“ไม่เอาแล้ว ข้าไม่ฝึกฝนอีกแล้ว”
เด็กน้อยมองฝ่ามือสองข้างที่ยังสั่นระริกของตนเอง ร่างเล็กนั่งขดตัวในพุ่มดงดอกโบตั๋น ดวงตางดงามฉ่ำวาวด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ เด็กหญิงกลั้นเสียงสะอื้นแล้วยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาเร็วๆ ไม่ให้น้ำตาไหลเปื้อนแก้ม
“ไม่เอาแล้ว ข้าไม่ฝึกฝนอีกแล้ว”
พุ่มไม้ที่นางซ่อนตัวอยู่ขยับสั่นไหว เด็กน้อยรู้สึกตัวจึงเงยหน้าขึ้น เป็นจังหวะที่มือข้างหนึ่งแหวกพุ่มไม้ออก นางหลุดปากหวีดร้องแล้วขยับกายเข้าไปด้านในเพื่อซ่อนตัว
“อ้าว! มีคนอยู่รึ”
น้ำเสียงคุ้นเคยแม้ไม่ได้อ่อนโยน แต่ทำให้เด็กหญิงได้สติ นางกะพริบไล่หยดน้ำตาที่เอ่อคลอ เพื่อจะได้มองคนที่แหวกพุ่มไม้แล้วโน้มตัวลงมาจ้องมองนางอยู่
“เจ้า!”
นางอ้าปากส่งเสียงได้เพียงแค่หนึ่งคำ เด็กหนุ่มตรงหน้ายกมุมปากเป็นรอยยิ้มบางเบาที่แทบจะมองไม่เห็น และไม่ได้เห็นบ่อยนัก
มันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้ที่สายตาของนางมีเขาเพียงผู้เดียว
....
เสียงวัตถุตกลงผิวน้ำอย่างแรงทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นหันไปมองทันที เพียงพริบตา ร่างสูงโปร่งทิ้งตะกร้าใส่สมุนไพรลงพื้น ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปราวเหาะเหิน ทว่าร่างหญิงสาวในชุดสีแดงดำดิ่งลงไปในน้ำลึกอย่างเร็ว เลือดสีสดปะปนในสายน้ำ มือแกร่งแหวกสายน้ำพยายามคว้าร่างของหญิงสาวไว้ เขาแข็งใจพุ่งตัวไปจนคว้าข้อมือของหญิงสาวไว้ได้แล้วกระชากนาง เขารวบร่างของนางไว้ได้แล้วจึงยกมือขึ้นประคองใบหน้าซีดเซียวไว้ ประกบริมฝีปากส่งลมหายใจเข้าปากของนาง ดวงตาคมดุจเหยี่ยวจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวแปลกหน้า เปลือกตาที่ปิดอยู่กระตุกเล็กน้อย เมื่อลมหายใจส่งผ่านไปจดหมด มือแกร่งโอบรัดเอวคอดกิ่วไว้แน่นแล้วพาร่างที่ยังไม่ได้สติขึ้นเหนือผิวน้ำ
เขาผงะเล็กน้อยที่เห็นโลหิตไหลเปื้อนเปรอะใบหน้าของนาง เสื้อผ้าที่สวมเปียกชื้นรัดรึงเรือนร่างจนเห็นเส้นโค้งอันเย้ายวนตา เพียงปลายนิ้วสัมผัสผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส หัวคิ้วพลันขมวดผูกปมทันที นางตัวเย็นราวกับผิวน้ำในฤดูหนาว ริมฝีปากที่เผยอส่งเสียงครางเจ็บปวดนั้นเขียวคล้ำและสั่นระริก ตัวนางเย็นเกินไป หากไม่ได้ยินเสียงครางนี่ละก็ เขามั่นใจว่านางตายไปแล้ว
“แม่นาง” เขาเรียกแล้วประคองร่างที่ยังไร้สติไปที่ฝั่ง พยายามไม่สนใจเสื้อผ้าที่เปียกแนบเนื้อของหญิงสาว เขาเรียกนางอยู่สองสามครั้ง ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้น เพียงดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง สีหน้าของนางแสดงความตื่นตระหนก
“ใจเย็นก่อน ข้ามิได้ทำร้ายเจ้า” เขากลัวนางจะส่งเสียงหวีดร้อง ยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้า เพื่อจะดูบาดแผลที่ศีรษะของนาง “บาดแผลนี้ท่าทางจะเกิดจากศีรษะกระแทกก้อนหินกระมัง”
ยังไม่ทันที่เขาจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาห้ามเลือดให้นาง มือเรียวเล็กกลับยื่นมาจับมือของเขาไว้ก่อน ริมฝีปากที่สั่นระริกพยายามส่งเสียงอย่างยากลำบาก ทำให้เขาจำใจโน้มศีรษะลงใกล้เพื่อได้ยินคำพูดของนาง
“ข้า...ได้...พบ...ท่าน...แล้ว...” นางขยับปากพูดทีละคำ “ซือจื่อ”
สิ้นคำพูดสุดท้าย ดวงตาของนางก็ปิดลงอีกครั้ง พร้อมกับร่างของนางที่เอนลงสู่แผ่นอกของเขา
เซียวเหรินกายสั่นสะท้านขึ้นมา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียกเขาด้วยชื่อนี้ แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว นานจนเขาเกือบลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว
ไม่มีใครเรียกชื่อนี้นานแล้วจริงๆ
.........
ชายหนุ่มรูปร่างค่อนไปทางผอมบางก้มๆ เงยๆ อยู่ใกล้โคนต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าที่เรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดจ้องมองที่เห็ดดอกใหญ่ ดวงตาฉายแววพอใจแล้วนั่งลง ค่อยๆ บรรจงเอาเห็ดเหล่านั้นออกมาใส่ตะกร้าที่สะพายอยู่ด้านหลัง สภาพภูมิอากาศของที่นี่ทำให้เห็ดหลินจือและพืชสมุนไพรหลายชนิดเติบโตงอกงาม แต่ที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้ามาเก็บเพราะเป็นพื้นที่ชายแดนที่มีการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่าย
กว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา สองแคว้นทำศึกกันอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน แต่ละแคว้นต่างส่งองค์ชายและองค์หญิงมาเป็นเชลย มองผิวเผินเหมือนบ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข ทว่าเหมือนท้องฟ้าก่อนเกิดพายุฝน สงบนิ่งก่อนลมพายุมาเยือน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวเหล่านี้มานานแล้ว ใครจะเป็นผู้กุมอำนาจไว้ในมือนั้น เขาหาได้ใส่ใจไม่
‘หมอเทวดาไร้ใจ’
ใครต่อใครเรียกขานเขาเช่นนั้น เซียวเหรินไม่ต้องการให้ใครเรียกเขาว่าหมอ ไม่ได้สนใจอยากรักษาผู้ใดนัก ทว่าผู้คนมากมายกลับแบกหามคนเจ็บป่วยมาให้รักษา ถ้อยคำบอกปัดไปเท่าไหร่ก็ไม่มีความหมาย พอไล่ไม่ไป เขาเกรงว่าคนเหล่านั้นจะมานอนตายหน้ากระท่อมหลังน้อย ทำให้เขาจำใจต้องลงมือดูแลรักษาไปตามสภาพ
หลายปีมานี้เขาตั้งใจศึกษาตำราแพทย์อย่างเงียบสงบไม่สนใจเรื่องใด ไม่สนใจว่าใครจะเป็นฮ่องเต้หรือแคว้นใดวางแผนใดอยู่ ใครจะอยู่เบื้องหน้า ใครจะกุมอำนาจ ล้วนมิใช่เรื่องที่เขาใส่ใจ
ขณะที่เก็บเห็ดได้มากจนพอใจแล้ว เขายืนขึ้นและคิดถึงหญิงสาวแปลกหน้าที่จำใจต้องดูแล นางหลับใหลไม่ได้สติมาสองวันแล้ว จากที่เขาตรวจดู นอกจากบาดแผลบนศีรษะแล้ว ตามเนื้อตัวมีรอยบอบช้ำหลายแห่ง นางใส่ชุดเจ้าสาวสีแดงงดงาม เนื้อผ้าตัดเย็บอย่างประณีต ดูแล้วไม่น่าเป็นหญิงชาวบ้านทั่วไป
‘ซือจื่อ’
ถ้อยคำนั้นยังติดค้างในความรู้สึกของเขา
อาจเป็นความบังเอิญก็ได้