็ต้องการทวนย้ำเพื่อความถูกต้องอีกครั้งเช่นกัน
[ใช่ ๆ แฟ้มนี้เลยจ้ะ พี่รบกวนป่านเอามาให้พี่หน่อยนะ มันจำเป็นจริง ๆ พี่นี่โคตรสะเพร่าเลย นี่คุณไตรก็กำลังเดินทางมาแล้วด้วย ถ้ารู้ว่าพี่ลืมเอกสารเขาคงไม่เชื่อมั่นในบริษัทของเราแน่เลย ฮือ!]
“เดี๋ยวป่านรีบเอาไปให้เลยค่ะ พี่นุ้ยเชื่อใจป่านนะคะ” ฉันเอ่ยบอกขณะที่ขาสองข้างก็รีบเดินออกมาจากห้อง โดยในมือก็กกกอดแฟ้มเอกสารเอาไว้ราวกับหวงแหน
ทิ้งท้ายกับปลายสายไว้เท่านั้น ฉันก็รีบส่งคืนโทรศัพท์ให้กับเจ้าของ ก่อนจะสับเท้าวิ่งไปยังวินรถสาธารณะที่อยู่เยื้องกับบริษัทอย่างรวดเร็ว
“พี่ ๆ ไปร้านกาแฟ xx ค่ะ ขอด่วนเลยนะคะ!”
การจราจรในเมืองหลวงแน่นขนัดแม้จะเป็นช่วงเย็น หากแต่รถมอเตอร์ไซค์สาธารณะที่กำลังขับขี่บนท้องถนนก็สามารถพาให้ฉันมาถึงฝั่งตรงข้ามของจุดหมายได้อย่างท่วงที
ฉันรีบจ่ายเงินค่าโดยสารและตรงไปยังทางข้ามม้าลายเพื่อรอสัญญาณไฟ อีกเพียงไม่กี่นาทีข้างหน้าฉันก็จะถึงที่หมายอย่างแท้จริงแล้ว ครั้งเมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนจากสีแดงมาเป็นสีเขียวก็ทำให้ฉันตัดสินใจสับเท้าวิ่งอย่างรวดเร็ว เหตุเพราะสายตาของตัวเองดันเห็นเข้ากับรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่ คาดว่าน่าจะเป็นรถยนต์ของลูกค้านั่นแหละ
ฉันวิ่งไปตามหนทางอย่างร้อนรนในขณะที่มือสองข้างก็กอดแฟ้มเอกสารไว้แนบอก แต่ทว่าเสียงแตรที่บีบดังสนั่นมาแต่ไกลกลับดังขึ้น ส่งผลให้ความตกใจก่อเกิดจนขาสองข้างรีบเพิ่มแรงวิ่งมากขึ้นไปอีกเท่าตัว
ปรี๊ด!!!
“กรี๊ด!” ฉันกรีดร้องออกมาเมื่อเพียงเสี้ยววินาทีระดับสายตาก็ปะทะเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับแล่นตรงมาทางฉันด้วยความเร็วสูง
มั่นใจว่าตัวเองดูไฟจราจรมาอย่างดี แต่การที่มีรถปรี่เข้ามาแบบนี้ก็ทำให้ตกใจสติแตกได้เหมือนกัน
จนกระทั่ง...
ตุ้บ!
“โธ่เว้ย เดินไม่ดูทางเลยวะน้อง!” เสียงตะโกนดังลั่นก่อนจะจากไปทำให้ฉันหันไปมองด้วยความกรุ่นโกรธ
หากแต่ร่างกายของตัวเองในตอนนี้กลับอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าย่ำแย่ เนื่องจากจังหวะที่กำลังวิ่งด้วยความตกใจนั้น ขาสองข้างก็ดันสะดุดล้มจนล้มลงไปกับพื้น แถมรถคู่กรณีก็ยังขับหนีและตะโกนด่ากลับมา ทั้ง ๆ ที่ฉันก็ข้ามถนนอย่างถูกกฎจราจรทั้งหมด
ซวยจริง ๆ โว้ย!
“อ๊ะ...ซวยจริง ๆ เลยยัยป่านเอ๊ย ฮือ จะถึงร้านอยู่แล้วเชียว” ฉันบ่นกับตัวเองทั้งหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ แต่ทว่าความเจ็บปวดและความคิดลบ ๆ ที่ประสบพบเจออยู่นั้นเป็นต้องรีบขจัด เนื่องจากมีอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือแฟ้มเอกสารในมือของฉันตอนนี้
ฉันหยัดตัวขึ้น พยายามทรงตัวและก้าวขาเดินเข้าไปยังร้านกาแฟให้เป็นปกติมากที่สุด แม้ว่าความเจ็บปวดจะโลดแล่นจนแทบขยับไม่ไหว แต่อย่างไรแล้วฉันก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงอย่างที่ตั้งใจไว้เสียก่อน
“อ้าวป่าน มาพอดีเลย ทางนี้จ้ะ”
เสียงของพี่นุ้ยดังขึ้นพร้อมกับการโบกไหวมือเรียกหา นั่นจึงทำให้ฉันรีบเดินเข้าไปและส่งยื่นเอกสารให้ทันที
“สวัสดีค่ะคุณไตร คุณมารุต นี่เอกสารค่ะพี่นุ้ย ขอโทษนะคะที่มาช้า” ฉันบอกพลางเก็บกลั้นลมหายใจที่กำลังหอบเหนื่อย หันไปกระพุ่มมือไหว้กับลูกค้าของบริษัททั้ง ๆ เป็นคนที่ไม่อยากเจอก็ตาม
“ขอบคุณมากนะป่าน อ๊ะ...เดี๋ยวแผลที่ขานั่นไปโดนอะไรมา!”
“อ้อ คือป่าน...อ๊ะ!” กำลังจะตอบคำถามแต่ก็ต้องร้องโอดครวญเมื่อพี่นุ้ยเดินเข้ามาจับที่ต้นแขน คราวนี้ถึงได้รู้ว่านอกจากขาที่มีบาดแผลก็เป็นแขนของตัวเองนี่แหละที่ได้รับแรงกระแทกเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น”
“ก็เมื่อกี้สิคะ มีมอ'ไซค์ที่ไหนไม่รู้ว่าขับฝ่าสัญญาณไฟ ป่านก็กำลังข้ามถนนพอดีเลยเกือบถูกมันชนเข้าเนี่ย เจ็บใจชะมัดเลย” เมื่อถูกถามถึงต้นเหตุก็ทำให้ความกรุ่นโกรธปะทุร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
ถ้าหากไม่ติดว่าต้องรีบมาเอาเอกสารให้พี่นุ้ยล่ะก็ ป่านนี้ฉันคงได้ยืนเท้าเอวด่าเปิงคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นไปแล้ว!
“ตายแล้ว เลือดออกด้วยนะ พี่ว่าป่านรีบ...”
“ป่านไม่เป็นไรค่ะพี่นุ้ย พี่นุ้ยคุยงานต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวป่านกลับไปทำแผลเอง” ฉันส่ายหน้าพร้อมกับการส่งยิ้มบาง ๆ เพื่อไม่ให้พี่นุ้ยเกิดความกังวล
เพราะตอนนี้ฉันสังเกตเห็นความเรียบนิ่งจากคุณไตรและคุณรุตได้ เขากำลังมองมาที่ฉัน มันทั้งนิ่งทั้งน่ากลัว เลยทำให้คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยว่าท่าทางที่เห็นนั้นคือความไม่พอใจที่มีต่อตัวฉัน
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า” ฉันหันไปยกมือไหว้ขอโทษกับลูกค้าอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นคนที่ฉันไม่อยากพบเจอก็ตาม แต่ในเนื้อหางานและความรับผิดชอบก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความผิดของฉันจริง ๆ
ชีวิตเด็กฝึกงานอย่างไอ้ป่านมันเครียดจังโว้ย!
“ขอโทษนะคะคุณไตร เป็นเพราะความสะเพร่าของฉันเองค่ะที่ลืมเอาเอกสารมา เราเริ่มกันเลยดีกว่านะคะ จะได้ไม่เสียเวลา”
“งั้นให้รุตพานักศึกษาฝึกงานของคุณไปทำแผลดีกว่าครับ ส่วนเราก็คุยงานกันต่อ จะได้หมดห่วง”
ราวกับว่าคุณไตรล่วงรู้ถึงความกังวลที่ปรากฏอยู่บนหน้าของพี่นุ้ย ซึ่งฉันก็รู้ดีว่าพี่นุ้ยเองก็เป็นห่วงฉันอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อภาระงานตรงหน้านั้นสำคัญ จึงทำให้ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
“จริงเหรอคะ ขอบคุณมากเลยค่ะคุณไตร ป่านจ๊ะ ป่านไปทำแผลเถอะนะ”
“เอ่อ...ป่านไปทำแผลที่บริษัทเองได้ค่ะ แผลแค่นี้เอง ป่าน...”
“นะป่าน รีบไปทำแผลเถอะ คุณไตรเขาใจดีแบบนี้จะปฏิเสธได้ยังไง ถ้าทำแผลเสร็จแล้วป่านก็เลิกงานได้เลยนะ อีกหนึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาแล้วด้วย”
“แต่ป่าน...”
“เชิญครับ รถจอดอยู่ด้านนี้” เป็นคุณมารุตที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า พลันเมื่อเขาพูดจบ มือใหญ่ก็ผายไปยังประตูซึ่งอยู่ติดเป็นลานจอดรถ เป็นการย้ำชัดว่าฉันจะต้องทำตามที่เขาสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
ให้ตาย...ชีวิตไอ้ป่านทำไมมันน่าสงสารแบบนี้!