บทที่ 16
หนีไม่พ้น
SAIPAN’S PART ;
“โชคดีมากเลยนะเนี่ยที่วันนี้พี่นัดคุยกับผู้บริหารพอดี ป่านจะได้เห็นวิธีการทำงานด้วย” เสียงของพี่นุ้ยหัวหน้าใหญ่ประจำบริษัทบัญชี และพ่วงอีกหนึ่งตำแหน่งนั่นก็คือพี่เลี้ยงดูแลนักศึกษาฝึกงานเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มใจดี
“ขอบคุณพี่นุ้ยมากเลยนะคะที่อนุญาตให้ป่านมาด้วย นัดคุยกับผู้บริหารแบบนี้คงสำคัญมากแน่ ๆ” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณพี่นุ้ยพร้อมกับการส่งสายตาหวาน ๆ ไปให้ นึกดีใจที่ได้รับการเชิญชวนให้ติดสอยห้อยตามมาในงานสำคัญแบบนี้
ตอนนี้ฉันอยู่ในฐานะนักศึกษาฝึกงานของบริษัทบัญชีแห่งหนึ่ง บริษัทที่ฉันกำลังทำอยู่นั้นจะรับดูแลและตรวจสอบบัญชีให้กับบริษัทของผู้ว่าจ้าง ซึ่งการตามพี่นุ้ยมาในวันนี้ก็นับว่าเป็นการทำงานอย่างแรกที่ฉันได้รับมอบหมายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากฉันเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่ถึงสัปดาห์ ภาระงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเดินเอกสารหรือไม่ก็พวกงานเล็ก ๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญมากนัก
สถานที่นัดหมายกับลูกค้าผู้ว่าจ้างนั้นเป็นร้านกาแฟแห่งหนึ่ง มันไม่ใช่บริษัทของลูกค้าหรือห้องรับรองอย่างที่คาดคิด แต่พี่นุ้ยเองก็ให้คำตอบกับฉันว่าลูกค้าคนนี้ค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัว แถมยังต้องการคุยเรื่องการบัญชีข้างนอกบริษัท ซึ่งร้านกาแฟแห่งนี้ก็เป็นร้านที่อยู่ในการบริหารของลูกค้าท่านนั้น นั่นจึงทำให้ฉันเข้าใจในการนัดหมายที่เกิดขึ้นได้ทันที
“พี่เองก็ลุ้นนะตอนที่แจ้งกับผู้ช่วยเขาไปว่าจะให้น้องฝึกงานตามมาด้วย นี่เขาทั้งขอรูปภาพและประวัติไปตรวจสอบเลยทีเดียว”
“โห จริงเหรอคะพี่นุ้ย” ฉันถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน
ไม่คิดเลยว่าลูกค้าคนนี้จะเคร่งเรื่องความปลอดภัยและรักความเป็นส่วนตัวได้มากขนาดนี้
“ก็งี้แหละ ผู้บริหารใหญ่ ๆ เขาก็เป็นแบบนี้กัน เดี๋ยวทำงานไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้เอง นี่พี่ดีใจมากเลยนะที่คุณไตรจ้างบริษัทเราให้ดูแลบัญชีของเขาน่ะ บริษัทเขาก็ใหญ่โตมากเลยนะ”
“เอ๊ะ...ลูกค้าชื่อคุณไตรเหรอคะ” ทว่าชื่อที่ได้ยินกลับทำให้ฉันชะงักไปชั่วขณะ ภายในใจเกิดความสับสน หากแต่สมองกลับยังคงสั่งการเพื่อให้ระงับอารมณ์และพึมพำย้ำชัดกับตัวเองว่าคงไม่ใช่คนที่กำลังนึกถึง
ชื่อโหลจะตายไป ใคร ๆ เขาก็ตั้งชื่อแบบนี้กันทั้งนั้น โลกคงไม่กลมจนต้องเจอเรื่องบังเอิญได้อีกรอบมั้ง...
“เออพี่ลืมบอกป่านไปเลยอะ ลูกค้าชื่อคุณไตรพัฒน์ เป็นผู้บริหารของบริษัท...โอ๊ะ! มาแล้ว ลุกขึ้นเร็วป่าน!”
ก่อนที่พี่นุ้ยจะขยายความไปมากกว่านี้ เสียงร้องพร้อมกับการหยัดยืนตัวตรงก็เกิดขึ้น นั่นจึงทำให้ฉันกระทำตามโดยอัตโนมัติเพราะจากสิ่งที่ได้ยินนั้นแปลได้ว่าลูกค้าเดินทางมาถึงที่แห่งนี้แล้ว
ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้และประสานมือสองข้างไว้ด้านหน้าอย่างสำรวมกิริยา หากแต่สายตาที่จับจดมองไปยังบุคคลที่เข้ามาใหม่กลับเป็นต้องช็อกค้างกลางอากาศ เผลอหลุดความตกใจออกมา จนคนข้างกายถึงกับต้องสะกิดเบา ๆ เพื่อให้รักษามารยาทไว้ตามเดิม
เป็นเขาจริง ๆ ด้วย!
คุณไตรพัฒน์ ผู้บริหารใหญ่ของบริษัทไทรอัมพ์ออโต้เซอร์วิส!
“สวัสดีค่ะคุณไตร สวัสดีค่ะคุณมารุต” พี่นุ้ยยกมือไหว้กับสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา นั่นจึงทำให้ฉันจำต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
“นี่เหรอครับ เด็กฝึกงานที่ตามมาด้วย” เป็นเสียงของคุณมารุตที่เอ่ยถาม หากแต่สายตาที่เขากดมองกลับแสดงออกชัดเจนว่ากำลังจับผิดฉันอยู่!
“อ้อ ใช่ค่ะ สายป่านเป็นนักศึกษาฝึกงานที่เพิ่งเข้ามา ฉันเลยอยากให้น้องมาดูวิธีการทำงานด้วย คุณไตรคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ”
ฉันยิ้มขื่นเพื่อกดข่มกิริยาให้เป็นปกติมากที่สุด แต่ใครเล่าจะรู้ว่าตอนนี้ดวงตาสองข้างกำลังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาที่พร้อมไหลหลั่งออกมาได้ทุกเมื่อ
หนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น นี่มันเป็นเวรกรรมอะไรของฉันกันเนี่ย!
การบังเอิญได้พบเจอกับคุณไตรอีกครั้งนับว่าเป็นเหตุการณ์เลวร้ายวินาศสันตะโรสำหรับฉันที่สุด อุตส่าห์คิดเข้าข้างว่าโชคชะตาคงจะเห็นใจกันบ้าง เพราะฉันตั้งใจลาออกจากร้านคุณเวย์เพื่อหลบหน้าเขาโดยเฉพาะ แต่ใครจะไปคิดว่าบริษัทเล็ก ๆ ที่ฉันส่งยื่นเข้ารับการฝึกงาน จะทำบัญชีให้กับบริษัทไทรอัมพ์ที่คุณไตรครอบครองอยู่!
ซวยแล้วซวยอีก
ซวยซ้ำซวยซ้อน
ซวยไม่แบ่งปัน
ซวยไม่เผื่อแผ่ใครทั้งนั้น!
“ป่าน...ป่านจ๊ะ เป็นอะไรหรือเปล่า ยืนนิ่งอยู่ทำไม”
“ค่ะ...คะ? พี่นุ้ยว่าไงนะคะ” ฉันสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงแรงสะกิดที่แขนจากพี่นุ้ย กระทั่งพบว่าตอนนี้มีตัวฉันเพียงคนเดียวที่กำลังยืนอยู่ ในขณะที่พี่นุ้ยและคุณไตรนั้นได้นั่งลงที่โซฟาหนังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ป่านเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“ปะ...เปล่าค่ะ ป่านขอโทษค่ะพี่นุ้ย ขอโทษนะคะคุณ...เอ่อคุณลูกค้า” ฉันรีบนั่งลงก่อนจะยกมือไหว้เมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำตัวไม่เหมาะสม
“เรียกคุณไตรสิป่าน แบบนั้นมันไม่เหมาะสม”
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ” เป็นอีกครั้งที่ฉันเอ่ยคำว่าขอโทษพร้อมกับการกระพุ่มมือไหว้
คราวนี้ฉันเห็นสีหน้าตำหนิจากพี่นุ้ยได้อย่างชัดเจน ผิดกันกับคุณไตรและมือขวาคนสนิทของเขาที่กำลังหยัดยิ้มราวกับว่าเขากำลังขำขันสะใจกันซึ่งหน้า
“นักศึกษาฝึกงานคนนี้ดูประหม่านะครับ จะไหวหรือเปล่า” นอกจากเขาจะแสดงออกถึงท่าทางเย้ยหยันแล้ว คำพูดถัดมาของเขายังเป็นการหักหน้าฉันกับพี่เลี้ยงอย่างพี่นุ้ยอีกด้วย
ร้ายเกินไปแล้ว!
“ขะ...ขอโทษด้วยค่ะคุณไตร น้องยังใหม่มากเลยอาจจะทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง แต่น้องตั้งใจทำงานมากเลยนะคะ ฉันเลยอยากพาน้องมาเรียนรู้งานด้วยตัวเอง แต่ถ้าคุณไตรไม่สบายใจ...”
“ไม่มีปัญหาหรอกครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไร แค่พูดไปตามสิ่งที่เห็น”
“ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะคุณไตร ฉันเพิ่งออกมาพบลูกค้ากับพี่นุ้ยเป็นครั้งแรก แต่ฉันจะไม่ทำให้งานผิดพลาดหรือแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไปอีกแน่นอนค่ะ” ฉันเลือกที่จะขอโทษเขาอีกครั้ง เนื่องจากเห็นสีหน้าของพี่นุ้ยที่ตอนนี้กำลังเกิดความวิตกยกใหญ่
ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องที่ก่อกวนภายในใจทำให้งานชิ้นใหญ่พังไม่เป็นท่าเด็ดขาด
“น้องทำงานเก่งมากค่ะ หัวไวเรียนรู้ไว บางทีฉันอาจจะให้น้องมาส่งเอกสารให้คุณมารุตแทนด้วย เลยอยากให้มาพบหน้ากันก่อนน่ะค่ะ เพราะฉันรู้ดีว่าคุณไตรไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ แถมยังเป็นเอกสารเรื่องบัญชีอีก”
“หะ...ฮะ? อะไรนะคะพี่นุ้ย” เป็นฉันเองที่ร้องเสียงหลง
พี่นุ้ยไม่ได้ตั้งใจแค่จะสอนงานฉันหรอกเหรอ?
ไม่นะ...
“ผมไม่มีปัญหาครับ ในเมื่อคุณนุ้ยบอกเองว่าทำงานเก่ง หัวไว ผมก็ไม่มีอะไรขัดข้อง ในเมื่อได้เจอหน้าและรู้ประวัติแล้วผมก็ไม่ได้มีความกังวลอะไร ครั้งหน้าคุณก็สามารถให้นักศึกษาฝึกงานมาแทนก็ได้ เพราะผมรู้ดีว่าคุณนุ้ยเองก็ต้องพบเจอลูกค้าหลายรายเหมือนกัน”
เดี๋ยวนะ...
ไม่นะ มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ!
“จริงเหรอคะคุณไตร”
“พะ...พี่นุ้ยขา ป่านเป็นแค่เด็กฝึกงานเองนะ บริษัทคุณไตรตั้งใหญ่โต ให้ป่านมาพบคุณไตรเองป่านว่า...”
“เรามาคุยธุระกันดีกว่าครับ เจ้านายของผมมีเวลาไม่มาก”
ก่อนที่ฉันจะได้พูดเหตุผลของตัวเองออกไป เสียงของลูกน้องคนสนิทของคุณไตรก็เอ่ยแทรกขึ้น ซึ่งฉันเองก็รีบหันขวับไปมองถึงได้เห็นว่าคุณมารุตกำลังยกยิ้ม ราวกับตั้งใจพูดแทรกเพื่อให้ข้ออ้างของฉันถูกปัดตก แล้วถูกแทนที่ด้วยหัวข้องานของวันนี้แทน
หนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้นจริง ๆ
ซวย ซวย แล้วก็ซวย!